“เ้าคือ?”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่มีหน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่นด้วยความอึ้ง ทว่าเขาได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี จึงไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทกับการที่เสิ่นม่านพูดแทรกขึ้นมากะทันหันเช่นนี้
จางอี้วิ่งเหยาะๆ เข้ามาและก้มต่ำพร้อมกับอธิบาย “นายน้อย ท่านนี้คือแม่นางเหลยที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟังเมื่อไม่กี่วันก่อนขอรับ”
เสิ่นม่านกระแอมอย่างเก้อเขิน “คือว่า ข้าน้อยแซ่เสิ่น นามว่าเสิ่นม่าน”
ชายคนนั้นคำนับทักทาย จากนั้นมองนางด้วยสายตาพินิจ “แม่นางเสิ่น เ้าคิดว่าสามารถรักษาโรคของลูกข้าได้จริงหรือ?”
เสิ่นม่านลูบจมูกและเริ่มปั้นแต่งเื่ราว
“เมื่อนานมาแล้วท่านพ่อข้าเคยรู้จักกับหมอเท้าเปล่า [1] และได้รับการถ่ายทอดตำรับยาจากเขาเรียกว่า ‘นมผง’ มันสามารถรักษาอาการทารกไม่ยอมรับนม ตอนนี้พ่อข้าเสียไปนานแล้ว โชคดีที่ข้าเคยจดบันทึกตำรับนี้ไว้ หากท่านไม่ถือสา ลองให้ข้าดูลูกชายท่านก่อนเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทันใดนั้นดวงตาหม่นเศร้าของชายหนุ่มก็ปรากฏประกายแสงแห่งความหวังและรีบเชิญนางเข้าห้อง
“ไม่ถือสา ไม่ถือสาแน่นอน! หากสามารถรักษาลูกชายข้าได้ ไม่ว่าต้องจ่ายเท่าไร ขอเพียงเป็สิ่งที่ข้าจางหงเหวินสามารถจ่ายได้ ย่อมต้องจ่ายให้เ้าแน่!”
โอ้ สมกับเป็เศรษฐีอันดับต้นๆ ในตำบล แค่เอ่ยปากก็สามารถให้คำมั่นสัญญาใหญ่โตเช่นนี้ได้
แม้เสิ่นม่านเคยเห็นโลกกว้างมามาก แต่ก็อดที่จะพึมพำในใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดูอาการของทารกเสียก่อน
เสิ่นม่านเดินตามจางหงเหวินเข้าห้องไป บ่าวในห้องเปิดมุ้งด้านในออก จากนั้นกลิ่นสมุนไพรหอมจางๆ ก็โชยเข้าจมูก ขณะเสิ่นม่านกำลังสูดดมอย่างเคลิบเคลิ้ม ก็ถูกพาไปยังข้างเตียงโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ข้างเตียงมีหญิงสาวใบหน้าสะสวยทว่าสีหน้าอมทุกข์นั่งอยู่ เพียงแค่มองก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่า คนผู้นี้ต้องเป็คุณหนูจากตระกูลใหญ่แน่นอน
ทันทีที่นางได้ยินสามีกล่าวว่าเสิ่นม่านสามารถช่วยลูกของนางได้ ใบหน้าของนางเฉินที่เดิมทียังเศร้าสลด บัดนี้ก็ค่อยๆ เผยประกายแห่งความหวัง จากนั้นคำนับอีกฝ่าย
“แม่นางเสิ่น ได้โปรดเมตตาช่วยรักษาลูกของข้าให้หายด้วยเถิด!”
สายตาของพวกเขาสองคนที่มองเสิ่นม่านนั้นราวกับได้พบเทพเซียนตัวเป็ๆ จนนางแอบขนลุกซู่ ได้แต่ปั้นสีหน้าจริงจังและเดินไปดูเด็กน้อย
เมื่อเปิดผ้าห่อทารกออก เสิ่นม่านก็เห็นทารกตัวน้อยที่ร่างกายผอมซูบอย่างยิ่ง ทั้งที่อายุสามเดือน แต่ดูเหมือนทารกที่เพิ่งคลอดได้เพียงไม่กี่วัน
บางทีอาจเป็เพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เสียงร้องของเด็กน้อยค่อนข้างโรยแรง ใบหน้าเล็กๆ เริ่มม่วงคล้ำเพราะความทรมาน
เสิ่นม่านหลุบตาลงและชักมือกลับมา จากนั้นเอ่ยถามเสียงค่อย “ที่บ้านมีถั่วเหลืองแห้งหรือไม่?”
“ถั่วเหลือง?”
