ไม่มีธุรกิจใดที่ทำเงินมหาศาลได้โดยง่าย
ใช้วิธีทางทุจริตได้เงินไว แต่วิธีทุจริตคือการเอาศีรษะผูกไว้กับเข็มขัด [1] หลิวหย่งเกือบไปแล้วไปลับจากการใช้วิธีการหาเงินแบบทุจริต ส่วนเซี่ยจื่ออวี้อาศัยอยู่ในหอคอยงาช้าง จะมีโอกาสรอดชีวิตดีๆ แบบนั้นได้ที่ไหน และเซี่ยจื่ออวี้ไม่มีทางไปตั้งแผงลอยแน่นอน เธอทิ้งหน้าตาของนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ได้ ถ้านักศึกษาไปหางานพิเศษเป็อาจารย์สอนนอกเวลา นั่นคือการประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ เมื่อเล่าออกไปแล้วดูเข้าท่าไม่น้อย... ปัจจุบันการประกอบธุรกิจอิสระมักถูกดูิ่ นักศึกษามหาวิทยาลัยตั้งแผงลอยย่อมมิใช่มุขตลกที่ดีอะไรนัก
ชื่อเสียงสร้างเซี่ยจื่ออวี้ และผูกมัดเซี่ยจื่ออวี้ไว้ด้วยเช่นกัน
เธออยากหาวิธีทำเงินจำนวนมากที่ไม่เหนื่อยยาก แต่เธอไม่มีเส้นสายอะไรในปักกิ่งเลย
มันจะดีมากหากรุ่นพี่หลิ่วไม่ได้ชอบหวังเจี้ยน ในเมื่อสามารถรับนักเรียนที่้าเรียนเสริมเ่าั้มาให้หวังเจี้ยนหัวและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของอาจารย์หลิ่ว เซี่ยจื่ออวี้คิดว่าเธอเองก็สามารถจัดชั้นเรียนกวดวิชาเพื่อหาเงินได้เช่นกัน หวังเจี้ยนหัวรับนักเรียนเพียงไม่กี่คน หนึ่งเดือนกลับทำเงินได้ตั้งสองร้อย ถ้าเธอทำเป็ชั้นเรียนกวดวิชาขนาดใหญ่ รายได้หนึ่งเดือนจะเพิ่มขึ้น 10 เท่าหรือเปล่านะ?
สามารถเก็บเงินนักเรียนหนึ่งคนจำนวน 10 หยวนต่อเดือน ชั้นเรียนกวดวิชาประเภทนี้จะมีจำนวนคนมากเกินไปไม่ได้ หากมากเกินไปผู้คนยอมไปจ้างอาจารย์สอนตัวต่อตัวดีกว่า เช่นนั้นก็กำหนดไว้ที่นักเรียน 20 คนต่อหนึ่งชั้นเรียนแล้วกัน วันสุดสัปดาห์ของทุกเดือนรวมกันเป็ 8 วัน จัดได้ประมาณ 10 คาบเรียน อันที่จริงหนึ่งคาบเรียนราคาแค่ 1 หยวน เซี่ยจื่ออวี้เชื่อว่าเธอเก็บค่าเล่าเรียนอย่างสมเหตุสมผลแล้ว
รับสมัครเต็มหนึ่งชั้นเรียน ทุกเดือนจะเป็เงิน 200 หยวน
หานักศึกษาในวิทยาลัยไปสอน ให้ค่าตอบแทน 5 หยวนต่อหนึ่งคาบเรียน สิบคาบเรียนจ่ายไปเพียง 50 หยวนเท่านั้น
หนึ่งชั้นเรียนก็ทำกำไรได้ถึง 150 หยวนแล้ว
ฟังดูเหมือนไม่มากมายนัก ทว่าหากเธอจัดตั้งสิบหรือยี่สิบชั้นเรียนในคราวเดียวล่ะ? ส่วนเื่ ‘อาจารย์’ ที่จะสอนในชั้นเรียนกวดวิชาก็ไม่ต้องกังวลใจเลย ที่นี่คือวิทยาลัยฝึกหัดครู มีนักศึกษาผู้้าทำหน้าที่อาจารย์อย่างสมเกียรติถมเถไป แถมมีแรงจูงใจจากค่าตอบแทนด้วย
