เมื่อเซียวมี่ได้ยินว่าเซียวซู่ซู่ถูกเชิญไปงานเลี้ยงร้อยบุปผาสีหน้าของนางก็คล้ำเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่กลับเอ่ยอะไรออกมาไม่ได้ทำได้เพียงแค่อธิษฐานอยู่ในใจ หวังว่าเซียวซู่ซู่จะไม่เกิดเื่อะไรขึ้น องค์หญิงทั้งหลายในวังหลวง แน่นอนว่าย่อมเ้าเล่ห์เพทุบายเป็อย่างยิ่ง
อีกทั้งเมื่อครู่ฮวาเชียนจือที่ดินทางกลับมาจากต้าเยียนก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่เซียวซู่ซู่ไปในงานชมดอกฉยงฮวาเกรงว่าจะต้องมีคนทนรับความขมขื่นเช่นนี้ไว้ไม่ได้แน่ สตรีผู้นั้นดูแล้วก็ไม่ใช่คนประเภทตะเกียงที่ขาดน้ำมัน คงยากที่จะรับมือได้แน่
งานเลี้ยงร้อยบุปผาถือว่าเป็ชื่องานใหม่จริงๆ เห็นทีว่าฮวาเชียนเย่จะว่างจนไม่มีเื่ให้ทำแล้ว
เรียนเชิญหญิงสาวชนชั้นสูงทั้งหลายให้ไปร่องทะเลสาบและชื่นชมวิวทิวทัศน์ด้วยกัน
ในทางลับ ทุกคนล้วนเข้าใจกันดีว่าครั้งนี้องค์ชายฮวาเชียนเย่้าที่จะเลือกพระชายาครั้งนี้ถือเป็โอกาสดีที่จะแสดงความสามารถออกมาแม้ว่าแคว้นป่ายฮวาจะยึดหลักสตรีเหนือกว่าบุรุษแต่เมื่อแต่งเข้าวังหลวงไปเป็พระชายาแล้วก็จะถือว่าเหนือกว่าสตรีทั่วไปอีกขั้นหนึ่ง
เหล่าขุนนางเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงล้วนแย่งกันจะคว้าเอาโอกาสนี้
แน่นอนว่าทุกคนเองก็รู้ชัดว่าขอเพียงมีเซียวซู่ซู่อยู่ โอกาสที่จะหมุนมาถึงตนนั้นก็จะน้อยนิดเสียเหลือเกิน ทว่าต่อให้เป็เช่นนี้พวกนางก็ยินยอมที่จะลองดู ยังไม่เคยลองจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีโอกาส
เพราะฉะนั้นสตรีทุกคนที่ได้รับเชิญล้วนมาถึงงานตรงตามเวลา ไม่มีผู้ใดขาดหรือมาช้าสักคนเดียว เซียวซู่ซู่เองก็มาถึงหน้าประตูวังตรงตามเวลาเช่นกัน
นางมิได้เดินต่อเข้าไปในวังหลวงแต่ทำเพียงแค่รอนิ่งๆ อยู่ในรถม้า นางไม่อยากทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทาและก่อให้เกิดเื่อันไม่ควรยิ่งไม่หวังว่าจะเสนอหน้าให้เป็ที่จับตามอง
นางมาเพียงแค่เห็นแก่หน้าขององค์ชายฮวาเชียนเย่ และก็หาทางออกให้กับสกุลเซียวด้วย
ฮ่องเต้หญิงฮวาหรูเสวี่ยได้ประกาศต่อเชื้อพระวงศ์ขุนนางชนชั้นสูงทั้งหลายของทั้งสามแคว้นแล้วว่าจะให้นางแต่งงานได้อย่างอิสระราชสำนักจะไม่ก้าวก่ายโดยเด็ดขาด เมื่อมีประโยคนี้แล้วเซียวซู่ซู่ก็พอจะรู้สึกวางใจอยู่บ้าง
ไม่มีอะไรต้องกลัว
“น้องเล็ก นี่เป็โอกาสที่หาได้ยากแม้ว่าองค์ชายจะไม่ได้เป็ทายาทสืบทอดตำแหน่ง แต่ก็ถือว่าเป็การอยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนทั้งปวงโดยเฉพาะความเ้าเล่ห์เป็อย่างมากขององค์ชายฮวาเชียนเย่ประกอบกับอำนาจใหญ่โตที่เขามีอยู่ในราชสำนักถ้ามีเขาเป็ที่พึ่งพิงแล้วจะต้องไม่ประสบปัญหาอันใดอีกอย่างแน่นอน” เซียวเอินไม่มีอะไรทำ จึงเอ่ยออกมาเบาๆระหว่างรออยู่ในรถม้าร่วมกับเซียวซู่ซู่
เซียวซู่ซู่ที่เดิมกำลังก้มหน้าอยู่นั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปทางเซียวเอิน “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่า...ชีวิตในวังหลวงเหมาะสมกับข้าหรือ?”
