อารัมภบท
“ยกเลิกเหรอครับ”
น้ำเสียงแ่เบาของผู้พูดแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่ในนั้น ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อยในขณะที่ยื่นมือไปหยิบปากกาเพื่อขีดฆ่าตารางงานที่ถูกยกเลิกไปเป็รายการที่เท่าไรไม่รู้จนเขาเหนื่อยจะนับแล้ว ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะลอบถอนหายใจเสียงเบา
(อืมใช่ งานของอาเจินทุกอย่างใน่นี้คงต้องยกเลิกไปก่อนนะ)
“ถ้าอย่างนั้นให้เจินไปช่วยงานอื่นแทนก็ได้นะครับ ช่วยดูแลดาราในกองถ่ายก็ได้”
(อย่าเลยเจิน)
“…”
(แค่นี้นะ)
ผู้จัดการส่วนตัวรีบเอ่ยปฏิเสธแล้ววางสายจากเขาไปทันที บทสนทนาถูกตัดให้จบลงไปแล้ว ทว่าฝ่ามือขาวกลับยังคงถือโทรศัพท์แนบหูเอาไว้ทั้งดวงตาที่ฉายแววหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด อาเจินทิ้งตัวนอนราบไปกับเตียง เมื่อเห็นว่างานถูกยกเลิกไปจนหมดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน…ครบสองเดือนเต็มแล้วที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้
“มาต่อกันที่ประเด็นที่ยังคงเป็ที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องนะคะ ดาราหนุ่มชื่อดังคนหนึ่งกับข่าวลือที่แอบมีสัมพันธ์กับเ้าของช่องโทรทัศน์ชื่อดังซึ่งแต่งงานมีภรรยาและมีลูกด้วยกันแล้วถึงสองคน…”
“เฮ้อ…”
ตัดสินใจหยิบริโมตขึ้นมาปิดโทรทัศน์ทันทีเมื่อรู้ว่าบุคคลที่กำลังถูกพูดถึงก็คือตัวเขา และในเนื้อหาข่าวก็คงไม่พ้นถูกสังคมต่อว่าอีกตามเคย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเป็ความจริงเลยแม้แต่น้อย
ข่าวลือแพร่สะพัดไปไกลและรวดเร็วกระทั่งกลายเป็เื่ใหญ่ จนเสียงเล็ก ๆ จากตัวเขาเพียงคนเดียวก็คงช่วยแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้อีกต่อไป ช่องทางในโซเชียลมีเดียทั้งหมดต้องถูกปิดไปเนื่องจากถูกทุกคนต่อว่าอย่างหนัก สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปพบปะกับใครก็เท่านั้น
อาเจิน ในวัยยี่สิบสี่ปีเป็ที่รู้จักในฐานะดาราหน้าใหม่ซึ่งเป็ที่นิยมมากแม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่วงการบันเทิงได้เพียงไม่นาน มีผลงานซีรีส์และผลงานเดินแบบไม่ขาดสาย กระทั่งมีข่าวลือดังกล่าวออกมา เส้นทางชีวิตในฐานะดาราที่กำลังเป็ไปได้ดีกลับดิ่งลงเหวทันทีในชั่วข้ามคืน แม้จะพยายามแก้ข่าวอย่างไรก็ยังคงไร้ผล เมื่อกระแสข่าวยังคงถูกปลุกปั่นขึ้นมาเป็ระยะ
“อา หมดอีกแล้วเหรอ”
เอ่ยพึมพำอย่างหนักใจเมื่อเปิดตู้เย็นออกมาแล้วเห็นเพียงแค่น้ำดื่มไม่กี่ขวด หากไม่ออกไปซื้ออาหารมาตุนเพิ่มไว้อีก มีหวังคืนนี้คงต้องนอนหิวไปทั้งคืน สภาพการเงินก็เริ่มย่ำแย่ลงเช่นกัน อาเจินหยุดยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหยิบกระเป๋าขนาดเล็กติดตัวไปหนึ่งใบก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป
บรรยากาศในเมืองกรุงยังคงดูวุ่นวายเหมือนกับทุกวัน ร่างเล็กของอาเจินเดินเหม่อลอยไปตามทางเดินฟุตพาท ในมือถือทั้งบรรดาของกินและของใช้เต็มไปหมด แม้ว่าเท้าจะก้าวเดินไปตามทาง ทว่าภายในหัวกลับมีเื่ให้คิดเต็มไปหมด
