ไร้เหตุผลเกินไปแล้วไม่ใช่หรือ?
หลินฟู่อินหรี่ตาลงน้อยๆ “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านลุงกล่าวโทษอะไรเ้าค่ะ ท่านบอกว่าข้าสั่งให้ท่านตวนมู่มาดูแล แต่อันที่จริงแล้ว ท่านลุงเ้าคะ คิดถึงความสามารถของท่านจะให้ดูแลเื่พวกนี้หรือ? ท่านเคยรับผิดชอบเื่อะไรด้วยหรือ?”
ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของหลินต้าซานก็เปลี่ยนจากขาวเป็ดำกลับไปขาวอีกรอบ แต่หลินฟู่อินไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆ
“ส่วนเื่ข้าจะไปหาท่านป้าสองหรือท่านลุงก่อน เื่นี้ง่ายมากเ้าค่ะ ข้าเป็หลานสาว ไม่ใช่หลานชายของท่าน หากพี่ซานหลางมาแล้วพบท่านก่อนจึงจะสมเหตุสมผล” หลินฟู่อินจงใจยั่วโมโหเขา
แม้นางควรมาทักทายลุงใหญ่ก่อน แต่นางก็แค่ไม่อยากทำเท่านั้น
หลินต้าซานฝีปากไม่แข็งแกร่ง เจอหลินฟู่อินเข้าไปก็พูดอะไรไม่ออก
ในใจทั้งโกรธทั้งโมโห ทว่าถ้อยคำกลับติดอยู่ในลำคอ “เช่นนั้นเ้าไล่ข้าได้หรือ? เพราะเ้าไม่อยากให้ข้ามา แต่เกรงจะโดนชาวบ้านนินทาจึงได้ไปเรียกข้าที่บ้านเดิมใช่หรือไม่?”
เป็สิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้แล้ว
“ท่านลุง คนอยากไปคือท่าน ข้าไม่ได้ไล่ท่าน ท่านเป็คนตัดสินใจเอง” หลินฟู่อินตอบด้วยความรู้สึกเกือบจะพูดไม่ออก มองหลินต้าซานก็ยิ่งสงสัยว่าสมองของคนบ้านใหญ่นี่ทำงานอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงได้ประหลาดขนาดนี้
“เช่นนั้นก็ตอบมา เ้าไม่อยากให้ข้ามาใช่หรือไม่?” หลินต้าซานยังไม่ยอมแพ้ ทำท่าราวกับคนสูงส่งที่จับได้ว่าหลินฟู่อินทำผิด
เด็กสาวพยักหน้ารับ “ใช่ ข้าไม่อยากให้ใครที่บ้านใหญ่มาด้วยซ้ำ เกรงว่าจะทำให้ข้าขายขี้หน้า อีกอย่างท่านป้าก็เป็เหมือนศัตรูคู่ฟ้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ไม่เคยพอใจ เอาแต่หาเื่ข้าไปเรื่อย ท่านลุงเองก็ไม่ชอบข้าเช่นกันใช่หรือไม่เล่า?” ชะงักไปครู่หนึ่ง หลินฟู่อินก็หัวเราะ “ดูสิ ตอนนี้ท่านก็ก่อเื่อยู่ไม่ใช่หรือ?”
“หลินฟู่อิน ข้าทำไม? ข้ามันทำไม?” หลินต้าซานพูดอะไรไม่ได้จึงได้ชี้หน้านางด้วยความโมโห “ข้าเป็ลุงเ้านะ!”