นางไม่คิดจะอธิบายเหตุผลมากมายให้กับเขาจึงเพียงถามกลับออกมาประโยคหนึ่ง ประโยคเดียวก็ทำให้เซียวเอินนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น
ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงจะพยักหน้าลงเบาๆก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “จริงด้วย...ไม่เหมาะสม” เขาไม่ได้คิดละเอียดพอจริงๆ
เพียงคิดว่าน้องสาวของตนทั้งมีรูปโฉมและความสามารถโดดเด่นชื่อเสียงวงศ์ตระกูลโด่งดัง จะต้องเป็ตัวเลือกของตำแหน่งพระชายาที่ดีที่สุดแต่กลับมองข้ามความแตกต่างของน้องสาวตนกับสตรีทั่วไป
ไม่อาจเอาความคิดของตนไปวางแผนชีวิตของนางได้
นางสามารถขอการแต่งงานอย่างเสรีกับฮ่องเต้หญิงที่งานชมดอกฉยงฮวาได้ก็แสดงให้เห็นชัดถึงนิสัยของนางแล้ว
เซียวซู่ซู่เพียงแค่ยิ้มๆไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
นางรู้ว่าในสกุลเซียว คนที่เข้าใจนางดีที่สุดก็คือฮูหยินเฒ่าเซียวมี่เสมือนว่าเซียวมี่รู้ถึงชีวิตชาติก่อนของตนก็มิปานมิมีวันยื่นมือไปสะกิดแผลเก่าของนางเป็อันขาด
ราชสำนักเป็สถานที่ที่นางไม่เคยคิดอยากจะเหยียบย่างเข้าไป
ม่อเวิ่นเฉินคนเดียวก็ทำให้นางไม่กล้าที่จะไปมีความเกี่ยวข้องกับเื่รักใคร่อีกแล้ว
“คุณหนูเล็กสกุลเซียว” ความเงียบในรถม้าถูกทำลายจากเสียงเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาทดังขึ้นด้านนอก
มิต้องเดาคนผู้นั้นก็คือฮวาเชียนเย่
แม้ว่าฮวาเชียนเย่จะมีอำนาจในแคว้นป่ายฮวาอยู่มากล้นแต่ว่าชื่อเสียงด้านการมีสัมมาคารวะของเขาก็โด่งดังยิ่งกว่าข้าราชสำนักทั้งหลายล้วนเคารพเขาเป็อย่างมากเพียงเพราะว่าเขาเป็คนนอบน้อมมีมารยาท
เห็นได้ชัดว่าฮวาเชียนเย่ผู้นี้มิใช่คนธรรมดา หลายปีมานี้ แม้ว่าเขาจะไร้ซึ่งคู่แข่งแต่ก็ยังคงทำได้ดีอย่างไม่มีข้อบกพร่อง ทำให้ข้าราชสำนักนับร้อยมิอาจเอ่ยคำว่า “ไม่” ต่อเขาได้
ครั้งนี้ฮวาเชียนจือกลับมาที่แคว้นอย่างกะทันหันทว่ากลับไม่ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งในราชสำนักของฮวาเชียนเย่แม้แต่น้อย
ในราชสำนักยังคงให้การสนับสนุนฮวาเชียนเย่อย่างเต็มที่มิได้เปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะเพศของเขา
คนที่ฉลาดจะเห็นและเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็แผนการทั้งหมดของฮ่องเต้หญิงฮวาหรูเสวี่ยถ้าหากว่านางไม่อยากให้มีสถานการณ์เช่นนี้ ก็สามารถยื่นมือเข้าไปเปลี่ยนสถานการณ์ได้
เซียวเอินเลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้นก่อนจะก้าวลงก่อนจากนั้นก็แสดงความเคารพอย่างถูกต้องตามประเพณีให้แก่ฮวาเชียนเย่