อีกไม่กี่เดือนก็จะต้องจ่ายค่าเทอมให้กับน้องสาวที่เพิ่งจะขึ้นมหาวิทยาลัยแล้ว ทว่าสถานการณ์การเงินของเขาในตอนนี้ก็เริ่มเข้าขั้นลำบาก หากจะรอให้มีงานในวงการอีก ก็ยังไม่รู้ว่าโอกาสนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไร
คงจะต้องหางานใหม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเก็บตัวอยู่ในห้องแล้วไม่มีรายได้เข้ามาเลย
เพราะใจลอยออกไปไกล จึงไม่ทันได้สังเกตว่าสัญลักษณ์ไฟบริเวณทางม้าลายเปลี่ยนเป็สีแดงแล้ว เท้าก้าวลงเหยียบพื้นถนนเป็จังหวะเดียวกันกับรถยนต์คันหรูสีดำที่ขับมาด้วยความเร็ว ก่อนที่เสียงบีบแตรดังลั่นพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างใของคนที่ยืนอยู่ในละแวกนั้นจะดึงสติที่หลุดลอยกลับมาได้จนหมด
ปี๊นนนนนนนน
“กรี๊ดด!! คุณคะระวังรถ!!!”
!!!
ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้างขึ้นอย่างใเมื่อหันไปเห็นรถยนต์คันดังกล่าวพุ่งมายังตน รีบก้าวเท้าวิ่งหนีให้พ้นรัศมี ทว่ายังคงถูกเฉี่ยวกระทั่งเสียหลักล้มหัวเข่ากระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง คนในบริเวณนั้นเร่งรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ เป็จังหวะเดียวกันที่รถยนต์ถูกจอดเทียบข้างทางพร้อมกับเ้าของรถที่เปิดประตูเดินลงมาทันที ในขณะที่อาเจินยังคงนั่งหอบหายใจถี่ด้วยอาการใไม่หาย
“แฮ่ก…”
“ได้มองไฟข้ามถนนบ้างไหมคุณ! สุ่มสี่สุ่มห้าเดินแบบนี้อยากโดนรถชนนักหรือไง”
“ขะ ขอโทษครับ เจินผิดเอง…รถคุณเป็อะไรหรือเปล่า---”
ร่างเล็กรีบเอ่ยพูดขอโทษขอโพยทันทีอย่างรู้สึกผิดเมื่อได้ยินถ้อยคำตำหนิอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่น้ำเสียงทั้งหมดจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นไปมองสบกับคู่กรณี พลันรู้สึกคล้ายกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ เสียงหัวใจภายในอกกลับเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ ฝ่ายนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งยองลงดูแผลถลอกบริเวณหัวเข่าทันที
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้ชายตัวสูง ย้อมผมสีเทา อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนขาด ๆ เรียวคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันแน่นในตอนแรกเริ่มคลายออกยามที่นั่งลงเพื่อพินิจาแบริเวณหัวเข่าของเขา...แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วถึงหนึ่งปีเต็ม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก นอกจากยิ่งดูดีมากกว่าแต่ก่อน
…อีกอย่างคงจะเป็กลิ่นน้ำหอมที่ไม่ใช่แบบเดิมแล้ว
“เดี๋ยวพาไปทำแผล”
“เจินไม่เจ็บ”
“ไม่ได้ถามว่าเจ็บหรือไม่เจ็บ บอกว่าจะทำแผลให้”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นละความสนใจจากแผล ดวงตาคมสีรัตติกาลทอดมองสบกันนิ่งอย่างจริงจัง คล้ายกับ้าบ่งบอกว่า ไม่ว่าเขาจะหาข้ออ้างมาพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็จะพาไปทำแผลโดยไม่สนใจอะไรอยู่ดี ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อยพลางหลุบสายตาลงมองข้อเท้าของตนที่ยังคงถูกฝ่ามือของใครอีกคนกอบกุมเอาไว้