“หากมิใช่เพราะท่านคือลุงข้า เหตุใดข้าต้องให้เงินท่านเพิ่มเป็พิเศษ ยอมให้ท่านมาด้วยเ้าคะ?” หลินฟู่อินย้อนถาม จากนั้นก็หัวเราะ “ท่านลุงเฉียนทั้งสองคนทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จั้แ่ครึ่งวันแรก แต่ท่านยังทำได้ไม่ถึงครึ่งของท่านลุงเฉียนเลยนี่เ้าคะ? ท่านก็ไม่เหมาะกับงานนี้เช่นกัน!”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของหลินฟู่อินก็แข็งกร้าว “หากไม่มีกฎเกณฑ์ก็คงเป็ไปไม่ได้ ในเมื่อท่านลุงป่าวประกาศว่าตั้งใจจะไม่ทำงานแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะเ้าค่ะ” นางพยักหน้า “ท่านตวนมู่น่าจะจ่ายค่าจ้างรายวันให้อยู่แล้ว นี่เป็ค่าแรงของวันนี้กับเพิ่มพิเศษอีกสิบอีแปะเป็ค่าเดินทางกลับบ้าน จะได้มีเงินเหลือเ้าค่ะ”
“ฮึ่ม! ไปก็ไป!” ริมฝีปากหลินต้าซานบิดเบี้ยว นึกได้ว่าตอนนี้บุตรชายคนโตเป็ซิ่วไฉแล้ว แต่อีกฝ่ายเป็แค่เด็กคนหนึ่ง เขาก็มีท่าทีมั่นใจขึ้นมา ชี้หน้าหลินฟู่อินแล้วกล่าว “วันนี้เ้าทิ้งข้า อีกหน่อยก็อย่าได้ขอให้ข้ากลับมาแล้วกัน!”
“ไม่มีวันนั้นแน่นอนเ้าค่ะ ท่านลุงไม่ต้องกังวล” หลินฟู่อินตอบด้วยสีหน้าสงบ
หลินต้าซานเบิกตากว้าง ดูแล้วยิ่งดุดัน “ดี ดีมาก! ข้าเป็พ่อซิ่วไฉมีหรือจะต้องสนใจงานของเ้า? จะบอกให้! หลินฟู่อินอีกหน่อยหากจำเป็ก็อย่ามาขอเกาะแข้งเกาะขาซิ่วไฉบ้านข้าก็แล้วกัน!”
ที่แท้เขาก็อยากใช้เื่หลินต้าหลางมาเป็ข้อได้เปรียบ แต่หลินฟู่อินกลับต้องประหลาดใจ หลินต้าหลางจะแข็งแกร่งอะไรปานนั้น
อย่างไรนางก็ไม่ได้คิดอยากปีนป่ายหลินต้าหลางอยู่แล้ว เขาเกลียดนางเสียขนาดนั้น ต่อให้เข้าไปประจบอีกฝ่ายก็ไม่ช่วยนางแน่ นางไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อยู่แล้ว
สายตาเหยียดหยามปรากฏในดวงตา นางมองหลินต้าซานแล้วพูด “ไม่ต้องห่วง ข้าหลินฟู่อินไม่มีทางไปประจบเกาะแกะลูกชายคนโตบ้านท่านแน่ พอกลับไปแล้วก็ไปบอกป้าใหญ่กับพี่ใหญ่ด้วยว่าอย่ามาโวยวายขอเงินที่ข้าหามาได้ด้วยความคิดของข้าอีก!”
“หลินฟู่อิน เ้าหมายความว่าอย่างไร? ต้าหลางบ้านข้าได้เป็หลิ่นเซิงแล้ว เรามีข้าวทุกเดือน ทุกสิ้นปีจะได้เงิน ไม่ว่าจะตกต่ำเพียงใดก็ไม่มีทางไปขอเงินเ้าแน่!” หลินต้าซานได้ยินคำของหลานสาวก็โมโหจนแทบะโ
มิใช่เป็การทำลายชื่อเสียงซิ่วไฉบ้านเขาหรือ?