เมื่อเห็นเซียวเอินฮวาเชียนเย่ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะทว่าเพียงไม่นานสีหน้าเขาก็กลับมาเป็ปกติจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม “มิต้องมากพิธีคุณหนูเล็กสกุลเซียว ยังจำเป็ต้องมีองค์รักษ์ติดตัวมาด้วยงั้นหรือ”
เพียงชั่วพริบตาเดียวบรรยากาศอันน่าอึดอัดก็ได้มลายหายไป
เซียวซู่ซู่ได้เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วนางเตรียมลงจากรถม้าพลางหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้กับฮวาเชียนเย่ รอยยิ้มนั้นทำให้นางดูเป็กุลสตรีเปี่ยมด้วยมารยาท จนฮวาเชียนเย่มิอาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก
ฮวาเชียนจือนั้นก็ยืนอยู่ด้านหลังของฮวาเชียนเย่สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงตน
เมื่อเห็นดังนี้เซียวซู่ซู่ก็ดึงเซียวเอินไปด้านหน้าแสดงความเคารพด้วยกัน “ถวายพระพรองค์หญิง”
ตอนนี้นางยังไม่อยากมีปัญหากับสตรีผู้นี้ถ้าหากนางคิดจะมีก็ต้องให้ฮวาเชียนจือไร้โอกาสที่จะพลิกตัวรอดพ้นจากสถานการณ์โดยเด็ดขาดให้นางอยู่ในสภาพอเน็จอนาถกว่าตนในตอนนั้น
ฮวาเชียนจือเลิกคิ้วขึ้นเบาๆมุมปากของนางกระดกขึ้น สีหน้าไม่เป็มิตรขณะจ้องไปทางเซียวซู่ซู่ทว่านางกลับไม่สามารถเอ่ยอันใดมากได้ ต่อให้นางคิดจะจัดการกับเซียวซู่ซู่เพียงชั่วขณะหนึ่งก็เกรงว่ายังจะหาเหตุผลไม่ได้
เพราะฉะนั้นนางจึงเพียงทำท่ายกมือขึ้น “วันนี้เป็งานเลี้ยงร้อยบุปผาที่เสด็จพี่เป็คนจัดขึ้นก็เพื่อหวังจะให้ทุกคนได้มาพักผ่อน ออกมาเล่นสนุกกัน มิจำเป็ต้องมากพิธี พวกเราก็เรียกขานกันโดยแทนตัวเองว่าพี่น้องเถิด”
สำหรับคำพูดมีมารยาทเช่นนี้ของฮวาเชียนจือเซียวซู่ซู่ก็หาได้รู้สึกซาบซึ้งใจไม่ สตรีผู้นี้ต่อหน้าพูดอย่างลับหลังทำอีกอย่าง นางไม่คิดจะอยากมีพี่น้องอย่างคนประเภทนี้ วันดีคืนดีนางตายไป คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายเพราะอะไร
มีประสบการณ์อันน่าเศร้าสลดของชาติก่อนแล้วเซียวซู่ซู่ได้เรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นมาก
“ขอบพระทัยในน้ำใจขององค์หญิง” น้ำเสียงของเซียวซู่ซู่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไปอีกทั้งยังเอ่ยออกมาอย่างไม่รีบร้อน เพียงว่านางหาได้แสดงความซาบซึ้งใจออกมาแต่ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าราบเรียบ
บารมีที่สูงสง่าเช่นนั้นเสมือนว่านางมีมาั้แ่กำเนิดไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ ทำให้ฮวาเชียนเย่ที่อยู่ด้านข้างตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ
ทว่าเขาสามารถควบคุมของตนเองได้เสมอมิได้ทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าผู้คน