อีกทั้งเซี่ยจื่ออวี้ไม่ต้องสอนด้วยตนเอง เธอแค่รับผิดชอบจัดการเวลาเรียนของนักเรียนจำนวนมาก และหาสถานที่อันเป็หลักแหล่งสักแห่งเท่านั้น
ยิ่งครุ่นคิดยิ่งเชื่อว่าแผนงานนี้สามารถปฏิบัติได้จริง
ถ้าทุกเดือนมีรายได้สองถึงสามพันหยวน ไม่ต้องรอถึงสองปี บางทีเธออาจซื้อบ้านที่เป็ของตัวเองในปักกิ่งได้
แบบนั้นก็ไม่กังวลอีกแล้ว ถือว่าลงหลักปักฐานมั่นคงในปักกิ่ง รวมถึงหางานหลังจบการศึกษาอยู่ในปักกิ่งได้เช่นเดียวกัน และเธอจะเปลี่ยนจากคนชนบทในมณฑลอวี้หนานเป็คนเมือง กลายเป็คนเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์!
“โครงการนี้เป็ไปได้ ร้านอาหารว่างยังเปิดได้เลย นี่คงไม่ยากเท่าไรหรอก”
เธอจำเป็ต้องลงทุนอะไรบ้าง?
ต้องพิมพ์แผ่นพับสำหรับโฆษณาล่วงหน้า นำไปแจกจ่ายหน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายเ่าั้
ต้องเช่าสถานที่ที่ใช้เป็ห้องเรียนได้ จัดแต่งสถานที่เป็ศูนย์การเรียนกวดวิชา
ต้องหานักศึกษาที่ชำนาญแต่ละวิชามาจำนวนหนึ่ง เพื่อดำเนินการสอนอย่างตรงจุดตามรายวิชาการสอบเกาเข่า
พิมพ์แผ่นพับต้องใช้เงิน หาสถานที่ต้องใช้เงิน ส่วนจ้างอาจารย์สอนพิเศษ แทบไม่ต้องใช้เงินมากมายนักสินะ?
เซี่ยจื่ออวี้คำนวณเงินสองพันหยวนที่อยู่ในมือเธอ สำหรับการริเริ่มตั้งชั้นเรียนกวดวิชาแล้วนั้นเรียกได้ว่าเพียงพอเหลือเฟือ มีอีกหนึ่งเหตุผลที่เธออยากทำธุรกิจนี้ นั่นก็เพราะหวังเจี้ยนหัว หวังเจี้ยนหัวไม่ใช่ ‘อาจารย์สอนพิเศษ’ พร้อมใช้งานหรอกหรือ? หากหวังเจี้ยนหัวมาช่วยงานที่ชั้นเรียนกวดวิชาของเธอ ก็ไม่ต้องมีการติดต่อที่มากเกินความจำเป็กับรุ่นพี่หลิ่วอีกต่อไป
ธุรกิจนี้คือศรดอกเดียวได้อินทรีสองตัวเลยทีเดียว เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
แน่นอนว่าต้องเริ่มตั้งชั้นเรียนกวดวิชาให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะบอกหวังเจี้ยนหัวได้
เซี่ยจื่ออวี้มีความกระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยม หมอกควันครึ้มเมื่อเร็วๆ นี้สลายหมดแล้ว ท้องฟ้ากลับกลายเป็สีฟ้าสดใส อากาศสดชื่น เดือนพฤษภาคมเพิ่งมาเยือน ปักกิ่งจึงไม่มีทั้งพายุทรายและหิมะ มองไปทางไหนก็สบายตาจริงๆ