าา อัครเหมสกุล
คนรักเก่าที่เคยคบกันนานถึงสี่ปีเต็มก่อนจะเลิกรากันไป
“…”
“ขึ้นรถดิ”
อาเจินขมวดคิ้วใส่ ทำท่าเตรียมจะปฏิเสธ กระทั่งเริ่มได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบกระซาบพูดถึงตัวเขาเนื่องจากกำลังตกอยู่ในข่าวลือซึ่งยังคงเป็กระแสอยู่ในขณะนี้ ความรู้สึกหวาดระแวงเริ่มเกิดขึ้นจนเผลอขยับตัวเข้าหาคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัวเพื่อหาที่พึ่ง
“หรือโดนเฉี่ยวที่แขนแล้วกระเทือนไปถึงขา ต้องให้เฮียหิ้วขึ้นรถไป”
“เจินไม่ได้ขาหัก เดินเองได้”
ดวงตากลมสวยตวัดมองคู่สนทนาอย่างเอาเื่เอาราวแล้วดึงตัวเองออกจากการกอบกุม เมื่อเริ่มมีคนให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดมากขึ้นจึงตัดสินใจยอม ก่อนจะประคองตัวเดินเพื่อขึ้นรถไปในที่สุด าาเข้าประจำที่คนขับแล้วเหยียบคันเร่งเคลื่อนตัวรถออกไป ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบระหว่างกัน
รถยนต์มาจอดเทียบข้างในซอยเล็ก ๆ อาเจินมองตามร่างของอีกฝ่ายที่เดินหายเข้าไปในร้านขายยาแห่งหนึ่ง ผ่านไปเพียงไม่นานก็เดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับทำแผลในมือ
ครั้นเมื่อกลับเข้ามานั่งประจำที่อีกครั้ง คนอายุน้อยกว่าก็ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมทั้งยังขยับไปเสียจนไหล่ติดกับประตู ชายหนุ่มพิงศีรษะกับเบาะ ดวงตาคมปรายมองกันพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าฟังดูกวนส้นตีนที่สุดสำหรับผู้ฟังอย่างอาเจิน
“มือกูไม่ได้ยาวสองเมตรนะหมวย ยื่นขามา”
“เจินไม่ได้ขอให้เฮียมาทำแผลให้นี่”
คนหนึ่งเริ่ม อีกคนหนึ่งก็ประชดกลับทันที าาทอดสายตามองคู่สนทนาที่ขมวดคิ้วทำหน้าเอาเื่อย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับาแถลอกบริเวณหัวเข่า เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นแ่เบาก่อนจะโน้มตัวไปจับท่อนขาเล็กแล้วออกแรงดึงให้พาดขาลงกับท่อนขาของตน อาเจินรีบคว้าแขนเกาะเบาะไว้ทันทีด้วยความใ
“อ้ะ! เจ็บ…”
ร่างเล็กสะดุ้งน้อย ๆ แล้วพยายามชักขาออกเมื่อสำลีถูกกดลงกับแผลอย่างไม่เบาแรงนัก ร่างสูงหยุดมือทันทีทั้งดวงตาคมที่ช้อนขึ้นมองสบกัน ทำสีหน้าคล้ายกับกำลังคิดว่าโดนเด็กเอาฟันแทะขายังรู้สึกเจ็บมากกว่านี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยอมผ่อนแรงลงแม้ว่าจะยังดูชุ่ยตามนิสัย ร่างเล็กวางมือลงบนท่อนแขนแกร่งแล้วออกแรงบีบเบา ๆ เมื่อเริ่มรู้สึกเจ็บ พลันเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินประโยคตำหนิ
“วันหลังจะเดินไปไหนหัดมองทางซะบ้าง”
“ยุ่ง…”