เมื่อเห็นว่าจางหงเหวินมีท่าทีงุนงง เสิ่นม่านจึงอธิบายอย่างใจเย็น
“ให้บ่าวรับใช้นำถั่วเหลืองแห้งไปแช่น้ำอุ่นเตรียมไว้ อีกเดี๋ยวข้าจะทำเป็นมให้เด็กได้ดื่ม ดูจากใบหน้าน้อยๆ ของเขา ตอนนี้หิวจนใบหน้าม่วงแล้ว”
ถั่วเหลืองนี้ ยังสามารถทำเป็นมได้ด้วยหรือ? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เมื่อเห็นท่าทางหนักแน่นของเสิ่นม่านเช่นนั้น จางหงเหวินทวนคำพูดเล็กน้อย แม้ว่าจะลังเลอยู่บ้าง ทว่าลูกน้อยอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงได้แต่รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็ [2]
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ถั่วก็แช่ได้พอประมาณ
เสิ่นม่านไปที่ครัวด้านหลัง เมื่อจัดการไล่ทุกคนออกมา นางก็ลงมือบดถั่วเหลืองจนเสร็จ แล้วค่อยนำน้ำถั่วเหลืองมาต้มจนสุก จากนั้นปล่อยให้เย็นลง แล้วจึงยกไปยังห้องปีกด้านหน้า
นางเฉินให้สาวใช้มาทดลองอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม สาวใช้ยังปกติดี นางถึงกล้าป้อนนมถั่วเหลืองให้แก่ลูกน้อย
หลายวันมานี้เด็กทารกทั้งอาเจียนและถ่ายเหลวจนไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก หลังจากฝืนดื่มนมถั่วเหลืองเข้าไปแล้ว นอกจากเด็กน้อยจะไม่อาเจียน กลับกันคือยังคว้ามือของนางเฉินและร้องจะดื่มอีก
นางเฉินกอดลูกน้อยพร้อมทั้งร่ำไห้ด้วยความปีติยินดี นางบรรจงป้อนนมถั่วเหลืองให้ลูกน้อยโดยไม่ยอมให้หกแม้แต่หยดเดียว
เด็กน้อยที่ไม่ได้ดื่มนมแบบอิ่มท้องมาเป็เวลานาน ในที่สุดคราวนี้ก็ได้ดื่มจนอิ่มท้อง เด็กน้อยอารมณ์ดีจึงส่งยิ้มให้นางเฉิน
จางหงเหวินและภรรยาพากันโอบกอดลูกน้อยไว้ ชั่วขณะนั้นทั้งคู่ดีใจปลาบปลื้มจนแทบจะกอดกันร่ำไห้
“ดื่มนมแล้ว! ในที่สุดอวิ๋นเอ๋อร์ก็ดื่มนมแล้ว!”
ทั้งสองยินดีอย่างเปี่ยมล้น พอเริ่มสงบลงค่อยนึกถึงเสิ่นม่านที่อยู่ข้างๆ จากนั้นจึงรีบคำนับนางเป็การขอบคุณ เสิ่นม่านคว้ามือของทั้งสองไว้และยิ้มแย้ม
“เื่เล็กน้อย อันที่จริงแล้วนมถั่วเหลืองที่เด็กน้อยดื่มวันนี้ เป็ของที่สามารถทดแทนนมแม่ได้เพียงชั่วคราว ไม่ได้มีสารอาหารมากมาย ข้ายังต้องคิดค้นวิธีทำนมผง เกรงว่าคงใช้เวลาหลายวันและต้องเตรียมสิ่งของมากหน่อย รอข้าคิดค้นสำเร็จ ข้าจะนำนมผงมาให้”
นางเฉินสงสารลูกน้อยที่เพิ่งได้ทานอิ่มไปหนึ่งมื้อ พอนึกถึงว่ายังต้องรอยาตำรับนี้อีกหลายวัน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“นมถั่วเหลือง… สามารถทำไว้ให้อวิ๋นเอ๋อร์สักหน่อยได้หรือไม่? ข้าเกรงว่า...”