หลินฟู่อินพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ขอเพียงพี่ต้าหลางไม่มาข่มขู่เอาเงินข้าก็พอ ท่านก็จำสิ่งที่พูดวันนี้เอาไว้ให้ดีแล้วกัน รีบไปเถอะเ้าค่ะ อีกไม่นานเกวียนเทียมลาของลุงหลิวก็จะกลับหมู่บ้านแล้ว”
หลินต้าซานโมโหจนหน้าแดง คำก็พูดออกไปแล้ว หลินต้าซานไม่อยากไปแต่ก็ไม่มีหน้าจะอยู่ เขากำเงินยี่สิบอีแปะแล้วรีบกลับไปเก็บข้าวของของตนเองทันที
“ฟู่อิน ส่งลุงเ้าไปเช่นนี้ไม่เป็ไรหรือ?” เฟิงซื่อที่ดูอยู่ถามด้วยสีหน้าลังเลใจ
ลุงเฉียนคนพี่ บิดาต้ายาที่ดูอยู่ก็กล่าวโทษตนเอง “นี่ล้วนเป็เพราะข้าแท้ๆ” จากนั้นเขามองต้ายากับแม่ต้ายาแล้วตำหนิ “พวกเ้าสองคนก็ช่างสร้างปัญหานัก ข้าคุยกับคนสกุลหลินนั่นอยู่ ใช่ที่ให้พวกเ้ามาออกปากหรือ?”
“ข้าบอกแล้วเ้าค่ะ ไม่มีกฎก็อยู่ไม่ได้!” น้ำเสียงของหลินฟู่อินเย็นเฉียบ มองดูคนที่กำลังทำงานอยู่รอบกายแล้วพูด “ข้ารู้จักลุงตัวเองดี หลายวันนี้พวกท่านทุกคนก็ช่วยเขาทำงานไม่ใช่หรือ? คิดว่าตามใจเขาเช่นนี้อีกหน่อยเขาจะตั้งใจทำงานมากขึ้นหรือ? ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เก็บคนเกียจคร้านเอาไว้ที่นี่เ้าค่ะ!”
ไม่ใช่อยู่ๆ นางก็ไม่อยากเก็บหลินต้าซานเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางไปหลังร้านเพื่อดูสถานการณ์ นอกจากท่านป้าสองและหลินฟางที่ทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว ทั้งบุตรสาวแม่หม้าย สี่คนที่คัดมาว่าเป็ห้าค้ำประกันต่างก็เกียจคร้านกันเล็กน้อยทั้งนั้น
อาจเพราะการทำงานที่นี่ไม่หนักมาก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคอยคุมก็สามารถี้เีกันได้เต็มที่
นางตั้งใจถามเฟิงซื่อกับหลินฟาง ทั้งคู่พูดตรงกันว่าทุกคนต่างก็ดูขยันดีทุกครั้งที่ท่านตวนมู่มา
ซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง
ตวนมู่เฉิงมาดูตอนเช้าแล้วก็ไป พอคนจากไปแล้วทั้งสี่คนที่มาจากห้าค้ำประกันต่างก็พากันนั่งคุยเล่นกัน
หลินฟู่อินรู้ว่าคนพวกนี้เกียจคร้านกันทั้งนั้น หากดีอย่างที่หลี่เจิ้งว่า อย่างน้อยก็ต้องหาภรรยาได้แล้ว
ดังนั้นหลินฟู่อินจึงรู้สึกว่าการตีวัวกระทบคราดเช่นนี้ค่อนข้างจำเป็
ส่วนหลินต้าซานนั่นก็เน่าไปถึงแก่นยังจะทำตัวยิ่งใหญ่มากล่าวหาว่านางไม่เคารพผู้าุโอะไรอีก ทำให้นางหงุดหงิดจริงๆ
จะปล่อยให้คนเช่นนี้อยู่ฉลองปีใหม่หรือ อย่างไรก็ต้องกำจัดเท่านั้น
นางทำกิจการเพื่อหาเงิน ไม่ใช่ทำเป็องค์กรการกุศลมาคอยสนับสนุนคนที่วันๆ ไม่ทำอะไรแล้วยังต้องมาฟังคำพูดไม่น่าฟังอีก
ที่จริงตอนที่หลินฟู่อินทะเลาะกับลุงเมื่อครู่ พวกคนที่หลี่เจิ้งหามาให้ก็วางงานเข้ามามุงดูกันทั้งนั้น
พอเห็นหลินฟู่อินไล่ผู้เป็ลุงออกไปโดยไม่ปรานี ในใจก็เกิดเกรงกลัวขึ้นมา
หลินฟู่อินอายุแค่นี้แต่กลับเด็ดขาดยิ่งนัก กระทั่งหลี่เจิ้งกับผู้าุโของหลายๆ บ้านก็ยังเทียบไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ?
