ระหว่างทางกลับไปที่เรือนบุปผาภิรมย์ มู่อวิ๋นจิ่นอารมณ์ดีเหลือล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางนึกถึงความโกรธและความเศร้าในดวงตาของมู่หลิงจูในตอนนี้ นางก็รู้สึกชื่นใจและก็อดไม่ได้ที่จะเดินช้าลงเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศเล็กน้อย
“พี่สาม…” เสียงอันไพเราะดังมาจากทางเท้า มู่อวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้าก่อนจะหันไปมอง มู่เซี่ยโหรวที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นว่าคนที่เรียกนางเอาไว้คือมู่เซี่ยโหรว มู่อวิ๋นจิ่นก็สีหน้าไม่ดีนัก จึงตอบด้วยเสียงแ่เบา “น้องห้า มาหาข้าที่นี่ เ้ามีเื่อันใดหรือไม่?”
“เ้าค่ะพี่สาม โหรวเอ๋อร์รอท่านมานานแล้ว” มู่เซี่ยโหรวก้าวไปข้างหน้า และขยิบตาให้มู่อวิ๋นจิ่นแสร้งทำเป็ว่าเชื่อฟัง
“รอข้าเพราะเหตุใด?” มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองมู่เซี่ยโหรวพลางก้าวไปด้านหน้า
เมื่อมู่เซี่ยโหรวได้ยินนางก็คลี่ยิ้ม “ข้า้าแสดงความยินดีกับพี่สาม เมื่อเห็นว่าองค์ชายหกมาเยือนจวนของเราในวันนี้ สิ่งดี ๆ ต้องมาหาพี่สามในไม่ช้านี้อย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็เข้าใจเจตนาของมู่เซี่ยโหรว และอดยิ้มไม่ได้ “ขอบคุณมากน้องห้า”
“เราต่างก็เป็ครอบครัว ท่านพี่ไม่จำเป็ต้องสุภาพหรอกเ้าค่ะ” มู่เซี่ยโหรวพูดด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่ใบหน้าของมู่เซี่ยโหรวในเวลานี้ หากมิใช่เพราะวันนั้นเด็กคนนี้ไปหาเื่นางถึงเรือนมวลบุปผา ตอนนี้นางคงมองว่ามู่เซี่ยโหรวเป็เพียงเด็กสาวที่มีรอยยิ้มไม่เป็อันตรายอันใด เป็เพียงหญิงสาวที่ไร้เดียงสาคนหนึ่งก็เท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น ความคิดของนางกลับเต็มเปี่ยมด้วยความร้ายที่ฝังลึก
“ก่อนหน้านี้ ข้าและท่านแม่ของข้าคุยกันว่าท่านพี่เกิดมาพร้อมความงดงามสดสวย และท่านพี่จะต้องเข้าวังได้อย่างราบรื่นอย่างแน่นอน” มู่เซี่ยโหรวยิ้มพลางกอดแขนของมู่อวิ๋นจิ่นอย่างรักใคร่
มู่อวิ๋นจิ่นเองก็ปล่อยให้นางจับแขนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอ่ย “น้องห้าเองก็ไม่ด้อยและเ้าเองก็จะมีครอบครัวที่ดีเช่นกันในอนาคต”
“ข้าขอให้พรสัมฤทธิ์ผลเ้าค่ะ” มู่เซี่ยโหรวปล่อยแขนของมู่อวิ๋นจิ่น คำนับและพูดอย่างเคอะเขินว่า “หากท่านพี่เข้าวังไปแล้ว ได้โปรดอย่าลืมน้องสาวคนนี้นะเ้าคะ”
หลังจากฟังมู่เซี่ยโหรวพูดมาครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็เข้าประเด็น มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมองขึ้นลงอย่างสบาย ๆ ไปยังมู่เซี่ยโหรว จากนั้นยื่นมือออกไปเพื่อสางผมของนางอย่างแ่เบา
“ตราบใดที่เ้าว่านอนสอนง่าย พี่ก็จะไม่ใจจืดใจดำต่อเ้าอย่างแน่นอน” ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นเป็ประกาย และออกปากเน้นย้ำอีกครั้ง “เ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือความว่านอนสอนง่าย?”