“ฮูหยินไม่ต้องกังวล”
เสิ่นม่านรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นมถั่วเหลืองสำหรับวันนี้เพียงพอแล้ว วันต่อไปพวกท่านสามารถให้พ่อบ้านจางมาหาข้าที่แผงเต้าฮวยเพื่อรับนมถั่วเหลืองสดใหม่ทุกวัน รอข้าทำนมผงได้เมื่อใด ค่อยให้คุณชายลิ่งดื่ม”
จนหนทาง เนื่องจากนมถั่วเหลืองเกี่ยวข้องกับแผนธุรกิจเต้าฮวยอันใหญ่โตของนาง เสิ่นม่านจึงมิอาจเผยวิธีทำให้แก่ผู้ใดในตอนนี้ได้
แต่เพียงเท่านี้ สองสามีภรรยาก็ซาบซึ้งอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว
คู่สามีภรรยา้ามอบเงินให้นาง เสิ่นม่านรับไว้เพียงค่าเต้าฮวยกับค่านมถั่วเหลือง ส่วนที่เหลือไม่ได้รับแม้แต่อีแปะเดียว
ส่วนสาเหตุที่นางไม่รับ นางมีเหตุผลของตนเอง
หลังออกจากจวนสกุลจาง ตะวันก็คล้อยไปทางทิศตะวันตก จางหงเหวินจึงเรียกรถม้าส่งนางกลับไป
ข้ามมิติมานาน นี่เป็ครั้งแรกที่เสิ่นม่านได้นั่งรถม้า ซึ่งสบายกว่าเกวียนวัวมากนัก ระหว่างการเดินทางอันโยกเยก นางกลับผล็อยหลับไป
ขณะที่เข้าใกล้หมู่บ้าน เสิ่นม่านตื่นขึ้นและให้สารถีจอดรถม้าไว้นอกหมู่บ้าน จากนั้นนางก็จูงเกวียนวัวที่ตามอยู่ด้านหลังไปคืนผู้ใหญ่บ้าน
หลังจากคืนเรียบร้อย ขณะเสิ่นม่านเดินผ่านโถงบรรพชนในหมู่บ้านก็เจอกับเด็กๆ ที่กำลังเลิกเรียนพอดี เด็กทั้งหลายกรูกันออกมาราวกับนกน้อยที่โผบินออกจากด้านในห้องโถง
เสิ่นม่านจึงยืนรอต้าเป่า เสี่ยวตง และเสี่ยวหลานอยู่ข้างทาง คนทั้งหมดจะได้เดินกลับบ้านไปทานอาหารพร้อมกัน เมื่อต้าเป่ากับหลานๆ เดินออกมา เห็นนางในแวบแรกก็ดีใจตื่นเต้นและวิ่งมาหา
ใครจะรู้ว่าทันทีที่ออกจากโถงบรรพชน ต้าเป่าก็ชนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงถูกชนจนเซก็โมโห จึงผลักต้าเป่าด้วยความโกรธเคืองและด่ากราด
“คนไร้สมอง ไม่มีตาหรือไร? ทำชุดเหมียนอ๋าวที่ท่านพ่อเพิ่งซื้อให้ข้าเปื้อนหมดแล้ว!”
นับั้แ่เหอยวนยางมาเรียนที่โถงบรรพชน คำพูดคำจาก็เริ่มเปลี่ยนจากสำเนียงท้องถิ่นเป็ภาษาทางการเลียนแบบหนิงโม่มากขึ้น ราวกับว่าหากทำเช่นนี้จะสามารถลดระยะห่างระหว่างทั้งสองได้อย่างไรอย่างนั้น
ต้าเป่าถูกผลักจนเกือบล้มหัวทิ่ม ดีที่เสิ่นม่านคว้าตัวและพยุงไว้ทัน บันไดโถงบรรพชนค่อนข้างสูง หากว่าล้มหัวทิ่มไป ศีรษะต้องบวมเป็แน่
นางกล่าวอย่างโกรธจัด “ตอนนี้เป็เวลาเลิกเรียนของเด็ก เ้าเองต่างหากที่โผล่มาขวางทาง แล้วยังจะโทษผู้อื่นที่ชนเ้าหรือ?”
เหอยวนยางเพิ่งจะเห็นชัดว่าเด็กที่ตนผลักคือลูกของเสิ่นม่าน พลันหงุดหงิดตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมลดทิฐิ คิ้วสวยของนางย่นหากันและไม่ยอมพูดจา
บังเอิญที่ร่างชายชุดดำเดินออกมาจากโถงบรรพชนพอดี นางรีบผลักเสิ่นม่านออกและนำตำราที่เตรียมไว้แต่แรกเดินเข้าไปหา ใบหน้าชมพูระเรื่อนั้นทอดมองไปที่หนิงโม่อย่างเขินอาย
“อา… อาจารย์หนิง วันนี้ข้าอ่านตำราและรับรู้สิ่งใหม่มา ข้าสามารถเล่าให้ท่านฟังได้หรือไม่? หากว่ามีจุดใดที่ไม่ถูกต้อง ท่านจะได้ช่วยข้าขัดเกลา”
เสิ่นม่านโมโหจนหลุดเบ้ปาก
เฮอะ นังหนูไร้เดียงสา ที่แท้ก็มีสองหน้าหรือนี่?
-----
เชิงอรรถ
[1] หมอเท้าเปล่า 赤脚大夫 คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกฝนวิชาแพทย์ และผู้ช่วยแพทย์ระดับล่างที่ทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำสาธารณสุขสู่พื้นที่ชนบท ซึ่งหมอในเมืองจะไม่มาตั้งถิ่นฐานตามชนบท
[2] รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็ 死马当作活马医 (成语) เปรียบเทียบเื่ที่รู้ชัดว่าไม่มีความหวังแล้ว แต่ยังแอบตั้งความหวัง ลองพยายามเต็มที่แม้ดูเหมือนอับจนหนทาง