ถึงหลินต้าซานจะเป็คนออกปากขอไปเอง ทุกคนก็รู้กันทั้งนั้นว่าคนก็แค่พูดไปอย่างนั้น ใช่ว่าอยากไปจริงๆ เสียที่ไหน
ทำงานที่นี่หนึ่งวันได้ค่าแรงเยอะเพียงใด จะไปหางานดีๆ เช่นนี้ได้จากที่ใดอีก แถมยังมีให้ทั้งอาหารทั้งที่พัก ค่าแรงทั้งหมดจึงสามารถเก็บเอาไว้ได้เต็มๆ!
หลินต้าซานไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากไปอยู่แล้ว!
แล้วเหตุใดหลินฟู่อินจึงไล่เขาไปด้วยเหตุผลว่าหลินต้าซานบอกว่าอยากไป? เกรงว่าหลินฟู่อินจะไม่ชอบเขาที่ทำงานได้ไม่ดีกระมัง?
พี่น้องสกุลเฉียนสองคนนั่นทำงานเสร็จั้แ่บ่าย ส่วนหลินต้าซานเพิ่งจะทำไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ
จะว่าไปแล้วแต่เดิมพวกเขาก็ไม่ได้ี้เีอะไร เพียงแต่หลินต้าซานเอาแต่ลากเท้ามาทำงาน สุดท้ายก็ยังต้องให้ทุกคนมาช่วยทำงานให้เสร็จ
ทำให้แต่ละคนคิดเรื่อยเปื่อยกันไป อย่างไรก็สามารถทำเสร็จในวันเดียวได้อยู่แล้ว เหตุใดจะต้องรีบทำด้วยเล่า? ทำช้าๆ ดีกว่า ถ้าหากรีบทำแล้วเกิดวันพรุ่งนี้ได้งานเพิ่มขึ้นมาล่ะ?
ยามนี้หลินฟู่อินไล่ลุงของตนไปแล้ว ไม่ว่านางจะรู้สึกอย่างไร ผู้อื่นจะนินทาอย่างไร แต่ใจก็เปลี่ยนไปแล้ว
คิดว่าเด็กสาวหลินฟู่อินคนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าท่านตวนมู่ผู้นั้นอีก นับจากนี้ทำงานให้หนักดีกว่า…
หลินฟู่อินไล่หลินต้าซานออก แน่นอนว่าเฟิงซื่อรู้แต่ก็ยังกังวลอยู่ดี ทว่าต่อหน้าผู้อื่นนางไม่ได้พูดอะไร เพราะเกรงจะทำให้หลินฟู่อินเสียหน้าและเสียความน่าเชื่อถือ
หลังจากนั้นทุกคนก็กลับไปก้มหน้าก้มตาทำงาน เฟิงซื่อลากหลินฟู่อินไปยังห้องที่หลินซานหลางอยู่แล้วจึงกดตัวเด็กสาวลงบนเก้าอี้
“ฟู่อิน วันนี้เ้าไล่ลุงออกไปเช่นนี้ อีกหน่อยที่บ้านใหญ่ไม่มีทางสงบแน่!” ดวงตาเฟิงซื่อเต็มไปด้วยรอยกังวล “วันนี้เ้าก็ได้ยิน ลุงเ้าจะใช้ต้าหลางมากดข่มเ้า”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับ “ท่านป้าสองไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ ข้าไม่กลัวพวกนั้น”
