ท่ามกลางห้องโถงขนาดใหญ่มหึมา ต้วนหลิวฉางและพวกเป็เพียงคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนพากันหลีกเลี่ยงการเสวนากับบรรดาคนกลุ่มนี้แล้ว คนที่ยกย่องสรรเสริญเยินยอองค์หญิงเชียนเชียนอยู่มิขาดปาก ขณะเดียวกันก็มองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
“ศิษย์พี่ ข้าก็รู้สึกว่าองค์หญิงเชียนเชียนรอบรู้อย่างกว้างขวางมากจริงๆ ข้ามาที่นี่ครั้งแรก หวังว่าจะมีเวลามากหน่อย เพื่อไปดูจดหมายที่เขียนขึ้นด้วยลายมือขององค์หญิงเชียนเชียน ท่านอย่าได้มารบกวนข้า” จ้านอู๋มิ่งรีบพูดขึ้นคำหนึ่ง เขาไม่้าให้ผู้อื่นทราบว่าเขากับต้วนหลิวฉางมาด้วยกันจริงๆ ศิษย์พี่ต้วนไร้หลักการไม่เข้าท่าเข้าทางเอาเสียเลย
จ้านอู๋มิ่งคิดไม่ถึงว่าตนเองก็มีวันที่ต้องมาวิจารณ์ผู้อื่นว่าไร้หลักการไม่เข้าท่าด้วยเช่นกัน
พลันจ้านอู๋มิ่งรู้สึกมีสำนึกเย็นเยียบครอบคลุมใส่ตน เหลียวกลับไปดู ก็เห็นประกายสายตาเ็าที่เพิ่งหันหน้าหนีจากตน จ้านอู๋มิ่งยิ้มคราหนึ่ง พบศัตรูบนทางแคบจริงๆ กลับเป็หนานกงชิงของตระกูลหนานกง อัจฉริยะแห่งตระกูลหนานกงที่ยั่วยุท้าทายเมื่อตอนที่เพิ่งจะเข้าเมืองวันสิ้นโลกมา เขาััได้ถึงเจตนาฆ่าในสายตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่กลับรีบเบือนสายตาออกเวลาที่ตนหันศีรษะมอง
……
“องค์หญิงเชียนเชียนมาถึงแล้ว!” เสียงสดใสกังวานทำลายความน่าเบื่อของห้องโถงรับแขกไป ทุกคนในห้องโถงวางของที่ถืออยู่ในมือลง หันศีรษะและมองไปที่ประตู
เพียงเห็นสตรีสาวในชุดขาวแต่งหน้าบางๆ คิ้วงามดั่งภาพวาดผู้หนึ่ง ห้อมล้อมด้วยสาวใช้หน้าสะสวยหลายคนเดินเข้ามา พลิ้วไหวราวกับเทพธิดานางฟ้า รูปโฉมสะคราญเนียนละเอียด งดงามราวกับเทพยดานางไม้ในภาพวาดก็มิปาน สง่างามและสงบนิ่ง
“ซีรั่ว…” จ้านอู๋มิ่งดุจถูกสายฟ้าฟาด ใบหน้านี้ปรากฏอยู่ในความฝันนับครั้งมิถ้วน สนิทใกล้ชิดและจริงใจถึงเพียงนั้น จนทำให้ทันทีที่เห็นสตรีตรงหน้า อารมณ์จิตใจเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกครั้ง ก็เห็นต้วนหลิวฉางกำลังจับมือเขาเขย่า
“ศิษย์น้อง ตื่น ตื่น ศิษย์พี่คิดว่าเ้าหนักแน่นสงบยิ่งนัก สมาธิเ้าย่ำแย่ยิ่งกว่าศิษย์พี่อีก ต่อจากนี้อย่าได้หัวเราะเยาะศิษย์พี่อีก…ยินดีต้อนรับสหายผู้คลั่งไคล้องค์หญิงเชียนเชียนคนใหม่” ต้วนหลิวฉางมองจ้านอู๋มิ่งด้วยความตื่นเต้น เหมือนดั่งได้ค้นพบความลับของจ้านอู๋มิ่งแล้วก็ปาน ภูมิอกภูมิใจยิ่งนัก
“งมงายหลงใหลศีรษะเ้า!” จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้า สงบอารมณ์จิตสมาธิลง คำนึงขึ้นในใจ “นางมิใช่ซีรั่วเด็ดขาด แต่ไฉนจึงเหมือนกับซีรั่วถึงเพียงนี้ ใบหน้านั้น สีหน้าอารมณ์นั้น ตลอดจนแม้แต่ความเศร้าโศกตรงหว่างคิ้ว…ตระกูลของซีรั่วหาได้อยู่ในแผ่นดินนี้ไม่ แต่ว่าไฉนจึงมีคนที่เหมือนกันถึงเพียงนี้เล่า?”