“เดินอยู่บนถนนดี ๆ รู้ตัวอีกทีไปโผล่อยู่บนเตียงโรงบาล มึงจะเอางั้นไหมอะ”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองสบกัน ทั้งเรียวคิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อยเป็เชิงถามอย่างกวนประสาท ยังไม่วายแอบเพิ่มแรงกดสำลีลงกับแผลอีกเล็กน้อยจนร่างเล็กสะดุ้งหลุดร้องออกมาเสียงเบา มือที่วางอยู่บนท่อนแขนแข็งแรงออกแรงบีบเบา ๆ ทั้งดวงตาที่ฉายแววออดอ้อนขอให้ผ่อนแรงลงโดยไม่รู้ตัว
หยิบจับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปมาอีกสักพัก การทำแผลจึงเป็อันเสร็จสิ้น าาเกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือลงบริเวณรอบแผลเบา ๆ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย ในขณะที่อาเจินยังคงทอดสายตามองเสี้ยวใบหน้าของอีกฝ่ายทั้งความคิดหลากหลายที่วนเวียนอยู่ในหัว
เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นช้อนขึ้นมองสบกันก็รีบปล่อยมือจากท่อนแขนแล้วทำท่าจะเปิดประตูลงรถไป ทว่ารถยนต์กลับถูกเคลื่อนออกไปเป็การตัดโอกาสกันเสียอย่างนั้น
“เจินจะกลับแล้ว”
“ให้ไปส่งที่ไหน”
นอกจากจะเมินกันแล้วยังส่งคำถามมาให้แทนเสียอย่างนั้น บทสนทนาดูคล้ายกับคนที่ไม่ถูกกันแล้วถูกบังคับให้ต้องพูดคุยกันในสถานที่คับแคบเป็เวลานาน ร่างขาวกระชับบรรดาถุงที่หอบมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้ามากอดไว้พลางเอ่ยพูดเสียงอุบอิบ ยิ่งได้อยู่ด้วยกันเป็ครั้งแรกหลังจากเลิกกันไปก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ในใจเริ่มแอบคิดสงสัยว่าที่นั่งประจำของเขาบนรถคันนี้มีใครมานั่งแทนแล้วหรือยัง?
แต่ก็ช่างมันเถอะ ถึงยังไงพวกเขาก็เลิกกันไปเป็ปีแล้ว
“เจินกลับเองได้ เฮียปล่อยเจินลงตรงนี้แหละ”
“ลงตรงนี้ดีมากมั้งหมวย จะไปช่วยเขาลอกท่อหรือไง”
เส้นผมสีเทาถูกเสยขึ้นไปอย่างลวก ๆ ทั้งน้ำเสียงเนิบนาบที่เอ่ยพูดอย่างดูไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไร รถยนต์ยังคงแล่นไปตามท้องถนนด้วยความเร็วที่มากขึ้น ในขณะที่ข้างทางยังคงเห็นงานทำถนนเป็ระยะ แม้ว่าอาเจินจะทำท่า้าจะลงตรงนี้มากเพียงใด คนอายุมากกว่าก็ไม่ได้มีท่าทีจะจอดรถให้อยู่ดี กระนั้นคนดื้อดึงก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์
“เจินไม่อยากอยู่กับเฮีย!”
“งั้นก็ะโลงไป”
หากคนหนึ่งเอาเื่ อีกคนก็คงจะเอาเื่สุดพอกัน าาหันมามองกันอย่างท้าทาย ในขณะที่อาเจินเริ่มกัดปากน้อย ๆ แล้วกอดถุงขนมเข้าสู่อ้อมกอดเมื่อไม่ได้กล้าบ้าบิ่นขนาดที่จะะโลงจากรถไป ดวงตาสีน้ำตาลสวยฉายแววอ่อนลงก่อนจะยอมเอ่ยพูดออกมาอีกครั้งเมื่อนึกได้ว่าเคยเห็นประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟของบาร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง
“…ไปคิงบาร์”
คราวนี้ความเร็วของรถชะลอลงทันที คล้ายกับว่าคนขับรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็อย่างดีและนึกสงสัยในอะไรบางอย่างขึ้นมา เรียวนิ้วยาวเคาะลงกับพวงมาลัยเป็จังหวะเชื่องช้าก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้คนดื่มแอลกอฮอล์ไม่เป็อย่างอาเจินหันไปขมวดคิ้วแยกเขี้ยวใส่ในทันที
“ตัวเท่ามด หัดดื่มเหล้า”
“เฮียอย่ามามั่ว เจินจะไปสมัครงาน!”