เฟิงซื่อครุ่นคิดแล้วบอก “ไม่ใช่เื่กลัวไม่กลัว แต่เ้าเด็กต้าหลางนั่นเ้าคิดเ้าแค้น ไปล่วงเกินเขาย่อมไม่ดี ตอนนี้เขามีทั้งชื่อเสียงทั้งความดี อีกหน่อยหากพวกเ้าต้องเผชิญหน้ากัน เกรงว่าเ้าจะเสียเปรียบเอาได้”
หลินฟู่อินหัวเราะ “เสียเปรียบอะไรกันเ้าคะ ข้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดจารีต ทั้งไม่ได้อกตัญญู เขาจะทำอะไรข้าได้?” นางนิ่งไปก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “เป็หลินต้าหลางต่างหาก ยิ่งมีชื่อเสียงยิ่งต้องควบคุมตัวเองให้ดี ถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าใครกันแน่ที่จะเสียเปรียบ”
เฟิงซื่อยังคงกังวล
หลินฟู่อินถามนาง “ท่านป้าสอง ท่านรู้ว่าเขาเ้าคิดเ้าแค้น แต่ก็เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่เ้าคะ?”
เฟิงซื่อคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “เป็ความจริง อย่างเช่นครั้งก่อนที่ป้าใหญ่เ้าท้องแล้วทำท่านย่าเ้าโกรธ ต้าหลางก็เมินเฉยทั้งสองคน หนีกลับบ้านหลินซิ่วไฉผู้เฒ่า… กระทั่งลุงสองของเ้ายังรู้สึกว่าเขาเ็าเกินไปแล้ว”
ใครบ้างไม่คิดเช่นนั้น ตอนหลินต้าหลางกลับไปหาซิ่วไฉชรา ไม่รู้ชาวบ้านในหมู่บ้านหูลู่กี่คนที่เอาไปพูดลับหลัง แน่นอนว่าต้องหลบๆ กันหน่อย ต่างจากจ้าวซื่อที่กล้าพูดไปเรื่อย
“เช่นนั้นทันทีที่เราจับได้ว่าเื่ใดไม่ดีต่อพี่ต้าหลาง เราไม่ต้องพูดอะไรมาก เ้าตัวก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ไม่ไปร่วมกับคนบ้านใหญ่เ้าค่ะ” หลินฟู่อินอธิบาย
“เ้าก็พูดถูก แต่ป้าใหญ่เ้าเป็คนอย่างไรเล่า” เฟิงซื่อยังปวดหัวอยู่บ้าง ทั้งยังหวาดกลัวจ้าวซื่อด้วย
ในตอนนี้หลินฟางทำงานเสร็จแล้วก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มร่า หลินฟู่อินก็หันไปยิ้มให้อีกฝ่าย “พี่ฟางมาถูกจังหวะพอดี…”
แล้วนางก็วิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะ
หลินฟางมองหน้ามารดาด้วยความสับสน “ท่านแม่ ฟู่อินหมายความว่าอย่างไรเ้าคะ?”