คุณหนูจากตระกูลผู้ดีทั้งหลายล้วนจ้องไปทางเซียวซู่ซู่ด้วยสายตาไม่เป็มิตรเพียงเพราะว่าฮวาเชียนเย่ประพฤติต่อนางต่างจากผู้อื่น สำหรับคนอื่นๆเซียวซู่ซู่กลับมีสีหน้าราบเรียบ ประพฤติตัวประหนึ่งเื่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาได้เกี่ยวข้องกับนางไม่
“คุณหนูเล็กสกุลเซียว ฝีมือกลอนภาพหมากพิณของท่านล้วนเป็สุดยอดท่านฝึกฝนร่ำเรียนมาได้อย่างไรหรือ”บนเรือลำใหญ่เซียวเอินถูกฮวาเชียนเย่ดึงไปพูดคุยกันอยู่ด้านหนึ่งในขณะที่เซียวซู่ซู่รวมถึงฮวาเชียนจือและหญิงสาวคนอื่นๆกำลังนั่งล้อมกันอยู่เบื้องหน้าโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งเพื่อชื่นชมความงามของดอกบัวที่กำลังผลิบานอยู่กลางทะเลสาบ จากนั้นก็มีสตรีชุดสีม่วงหันไปมองทางเซียวซู่ซู่พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แม้ว่าใบหน้านางจะประดับด้วยรอยยิ้มแต่ว่าประโยคที่เอ่ยออกมากลับมีความเหน็บแนมแฝงอยู่ด้วย
ใครบ้างไม่รู้ว่าเซียวซู่ซู่สลบไม่ได้สติมาเป็เวลานานถึงสิบห้าปีนางในตอนนั้นเป็เพียงแค่สตรีปัญญาอ่อนที่ทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะเอ่ยคำพูดออกมา
“มิได้เรียน” เซียวซู่ซู่รู้ว่าสตรีผู้นั้นตั้งใจจะหาเื่ตนนางเองก็ไม่อยากจะเสแสร้งแกล้งทำดีด้วย จึงตอบกลับออกไปเพียงสามคำ
“ฮ่าๆ...ได้ยินหรือไม่คุณหนูสกุลเซียวนางว่านางมิได้เรียนก็สามารถเอาชนะและคว้าตำแหน่งยอดบุปผาในงานชมดอกฉยงฮวาได้” สตรีผู้นั้นอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางหันไปเล่นหูเล่นตากับสตรีคนอื่นๆที่อยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้วท่านไม่ได้ยินหรือว่านางเป็เซียนหญิงมาจุติ ตอนที่ลงมาที่โลกมนุษย์สมองก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจนไม่อาจใช้การได้” สตรีอีกนางหนึ่งเอ่ยสมทบ
“ทว่าเซียนหญิงอย่างไรเสียก็เป็เซียนหญิง นางยังคงสามารถเจิดจรัสในงานชมดอกฉยงฮวาได้อย่างงดงาม”
“ใช่แล้วๆ...”
สตรีที่นั่งอยู่ตรงนี้ใครบ้างมิใช่ผู้ที่มีฐานะสูงส่ง เป็สุดยอดสตรีของแผ่นดินแน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของสกุลเซียว
เพียงเพราะว่าท่าทางในตอนแรกของเซียวซู่ซู่ทำให้พวกนางดูเหมือนจะรู้สึกไม่พอใจ
เมื่อได้ยินคำพูดเ่าั้เซียวซู่ซู่ก็มิได้ขยับ ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ถัดจากนางไปอีกสองคนก็คือฮวาเชียนจือั้แ่ต้นจนจบนางมิได้เอ่ยออกมาสักประโยค เพียงแค่มองดูละครอยู่ตรงนั้นเฉยๆ
ฮวาเชียนเย่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักแม้ว่าเขากำลังพูดคุยอยู่กับเซียวเอินทว่าั้แ่แรกก็ได้จับตาดูเหตุการณ์ทุกอย่างของทางนี้เขากำลังดูว่าเซียวซู่ซู่จะจัดการกับสตรีเหล่านี้อย่างไร
เขาไม่อยากจะรู้สึกผิดหวัง