มู่เซี่ยโหรวตกตะลึงกับน้ำเสียงที่ค่อนข้างเข้มงวดของมู่อวิ๋นจิ่น จนนางก็ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่น ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“ค่ำมากแล้ว น้องห้าไปพักผ่อนเสียเถิด” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างแ่เบาและส่งมู่เซียโหรวกลับไป
ราวกับว่าได้ยินคำสั่งชี้เป็ชี้ตาย มู่เซี่ยโหรวก้าวเท้าขึ้นและวิ่งหนีไปทันที
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นกลับมาที่เรือนบุปผาภิรมย์ มีการจุดเทียนให้ความสว่างไสวอยู่ข้างใน จื่อเซียงรีบวิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู “คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือเ้าคะ”
“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว ช่วยเตรียมน้ำอาบให้ข้าที ข้า้าอาบน้ำ” มู่อวิ๋นจิ่นบิดี้เีและหาวออกมาวอดใหญ่
วันนี้ทั้งวัน หนักหนาราวกับนางจะตายเสียให้ได้
“คุณหนูรอสักครู่แล้วจึงค่อยอาบน้ำนะเ้าคะ ป้าจางมาที่นี่ รอคุณหนูอยู่ที่นี่ทั้ง่บ่ายวันนี้ คุณหนูควรไปพบก่อนนะเ้าคะ” จื่อเซียงพยุงมู่อวิ๋นจิ่นและเดินเข้าไปในห้องโถงเล็ก ๆ ของเรือนบุปผาภิรมย์
“ป้าจาง?”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนว่าตอนนั้น ที่นางพบว่าจี้หยกหายไป เมื่อนางได้ยิน จื่อเซียงพูดถึงบุคคลนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นก็มาถึงห้องโถงเล็ก ๆ ทันทีที่เข้าไปในห้องโถง ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ นางสวมชุดธรรมดา เส้นผมแปรเปลี่ยนเป็สีขาวโพลน เผยเห็นสีดำอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ทันทีที่หญิงชราเห็นร่างของมู่อวิ๋นจิ่น นางก็ลุกขึ้นทันที ดวงตาของนางแดงก่ำ “คุณหนูสาม ข้าไม่ได้พบท่านมาหลายปีแล้ว ท่านช่างบอบบางและงดงามยิ่งนักเ้าค่ะ”
“คาราวะป้าจางเ้าค่ะ” แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ดั้งเดิมระหว่างป้าจางกับเ้าของร่างนี้ แต่ตอนนี้ก็ควรที่จะทักทาย
ป้าจางพยักหน้าพลางจับมือมู่อวิ๋นจิ่นแล้วนั่งลง เลื่อนสายตามองมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วพยักหน้าด้วยความโล่งอก “ข้าดีใจยิ่งนักเ้าค่ะ ที่ได้เห็นคุณหนูเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย”
“ใช่แล้วป้าจาง ั้แ่ท่านออกจากจวนและกลับบ้านเมื่อสิบปีก่อน ชีวิตของคุณหนูในจวนแห่งนี้ก็ไม่ง่ายเลย หลายปีที่ผ่านมา ต้องพบเจอกับความยากลำบากมาโดยตลอดเลยเ้าค่ะ” จื่อเซียงเหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่นและกล่าวขึ้นมา
หลังจากรู้ว่าคุณหนูถูกป้าซูรมยา ความทรงจำของนางก็หายไปเล็กน้อย และป้าจางก็กังวลใจ ดังนั้นจื่อเซียงจึงต้องเตือนมู่อวิ๋นจิ่นให้ทันท่วงที
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองเด็กคนนี้ที่อยู่ข้างกายนางด้วยด้วยสายตาแห่งความซาบซึ้ง
“เป็ตัวบ่าวเองที่ไม่สามารถช่วยคุณหนูได้ เมื่อเห็นคุณหนูเป็เช่นนี้ บาปในหัวใจของบ่าวชราคนนี้ก็คงเบาลง” ป้าจางถอนหายใจและกำมือของมู่อวิ๋นจิ่น
“ท่านป้าไม่ต้องโทษตัวเองหรอกเ้าค่ะ อวิ๋นจิ่นใกล้วัยออกเรือนแล้ว ใกล้จะพ้นทุกข์พ้นโศกแล้วล่ะเ้าค่ะ ชีวิตที่ดีรออยู่เบื้องหน้าแล้ว ความทุกข์ทนวันนี้จะสำคัญอันใดเล่าเ้าคะ” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าว
ป้าจางสูดหายใจลึกและพยักหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ป้าจางดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “แต่กระนั้น คุณหนูเ้าคะ ยังเก็บจี้หยกประจำตัวของท่านไว้อยู่หรือเปล่า?”
หลังจากพูดเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นและจื่อเซียงก็มองหน้ากัน
“ไม่ต้องห่วงป้าจาง มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยเ้าค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้ม ตอนนี้จี้หยกอยู่กับฉู่ลี่แล้ว ก็ถือว่าเก็บรักษาไว้อย่างดีเช่นกัน
“ดีแล้วเ้าค่ะ” ป้าจางพยักหน้า จู่ ๆ ก็ลดเสียงลง และพูดด้วยเสียงแ่เบา ซึ่งมีเพียงคนทั้งสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “จี้หยกสำคัญมากสำหรับท่าน คุณหนูต้องเก็บไว้ให้ดี ห้ามให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น”
คำพูดของป้าจางกระตุ้นความอยากรู้ของมู่อวิ๋นจิ่น และนางก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มันสำคัญไฉนหรือ จี้หยกนั้นอยู่เคียงข้างข้ามาหลายปีแล้ว และข้าเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเลย”
“เฮ้อ มีบางสิ่งที่บ่าวชราผู้นี้ไม่ควรพูดเ้าค่ะ”
“แต่ตอนนี้ท่านก้าวเข้าสู้วัยปักปิ่นแล้ว คงมิเป็อันใดหากบ่าวจะบอกบางอย่างกับคุณหนู”
“คุณหนู ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าท่านไม่มิสิทธิ์มีเสียงในจวนแห่งนี้ เพียงเพราะท่านไม่มีความรู้ ขี้ขลาดและอ่อนแอ? เมืองเตี๋ยฮวาแห่งนี้ บุตรีของครอบครัวใดที่มีความสามารถ ฉลาดและเฉลียวกันทุกคนบ้างเล่า? ทั้งยังไม่ได้รับแม้แต่ความรักจากบิดามารดาเสียด้วยซ้ำ”
“ท่านเคยได้รับความรักของแม่ ในฐานะบุตรีคนโตบ้างหรือไม่ ท่านรู้สึกถึงร่องรอยของความอ่อนโยนจากท่านเสนาบดีบ้างหรือไม่ ท่านเคยคิดจริง ๆ เกี่ยวกับต้นเหตุของเื่ราวเล่านี้หรือไม่?”
“…”
คำพูดของป้าจางราวกับะเิในหูของมู่อวิ๋นจิ่น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกราวกับว่ามีเศษชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่ว
“ข้าไม่ใช่เืเนื้อเชื้อไขของสกุลมู่หรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นพูดออกมาเสียงแ่เบา เลื่อนสายตามองไปยังป้าจาง
ป้าจางถอนหายใจเล็กน้อย หลับตาแล้วพยักหน้า
หลังจากได้รับการยืนยันจากป้าจาง มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เกี่ยวกับประเด็นนี้ นางเองก็เคยจินตนาการถึงเื่นี้ด้วย แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าข้อสันนิษฐานของนางจะกลายเป็ความจริง
“จี้หยกนั่นเป็สัญลักษณ์ที่ครอบครัวที่แท้จริงของท่านฝากไว้ ดังนั้นท่านต้องเก็บรักษาเอาไว้และอย่าทำมันหาย รู้หรือไม่?” ป้าจางกำชับ
ได้ยินสิ่งที่ป้าจางพูด มู่อวิ๋นจิ่นชะงักงันเล็กน้อย นางไม่เคยคิดว่าจี้หยกชิ้นนั้นจะมีความสำคัญต่อนางมากมายขนาดนี้ และตอนนี้นางเองก็ตกลงขายให้ฉู่ลี่ไปเสียแล้ว
และเมื่อเป็ดังนั้น การจะขายให้ฉู่ลี่ก็คงเป็ไปไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร หากนางเปลี่ยนใจ
เมื่อคิดดังนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“มันดึกแล้ว วันนี้ป้าจางอาจจะเหนื่อยมากแล้ว ทำไมท่านไม่พักเสียก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นเปลี่ยนเื่และมองไปที่ป้าจาง
ป้าจางพยักหน้า
หลังจากกลับมาที่ห้องนอน มู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปนั่งอยู่ในอ่างน้ำ ขมวดคิ้วแน่นครุ่นคิดว่าจะพูดกับฉู่ลี่อย่างไรดี
จื่อเซียงกำลังช่วยมู่อวิ๋นจิ่นใส่กลีบดอกไม้ลงในอ่างน้ำ หลังจากนั้นไม่นานจื่อเซียงก็วางตะกร้าดอกไม้ลงและกระทืบเท้าของตน “คุณหนู เราควรทำอย่างไรดี จี้หยกนั่นหายไปแล้ว...”
“หากครอบครัวที่แท้จริงของคุณหนูมาตามหา เราจะทำเยี่ยงไรดีเ้าคะ” จื่อเซียงกำลังจะร้องไห้ออกมา
“ไม่ต้องกังวล จี้หยกอยู่กับฉู่ลี่ เขาเป็คนที่เก็บมันได้” เมื่อมองไปยังเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กังวลมากกว่าตัวเอง มู่อวิ๋นจิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกความจริง
เมื่อได้ยินว่าเป็ฉู่ลี่ จื่อเซียงก็เปิดปากพูดทันที “คุณหนู ท่านกับองค์ชายหกพัฒนาไปอีกขั้นหรือเ้าคะ ท่านฝากจี้หยกส่วนตัวไว้กับองค์ชายหกเช่นนั้นหรือ?”