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเห็นประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟที่บาร์แห่งนี้ในระหว่างที่เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เพื่ออ่านข่าวสาร แม้จะไม่สันทัดการดื่มแอลกอฮอล์ ทว่าหากเป็พนักงานเสิร์ฟก็คงจะไม่เกินความสามารถของตัวเขามากเท่าไรนัก อย่างน้อยขอแค่ได้ทำงานให้มีรายได้ก็เพียงพอ ในเมื่ออาชีพดาราของเขาถูกดึงให้ตกต่ำลงไปแล้ว
ดวงตากลมหันไปมองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแ่เบาในลำคอของอีกฝ่าย แต่ความสงสัยนั้นก็ไม่ถูกอธิบายให้กระจ่างแต่อย่างใด ไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างกันในขณะที่ตัวรถถูกขับไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างคล่องแคล่ว คล้ายกับรู้จักและคุ้นเคยกับสถานที่ดังกล่าวเป็อย่างดี
…
KING'S CLUB&BAR
16.30 น.
อาเจินก้าวเท้าเดินเข้าไปในสถานที่ที่เป็ทั้งผับและบาร์ด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีพนักงานคนหนึ่งกำลังยืนเช็ดแก้วเพื่อเตรียมตัวสำหรับคืนนี้อยู่หลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มก็รีบตรงปรี่เข้าไปหา ในขณะที่ฝ่ายนั้นมีสีหน้าสงสัยทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นมา
“สวัสดีครับ เ้าของร้านอยู่หรือเปล่า”
“ครับ?”
“พอดีเจินเห็นประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟ ก็เลยอยากมาคุยกับเ้าของร้านแล้วก็ทดลองงานครับ”
ชายหนุ่มคนดังกล่าวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจเมื่อได้ยินคำถามพลางแอบเหลือบสายตามองร่างสูงของาาที่ยืนกอดอกมองดูคนตัวเล็กอยู่อย่างเงียบ ๆ ในขณะที่อาเจินรีบหันหลังกลับไปพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง แม้จะไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ข้างหลังตน
“เฮียจะเดินตามเจินมาทำไม กลับไปสิ”
“คุณเจินก็มากับเ้าของร้านแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“เ้าของร้าน?”
ทว่าประโยคต่อมาที่ได้ยินกลับเป็ผลให้ผู้ฟังต้องรีบหันขวับกลับมามองอีกครั้ง แล้วเอ่ยทวนด้วยโทนเสียงที่บ่งบอกถึงความสงสัยใคร่รู้ คราวนี้พนักงานคนดังกล่าวยิ่งทำหน้างงเป็ไก่ตาแตกเข้าไปใหญ่ มองสลับระหว่างอาเจินและบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังไปมาก่อนจะตัดสินใจค่อย ๆ ชี้นิ้วไปยังาาแล้วเอ่ยพูดในที่สุด
“ก็เฮียคิงไงครับ”
คราวนี้อาเจินนิ่งไปทันทีทั้งความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้าอย่างรู้สึกอับอาย แอบคิดว่าคนข้างหลังตนคงจะกำลังหัวเราะเยาะกันอยู่ ในใจคิดว่าสภาพของเขาในตอนนี้คงจะดูน่าตลกมากสินะ ยืนแข็งทื่อจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นาน ก่อนที่เสียงทุ้มแหบที่เอ่ยสั่งเมนูกับพนักงานจะดึงความสนใจจากอาเจินไปได้อีกครั้ง
“ดรายมาร์ตินีหนึ่งแก้ว”
“…”
“จะทดลองงานไม่ใช่เหรอ เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าสิครับเด็กฝึกงาน”