เฟิงซื่อได้แต่มองหน้าบุตรสาวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากอีกฝ่าย “เ้านี่นะ หากฉลาดได้สักครึ่งของฟู่อิน แม่ก็คงไม่ต้องเป็ห่วงเ้าปานนี้”
หลินฟางจับหน้าผากตนเองแล้วบ่น “ท่านแม่ คนที่คลอดคนโง่ๆ อย่างข้าออกมาก็คือท่านนะเ้าคะ เื่นี้ท่านทำอะไรไม่ได้แล้ว…”
คนเป็แม่ยิ้มขม “กลับไปทำงานกันเถอะ ถั่วปากอ้าตากแห้งป่านนี้ชุ่มน้ำหมดแล้ว ถึงเวลาแกะเปลือกแล้ว”
หลินฟางยิ้มพยักหน้ารับ ยกมือประคองมารดาออกจากห้อง
หลินฟู่อินเห็นถั่วปากอ้าที่แกะเปลือกแล้วก็คิดว่าจะส่งส่วนหนึ่งไปที่ภัตตาคารหลิวจี้ก่อน
เพราะกว่าถั่วงอกจะงอกก็ต้องรอหกเจ็ดวัน เมื่อสองวันก่อนทุกคนก็ต้องเตรียมการสำหรับทำถั่วงอก ส่วนถั่วปากอ้าแห้งนั้นเพิ่งนำไปแช่ในน้ำต้มเดือดเมื่อวาน
มารดาต้ายากับต้ายาและบุตรสาวแม่หม้ายเป็คนรับหน้าที่แกะเปลือกถั่ว
เฟิงซื่อกับหลินฟางรับหน้าที่ต้มน้ำ
สองแม่ลูกเป็คนขยัน ระหว่างรอน้ำเดือดก็เลยมาแกะถั่วไปด้วย
พอได้เห็นถั่วเม็ดอวบๆ กองรวมกันอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่สานก็ทำให้หลินฟู่อินอารมณ์ดีมาก
จากนั้นนางก็หันไปคุยกับต้ายาที่กำลังแกะเปลือกถั่วอยู่ “ต้ายา เ้าช่วยหาถุงผ้าขาวบางสะอาดๆ มาให้ข้าได้หรือไม่?
ระหว่างเตรียมเพาะถั่วงอกกับถั่วปากอ้า หลินฟู่อินก็ไปร้านขายผ้า สั่งผ้าขาวบางมาจำนวนมาก ซึ่งนำมาใช้เวลาต้มน้ำแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง
นางยังถามป้าสองเฟิงซื่อให้ช่วยเย็บผ้าขาวบางเป็ถุงเพื่อนำมาใส่ถั่วปากอ้ากับถั่วงอกด้วย
ได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน ต้ายาก็รับปากอย่างรวดเร็ว “ได้ ฟู่อินรอข้าประเดี๋ยวเดียว”
พูดจบต้ายาก็วิ่งกลับไปที่ห้องรับรอง พอคนกลับมาอีกครั้งก็เห็นกำลังถือถุงผ้าขาวบางขนาดใหญ่เอาไว้ในมือ
“นี่ฟู่อิน!” ต้ายายิ้ม “เ้าจะเอาถุงผ้าเช่นนี้ไปทำอะไรหรือ?”
เห็นอีกฝ่ายพลังงานล้นเหลือ นางก็ยิ้ม “ข้าจะส่งถั่วปากอ้าสดไปให้ภัตตาคารหลิวจี้สักถุง ข้าขนคนเดียวไม่ไหว เ้าช่วยข้าขนไปด้วยกันได้หรือไม่?”
ต้ายาพยักหน้าหงึกหงักเหมือนลูกไก่จิกข้าวเปลือก กล่าวด้วยความตื่นเต้น “ข้าอยากไป ข้าอยากไป!” จากนั้นยังกล่าวเสริม “ข้าแข็งแรงมาก ขนถุงใส่ถั่วปากอ้าพวกนี้ขึ้นบ่าได้เองเชียว ช่วยกันขนสองคนจะยากอะไรกัน?”