“เ้าเด็กคนนี้ ข้าบอกว่าเขาเก็บมันได้ เ้ากำลังคิดอะไรอยู่” มู่อวิ๋นจิ่นจ้องไปที่จื่อเซียง
จื่อเซียงยิ้มอย่างแฝงความนัย ยังคงช่วยมู่อวิ๋นจิ่นเทกลีบดอกไม้ลงในอ่าง “บ่าวดีใจแทนคุณหนูจริง ๆ เ้าค่ะ ไม่ช้าก็เร็วคุณหนูจะกลายเป็ชายาองค์ชายหก แม้จะมีเื่อันใดเกิดขึ้นกับท่านและองค์ชายหก ก็ไม่ถือว่าเป็เื่ใหญ่อันใด”
มู่อวิ๋นจิ่นสำลักและพูดไม่ออก
ตลอดทั้งคืนมู่อวิ๋นจิ่นนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะบอกฉู่ลี่อย่างไรในเื่ที่นางจะเปลี่ยนใจ
เมื่อเขาอยู่บนรถม้า เขาแสดงออกได้อย่างชัดเจนว่าเขาสนใจจี้หยกนั้นมาก ซึ่งเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จี้หยกนั้นก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของนางโดยตรง และมีความสำคัญต่อตัวนางเองด้วย ถึงอย่างไรเสียก็ต้องเอาคืนอยู่ดี
หลังจากคิดเื่นี้แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็ลุกขึ้นนั่งเกาหัวอย่างหงุดหงิด พลันลุกจากเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปจุดเทียน และนับดูชั่วยามในตอนนี้
เป็ยามสี่*
(* ่เวลาหลังจากตีสามไปจนย่ำรุ่ง หรือหกโมงเช้า)
เมื่อมองไปที่บรรยากาศกลางคืนอันเงียบสนิทด้านนอกหน้าต่าง มู่อวิ๋นจิ่นขบเม้มริมฝีปากแน่น และทันใดนั้นแผนการบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจนาง
“เหตุใดไม่ไปขโมยจี้หยกนั่นกลับมาล่ะ”
หลังจากคิดได้เช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกพูดไม่ออก แม้ว่ามันจะเป็ของของนางเอง แต่นางก็ต้องขโมยมันกลับมางั้นหรือ
แต่ดูเหมือนจะไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว
…
หลังจากดื่มชาสักถ้วย มู่อวิ๋นจิ่นก็เปลี่ยนเป็ชุดสีดำที่มีผ้าสีดำคลุมใบหน้าของนาง ก่อนจะเป่าเทียนในห้องอย่างเงียบ ๆ
จากนั้นนางก็เปิดหน้าต่างเบา ๆ หันหลังเดินออกไป ฝีเท้าของนางเบามากและในที่สุดนางก็หายไปในความมืดอันเงียบสงบ...
หลังจากปีนข้ามกำแพงและออกจากจวนอย่างง่ายดาย มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟื้นความทรงจำอันเลือนลางของนางและมุ่งหน้าไปยังวังหลวง ระหว่างการเดินทางมู่อวิ๋นจิ่นเปรียบเสมือนเหมือนแมวดำ ว่องไววิ่งไปทุกมุมถนนและหลบตามตรอกซอกซอย
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นก็หยุดอยู่หน้าประตูวัง ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเฝ้าสังเกตทหารรอบ ๆ วัง
ตอนนี้ก็ยามสี่แล้ว ทหารเฝ้ายามอาจจะเหนื่อยล้าทำให้ไม่เห็นความผิดปกติในความมืดมิด ไม่ได้สังเกตุเห็นว่ามีคนลักลอบเข้าวัง
หลังจากเข้าไปในวังแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นในชุดดำก็ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จิตใจของนางก็ว้าวุ่นเล็กน้อย นางกรอกสายตามองไปรอบ ๆ ผ่านเงาของต้นไม้
ให้ตายสิ พฤติกรรมของนางตอนนี้ดูประมาทเกินไป นางไม่รู้ว่าตำหนักใดที่ฉู่ลี่อาศัยอยู่ นางควรไปหาใครสักคน แต่ในวังขนาดใหญ่เช่นนี้นางจะไปหาคนที่ว่าได้จากที่ไหน
ขณะที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้ กองทหารลาดตระเวนก็เดินมาห่างไปไม่ไกล และหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มู่อวิ๋น จิ่นซ่อนตัวอยู่
“หัวหน้าขอรับ ตำหนักขององค์ชายสี่และองค์ชายห้าได้รับการตรวจตราที่นั่นแล้ว และตอนนี้พระราชวังเฉาเยว่ขององค์ชายสามและตำหนักลี่เฉวียนขององค์ชายหกยังไม่ได้ตรวจตราขอรับ”