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองคนที่สูงถึงแค่ระดับอกของตนซึ่งกำลังทำหน้าคล้ายกับกำลังพองขนขู่เมื่อถูกเรียกด้วยคำสรรพนามที่เปลี่ยนไป ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อยเป็รอยยิ้มร้ายกาจเมื่อไม่ได้รู้สึกกลัวกับท่าทางดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย อาเจินทอดสายตามองอดีตคนรักที่กำลังจะกลายเป็เ้านายเดินไปหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาเนื้อดี ในขณะที่ตัวเขายืนกำหมัด ขมวดคิ้วใส่จนหัวคิ้วแทบจะชนกัน
ร่างเล็กยืนมองแก้วดรายมาร์ตินีที่ถูกนำมาวางตรงหน้า รอให้เขาหยิบมันไปลองเสิร์ฟ ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเลือกเดินไปอีกทางเพื่อหยิบขวดเบียร์ธรรมดาพร้อมกับแก้วหนึ่งใบ แล้วเดินตรงดิ่งไปหาคนที่รออยู่ หากจะให้ยอมแพ้ไปก่อนคงจะไม่ใช่นิสัยของอาเจิน แม้ว่าทั้งร่างน้อย ๆ จะเริ่มสั่นไปหมดแล้วก็ตามที
หากาาสั่งอะไรก็จะได้ผลลัพธ์ในแบบตรงกันข้ามกันเสมอ สร้างาประสาทเอาให้อีกฝ่ายทนไม่ไหว ปฏิเสธการพิจารณาเข้าทำงานของเขาไปเลย…ทว่าทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อร่างสูงเพียงเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างเชื่องช้า แล้วเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบแม้จะไม่ใช่เครื่องดื่มที่ตน้า
“ริน”
“มือเฮียไม่มีหรือไง”
“แล้วเด็กฝึกงานลืมมือไว้ที่บ้านเหรอ ทำไมถึงรินให้ไม่ได้”
ประโยคต่อมาดังขึ้นสวนทันทีทั้งดวงตาคมสีรัตติกาลที่ช้อนขึ้นมองสบกัน คล้ายว่ามีกองไฟเล็ก ๆ อยู่ตรงหน้า ทว่าคนอย่างาาก็ยังพร้อมที่จะเอาถังน้ำมันเทราดเข้าไปจนมันกลายเป็ห่าเพลิงกัลป์ลุกลามให้วอดวายกันไปข้าง คราวนี้อาเจินหน้าบูดหนักกว่าเก่า ก่อนจะหยิบเบียร์มารินใส่แก้วแล้ววางใส่อย่างประชดประชัน
าาแค่นหัวเราะเสียงหนักคล้ายกับถูกอกถูกใจท่าทางที่ได้เห็นเสียเต็มประดา ท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของพนักงานบางส่วนที่แอบดูอยู่บริเวณนั้น นึกเป็ห่วงเด็กฝึกงานคนใหม่ว่าจะถูกเฉดหัวไล่ออกไปหรือไม่เมื่อสร้างวีรกรรมไว้ั้แ่วันแรกที่เหยียบเท้าเข้ามา
“ไปไหน”
“จะกลับบ้าน ทำขนาดนี้เฮียคงไม่เป็บ้ารับเจินเข้าทำงานหรอก---อ้ะ!!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อบริเวณข้อมือถูกกอบกุมเอาไว้ แล้วดึงให้นั่งลงบริเวณโซฟาฝั่งตรงข้ามทันทีจนร่างขาวเสียหลักล้มนั่งลงไป
ดวงตาสีน้ำตาลสวยฉายแววดื้อดึง ยกเท้าขึ้นลอดใต้โต๊ะหมายจะถีบใส่หน้าท้องของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวยามข้อเท้าเล็กถูกจับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที พร้อมกับเรียวนิ้วหัวแม่มือที่กดนวดคลึงบริเวณตาตุ่มแ่เบา ทว่ากลับส่งผลให้คนอายุน้อยกว่ากัดปากแน่นพร้อมกับร่างกายที่เริ่มห่อเข้าหากันน้อย ๆ
การถูกลูบข้อเท้าแบบนี้คือจุดอ่อนของอาเจิน คนที่เป็ถึงอดีตคนรักซึ่งคบกันมานานถึงสี่ปีอย่างาามีหรือจะไม่รับรู้ถึงมัน ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันแน่นิ่ง ในขณะที่บริเวณข้อเท้าก็ยังคงถูกนวดคลึงอยู่อย่างนั้น
“อึก เฮียปล่อยเจิน...”