“อืม ฟู่อิน ให้ต้ายาขนของไปเถอะ เด็กคนนี้โตมาก็มีเรี่ยวแรงมากนัก แม้แต่ข้าก็ยังไม่แรงดีเท่า” มารดาต้ายาหัวเราะ
ถือว่าเป็บุญแล้วที่หลินฟู่อินอยากจ้างงานต้ายา
เพราะต้ายากระโดกกระเดกเหมือนเด็กผู้ชาย ที่บ้านก็เป็ห่วงเื่การแต่งงาน หากติดตามหลินฟู่อินออกไปเห็นโลกมากกว่านี้ ผู้อื่นอาจจะมองว่านางมีฝีมือก็ได้
หากเป็เช่นนั้นก็ช่วยให้หายปวดใจไปได้มากทีเดียว
หลินฟู่อินจะไม่รู้ความคิดของมารดาต้ายาได้อย่างไร? นางมองต้ายา เห็นอีกฝ่ายอยากออกไปข้างนอกจริงๆ ก็ตกลงใจแล้ว
แม้บ้านต้ายาจะถือว่าไม่เลวในหมู่บ้านหูลู่ แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ค่อยได้เข้าเมือง คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมักจะพาเด็กผู้ชายเข้าเมืองมากกว่า คิดว่าสามารถเปิดหูเปิดตาให้เด็กผู้ชายได้
หลายชีวิตช่วยกันตักถั่วปากอ้าใส่ถุงผ้าขาวบาง จากนั้นก็รัดปากถุงด้วยเชือกเส้นเล็ก ต้ายาโยนถุงใส่ถั่วขึ้นบ่าด้วยท่าทีสบายๆ
หลินฟู่อินกลั้นหัวเราะ เด็กคนนี้แรงเยอะเกินไปจริงๆ ถุงใส่ถั่วปากอ้าหนึ่งถุงก็เกือบจะสี่สิบจินแล้ว…
ต้ายาโยนถุงถั่วขึ้นบ่าแล้วยังมีแรงชี้นู่นชี้นี่หันมาคุยกับนางได้อีก แค่ความสงสัยอย่างเดียวทำไม่ไปด้แน่นอน
เห็นดวงตาต้ายามองมงกุฎดอกไม้ตามร้านแผงลอยอย่างใจจดใจจ่อจนไม่ขยับเท้า หลินฟู่อินก็ยิ้ม “ไปเลือกมาสักอันเถอะ”
“ข้า… ข้าไม่อยากได้แล้ว ประเดี๋ยวแม่จะด่าเอาน่ะ” ต้ายาก้มหน้ามองเท้าตนเอง
“คุณหนู มงกุฎดอกไม้ร้านข้าขายดีที่สุดในปีนี้แล้ว ของพวกนี้มาจากเมืองหลวง! เหล่าคุณหนูคุณนายในเมืองหลวงต่างก็ชอบกันทั้งนั้น คุณหนูไม่เลือกไปสักอันเล่า?”
เมื่อพ่อค้าเห็นโอกาสย่อมต้องเข้ามาพยายามปิดการขาย
ต้ายามองเท้าตนเอง ส่ายหน้าไปมา
“อันละเท่าไรเ้าคะ?” หลินฟู่อินออกปากถาม
“ราคาถูกมาก ถูกมากๆ มงกุฎดอกไม้ผ้าไหมสองชิ้นหนึ่งอีแปะ คุณหนูเลือกสีได้เลยขอรับ” เห็นหลินฟู่อินถามราคา พ่อค้าก็รีบตอบกลับด้วยความยินดี
หลินฟู่อินพยักหน้า หนึ่งอีแปะได้สองชิ้น ราคาไม่แพงเลย
ยิ่งไปกว่านั้นดอกไม้ทำจากผ้าไหมก็ดูงดงามยิ่งนัก
“ข้าอยากซื้อหกอันเ้าค่ะ” หลินฟู่อินกล่าว หยิบเงินออกมาสามอีแปะ ก่อนจะเข้าไปเลือกหยิบเอาสีแดงสองชิ้น สีม่วงสองชิ้น แล้วค่อยหันมามองต้ายา “ต้ายา เ้ามาเลือกอันที่ชอบสองชิ้น ข้าจะให้เ้า”
“จริงหรือ?” ต้ายาได้ยินก็เงยหน้ามองหลินฟู่อินทันที สายตาเต็มไปด้วยประกายสว่างไสว
“มาเถอะ” หลินฟู่อินเร่งเร้า
ต้ายาวิ่งเข้าไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี หยิบมงกุฎดอกไม้สีชมพูออกมาถืออย่างระมัดระวัง หน้าขึ้นสีแดงเรื่อ “ฟู่อิน อีกหน่อยถ้าข้าหาเงินเองได้แล้ว ข้าต้องคืนให้เ้าแน่นอน!”