นักศึกษาสาวกำลังครุ่นคิดที่จะเป็เถ้าแก่ ในขณะเดียวกัน เถ้าแก่เซี่ยผู้มีธุรกิจเฟื่องฟูกลับกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นยอดที่สุดของทั่วประเทศ
พอไม่มีการก่อกวนบังคับแต่งงานของบ้านฝาน เซี่ยเสี่ยวหลานก็จมอยู่กับการเรียนโดยสมบูรณ์
กำหนดการประจำวันของเธอช่างเรียบง่ายยิ่งนัก หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนไม่เคยได้เงินมาอย่างสบายเช่นนี้มาก่อนเลย เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้รับผิดชอบค่าอาหารและที่อยู่ทั้งหมด พวกเขาเพียงรอหน้าประตูบ้านอวี๋ก่อนเจ็ดโมงเช้าของทุกวัน จากนั้นก็ส่งเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยซางตู เหลือหนึ่งคนรอหน้าห้องสมุด ตอนกลางวันเซี่ยเสี่ยวหลานจะไปจัดการมื้อเที่ยงที่โรงอาหารซางต้า เมื่อเสร็จสิ้นเซี่ยเสี่ยวหลานจะกลับห้องสมุดอีกครั้งเพื่อทบทวนบทเรียนต่อจนถึงหกโมงเย็น
่เช้าและ่บ่าย หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนสามารถเปลี่ยนกะทำงานได้
เดิมทีในซางต้านั้นค่อนข้างปลอดภัย
สองคนนี้ไม่อาจดึงดูดความสนใจของนักศึกษาซางต้าได้ แต่หนีสายตาของเ้าหน้าที่จั๋วไม่พ้น
จั๋วเว่ยผิงมาแจ้งเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความหวังดี ฝานเจิ้นชวนแห่งเขตเหอตงถูกจับแล้ว ‘การบังคับแต่งงาน’ ที่เซี่ยเสี่ยวหลานกังวลใจไม่อาจเป็ภัยคุกคามแก่เธอได้อีก
แต่กลับพบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมี ‘ผู้ติดตาม’ เพิ่มสองคน จั๋วเว่ยผิงนึกว่าคนตระกูลฝานไม่ยอมเลิกราเสียอีก เกือบลงมือกับพวกหลี่ต้งเหลียงแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกซาบซึ้งต่อเ้าหน้าที่จั๋วผู้มีน้ำใจเป็อย่างยิ่ง
“พี่จั๋ว นี่เป็ความเข้าใจผิด ทั้งสองคนคือคนรู้จักทั้งคู่ พวกเขาเป็เพื่อนค่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีทางโอ้อวดอย่างผ่าเผยว่านี่คือคนคุ้มกัน
จั๋วเว่ยผิงประหลาดใจ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอธิบายเพิ่มเติม
“เื่ของบ้านฝานทำให้โจวเฉิงเป็กังวลมาก นี่ฉันก็ใกล้สอบเกาเข่าแล้ว เขาเลยแนะนำเพื่อนสองคนมาช่วยดูแล ที่ยิ่งกว่านั้นคือในบ้านฉันยังเลี้ยงหมาอีกสองตัวด้วย”
ตอนนั้นจั๋วเว่ยผิงก็คิดหาหนทางแก้ไขเช่นกัน ทว่าฝานเจิ้นชวนถูกจัดการอย่างรวดเร็ว จั๋วเว่ยผิงยังไม่ทันทำอะไรด้วยซ้ำ
ในเมื่อเป็แบบนี้ หรือจะเป็โจวเฉิงอีกแล้ว?!