คนที่เคยดื้อดึงเริ่มมีท่าทีอ่อนลง ทั้งสายตาที่ทอดมองอีกฝ่ายเริ่มฉายแววออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว เมื่อคนอายุมากกว่าไม่ยอมปล่อยตนให้เป็อิสระเสียที น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยพูดกับลูกน้องของตน ทั้งดวงตาที่ยังคงทอดมองอาเจินอยู่อย่างนั้น
“เตรียมชุดให้เขาด้วย ได้พรุ่งนี้ก็ยิ่งดี”
“คะ ครับเฮีย”
“ให้เสิร์ฟที่ชั้นสอง ทำงานใกล้หูใกล้ตากู…จะได้หาเวลาสอนวิธีแยกระหว่างมาร์ตินีกับเบียร์ธรรมดา”
“อ้ะ!”
ครั้นเมื่อได้ฟังประโยคที่ตั้งใจเสียดสีกันอย่างชัดเจน คนที่เคยหมดฤทธิ์ก็เริ่มกลับมาฤทธิ์มากอีกครั้ง เท้าน้อย ๆ ทำท่าจะถีบใส่หน้าท้องของอีกฝ่ายก่อนที่จะถูกจับกระชับเอาไว้ แล้วออกแรงกระตุกดึงจนต้องรีบคว้าแขนกอดโซฟาไว้ด้วยความใ ใบหน้าหล่อเหลาเอียงเล็กน้อยทั้งเรียวคิ้วที่เลิกขึ้นมองยามเอ่ยพูดคำถามคล้ายกับกำลังสนุกที่ได้หาเื่ยั่วโมโหกัน
“เ้าของบาร์รับเข้าทำงานแล้ว ทำไมยังไม่รู้จักขอบคุณอีก”
อาเจินแยกเขี้ยวใส่ไปหนึ่งที ทว่าร่างกายก็เริ่มอ่อนยวบยาบลงยามถูกปลายนิ้วนวดคลึงบริเวณข้อเท้าเล็กเป็จังหวะอย่างรู้จุดอ่อนของตนเป็อย่างดี จากที่คิดว่าจะรีบเดินออกไป ไม่ต้องมีเื่ให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีก กลับเริ่มเปลี่ยนความคิดเมื่อนึกอยากจะเอาชนะคนตรงหน้าให้ได้
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างพยายามรวบรวมความกล้า
“เจินจะทำให้ที่นี่พังยับไปเลย เฮียคอยดู”
ใบหน้าหวานเชิดขึ้นมองแล้วเอ่ยพูดประโยคอย่างถือดีแทนคำขอบคุณ แม้ว่าน้ำเสียงจะติดสั่นเทาอยู่ไม่น้อย ทว่าผู้ฟังแทนที่จะรู้สึกไม่ชอบใจกลับแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนัก แล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้กระทั่งระยะห่างระหว่างกันเริ่มลดหลั่นลง รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏอยู่บนใบหน้าพลางเกลี่ยนิ้วเขี่ยที่ปลายจมูกโด่งรั้นอย่างหยอกเย้าจนร่างเล็กย่นจมูกหนี ทำเสียงฮึดฮัดใส่
ก่อนที่ประโยคท้าทายจะถูกเอ่ยตอบกลับมาโดยไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวต่อคำขู่ที่อาเจินลั่นวาจาไว้แต่อย่างใด
“เหรอ”
“…”
“เฮียกำลังหาเื่ใช้เงินอยู่พอดี ไหนลองพังบาร์อย่างที่ปากว่าให้ดูหน่อย”
...
“เฮียกำลังหาเื่ใช้เงินอยู่พอดี ไหนลองพังบาร์อย่างที่ปากว่าให้ดูหน่อย”
- าา -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้