หลินฟู่อินยิ้ม นางใจกว้างกับเพื่อนๆ เสมออยู่แล้ว เห็นต้ายายังอุตส่าห์คิดจะหาเงินเองก็ทำให้รู้สึกดีใจ “แค่อีแปะเดียว ข้าบอกแล้วว่าให้ก็คือให้”
ต้ายาไม่เซ้าซี้อีก
พ่อค้ายังกุลีกุจอแนะนำต่อไป “คุณหนูทั้งสอง ข้ายังมีผ้าคาดผมอยู่ทางนี้อีกหลายสี ล้วนมาจากเป่ยหรง สนใจด้วยหรือไม่ขอรับ?”
ต้ายาส่ายหน้าทันที “ไม่ไม่ ผ้าคาดผมเป่ยหรงจะมีอะไรดีนักหนา สีสันสดใสเกินไปข้าไม่ชอบ”
แต่หลินฟู่อินกลับสนใจ นางขอให้พ่อค้านำออกมาให้ดู
พ่อค้ามีสีหน้าดีอกดีใจ รีบนำที่คาดผมสามสีออกมา “คุณหนู แม้สีจะเยอะเกินไปสักหน่อย ทว่าก็ยังดูงดงามมากใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินเห็นสีสันของมัน ล้วนเป็สีที่สว่างไสว เช่น สีน้ำเงินอมเขียวอ่อน สีชมพู สีเหลืองขนลูกห่านและสีโทนอ่อนอื่นๆ ถักรวมกัน ดูงดงามเข้ากันได้ดี
อันอื่นๆ ก็มีที่เป็คู่สีเข้ม เช่นแดงดำและม่วงถักรวมกันดูสวยงามนัก
“อันละเท่าไรเ้าคะ?” หลินฟู่อินชื่นชอบเช่นกัน นางตั้งใจจะเลือกมาสองอัน
“อันนี้ราคาถูกมากขอรับ คุณหนูเลือกมาอีกสี่เส้นได้เลย หกเส้นหนึ่งอีแปะขอรับ” พ่อค้าตอบ
ที่จริงแม้ที่คาดผมเช่นนี้จะดูดีแต่ขายในต้าเว่ยไม่ค่อยออก จึงขายในราคาแทบจะเท่าทุน
หลินฟู่อินชะงักเมื่อเห็นว่าที่คาดผมนี้ราคาถูกมากจริงๆ
คิดดูแล้วนางก็ถาม “มีแบบนี้อยู่กี่อันเ้าคะ?”
“หกสิบอันขอรับ” พ่อค้ายิ้มขม เขายังขายไม่ออกเลยสักอัน เว้นแต่อันที่อยู่ในมือหลินฟู่อินที่กำลังพยายามขายอยู่
“เช่นนั้นก็เอามาให้ข้าทั้งหมดเลยเ้าค่ะ” ถึงอย่างไรก็ไม่แพง แค่สิบอีแปะเท่านั้น
นางนับเงินตามจำนวนแล้วส่งให้พ่อค้าทันที
พ่อค้ายังงุนงงอยู่บ้าง ทันใดนั้นก็เสียใจขึ้นมา หากรู้ว่าเป็ลูกค้ารายใหญ่เขาคงไม่ขายเท่าราคาทุนแน่ อย่างน้อยก็ต้องสี่ชิ้นหนึ่งอีแปะก็ยังได้กำไรอยู่ห้าอีแปะ…
“ฟู่อิน จะซื้อผ้าคาดผมแบบเป่ยหรงไปทำไมตั้งเยอะหรือ?” ต้ายาอดถามไม่ได้เมื่อเห็นผ้าคาดผมหลากสีสันในมือหลินฟู่อิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้