จั๋วเว่ยผิงยังคงรู้สึกว่าโจวเฉิงไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น และต้องยอมรับด้วยว่า บางครั้งคนชั่วก็จำเป็ต้องให้คนไม่ธรรมดามาจัดการ ไม่ว่าฝานเจิ้นชวนถูกจับเพราะเหตุใด ท้ายที่สุดเนื้อร้ายชิ้นโตของเขตเหอตงก็ถูกกำจัดแล้ว ถือว่าเป็เื่ราวดีๆ สำหรับประชาชนในพื้นที่เหมือนกัน
พอเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนคือคนที่โจวเฉิงส่งมา จั๋วเว่ยผิงยิ่งรู้สึกสับสน สหายเซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาสะสวยแบบนี้ หญิงสาวรูปงามมักโดนคนไม่ดีคิดร้ายด้วยเสมอ แม้โจวเฉิงจะมีสองโฉมหน้า แต่เอาใจใส่สหายเซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งนัก อีกทั้งเ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถปกป้องประชาชนทุกคนได้ จบที่ต้องให้โจวเฉิงมาช่วยเหลืออยู่ดี
เื่ที่ฝานเจิ้นชวน้าบังคับเซี่ยเสี่ยวหลานแต่งงาน จั๋วเว่ยผิงไม่บอกแม้แต่จั๋วน่า
ฝานเจิ้นชวนแห่งเขตเหอตง จั๋วน่าไม่เคยได้ยินกระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานเท่านั้น เมื่อฝานเจิ้นชวนถูกจับกุม เหตุการณ์นี้ก็ถือว่าปิดม่านไปแล้ว มีเพียงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ที่ยังไม่ลืม ยกตัวอย่างเช่นเหลียงปิ่งอันกับหลิวฟางที่กำลังหวาดหวั่นอยู่ไม่สุข
พอโจวเฉิงจากไป ตัวเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ได้รวมสมาธิกลับมา ชั่วพริบตาก็เป็ต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว เครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิของหลานเฟิ่งหวงหลงเหลือค้างเพียงเล็กน้อย ผู้คนต่างปลดเสื้อไหมพรมกับเสื้อคลุมบนร่างกายออก จากนั้นสวมเสื้อแขนยาวแทน
วันที่ 7 เดือนพฤษภาคม เซี่ยเสี่ยวหลานไปอันชิ่งเซี่ยนอีจงเพื่อรับบัตรประจำตัวเข้าสอบคัดเลือกรอบแรกภายใต้การติดตามของหลี่ต้งเหลียง
หนนี้ ขนาดอาจารย์ใหญ่ซุนยังกำชับตักเตือนเธอด้วยตนเอง
แม้ ‘สอบคัดเลือกรอบแรก’ จะไม่ใช่เกาเข่า แต่ความสำคัญของมันไม่ได้น้อยไปกว่าเกาเข่าเลย
หากไม่ผ่านการสอบคัดเลือกรอบแรก ยังจะพูดถึงเกาเข่าได้อีกหรือ? ต่อให้คุณบอกว่าตนเองคือสุดยอดนักเรียนดีเด่นของทั่วประเทศ สอบได้ 689 คะแนนจากคะแนนรวม 690 ของเกาเข่า มันจะมีประโยชน์บ้าบออะไรในเมื่อคุณไม่ผ่านการสอบคัดเลือกรอบแรก สนามสอบเกาเข่าจะไม่ปล่อยให้คุณเดินเข้าไปด้วยซ้ำ!
“การสอบคัดเลือกรอบแรกของนักเรียนเสี่ยวหลาน จะเกิดความผิดพลาดกระจ้อยร่อยไม่ได้เด็ดขาด เหล่าวัง คุณต้องรับผิดชอบส่งเสี่ยวหลานไปถึงสนามสอบโดยสวัสดิภาพ เธอสอบที่เมืองเฟิ่งเสียน... เอาอย่างนี้ จองห้องพักสักห้องในบ้านพักใกล้สนามสอบให้นักเรียนเสี่ยวหลาน ส่วนค่าห้องทางโรงเรียนรับผิดชอบเอง!”
เชิงอรรถ
[1]把脑袋拴在裤腰带 ผูกศีรษะไว้กับเข็มขัด หมายถึง กระทำในสิ่งที่อันตรายถึงชีวิต เนื่องจากการผูกอะไรไว้กับเข็มขัด สิ่งนั้นสามารถหลุดหายไปได้ตลอดเวลา