พลันจ้านอู๋มิ่งค้นพบปัญหาข้อหนึ่ง เขาไม่รู้สึกถึงพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อยบนร่างองค์หญิงเชียนเชียน นางเป็สตรีธรรมดาผู้หนึ่งอย่างแท้จริง นี่เป็ไปได้อย่างไร?
จ้านอู๋มิ่งตกตะลึงแล้ว ธิดาของเ้าเมืองวันสิ้นโลกถึงกลับเป็คนธรรมดาสามัญ? นี่เป็ไปได้อย่างไร ศักดิ์ฐานะเ้าเมืองวันสิ้นโลกเป็ถึงจอมทรราชอหังการแห่งแว่นแคว้นหนึ่ง ฐานบ่มเพาะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่บุตรสาวของเขากลับไม่สามารถฝึกฝนพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ หญิงสาวธรรมดาที่ไม่สามารถฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้กลับได้อ่านหนังสือตำราจำนวนมากมาย และศึกษาค้นคว้าเศษซากตำรับตำราโบราณมากมายเ่าั้อย่างละเอียดถ้วนทั่ว ยังรอบรู้อย่างกว้างขวางในมรรคาของเม็ดโอสถ ศาสตร์แห่งค่ายกล…เชี่ยวชาญแทบทุกอย่าง นี่เป็สตรีที่สติปัญญาสูงส่งล้ำเลิศเพียงไร
“มิถูกต้อง!” หัวใจจ้านอู๋มิ่งจมดิ่งวูบ เขาััรู้สึกได้อย่างรางๆ หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ธาตุแห่งชีวิตมีข้อบกพร่องอยู่อย่างใหญ่หลวง ก็เหมือนจิติญญาส่วนหนึ่งของคนผู้หนึ่งถูกตัดขาดไป สติปัญญาสูงส่งล้ำเลิศแต่จิติญญาส่วนหนึ่งกลับบกพร่อง จ้านอู๋มิ่งเข้าใจในทันที ไม่แปลกที่หญิงสาวผู้นี้น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่กลับฝึกฌานบ่มเพาะไม่ได้
จ้านอู๋มิ่งยิ่งรู้สึกสนใจมากกว่าเดิมแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จิติญญาชีวิตบกพร่องโดยกำเนิด แม้แต่ตนเองก็เป็เพราะถูกปิดผนึกโดยตระกูลเจิ้งั้แ่ในครรภ์มารดา องค์หญิงเชียนเชียนเป็บุตรธิดาของเ้าเมืองวันสิ้นโลก ไฉนจึงมีคนปิดผนึกจิติญญาชีวิตของนางไว้?
“ศิษย์น้อง อย่าใจลอยอีกเลย องค์หญิงเชียนเชียนเชิญพวกเราไปที่ห้องโถงด้านในเพื่อปุจฉาวิสัชนามรรคาเต๋า คนอื่นๆ ล้วนเข้าไปหมดแล้ว” ต้วนหลิวฉางพบว่าศิษย์น้องเล็กพอหลงงมงายในบุปผาขึ้นมา อาการกลับหนักยิ่งกว่าตน เพียงครู่เดียวก็ใจลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วถึงสองครั้ง ทำให้เขาพูดไม่ออกจริงๆ ดูแล้วต่อไปทั้งสองคงจะมีหัวข้อสนทนากันมากขึ้น องค์หญิงเชียนเชียนเป็ของทุกคนในใต้หล้า ผู้ที่หลงใหลยิ่งมากยิ่งประเสริฐ
จ้านอู๋มิ่งหวนคืนจากห้วงคำนึง เขารู้สึกว่าองค์หญิงเชียนเชียนตรงหน้าผู้นี้ ท่ามกลางความมืดมิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับซีรั่วในด้านใดด้านหนึ่ง ถึงแม้เขาจะไม่อาจคาดเดาและสืบเสาะความลับชีวิตและจิติญญาชีวิตขององค์หญิงเชียนเชียนได้ แต่เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องทำความเข้าใจเื่ราวบนร่างขององค์หญิงเชียนเชียนให้กระจ่าง เมื่อกำหนดความคิดแล้ว จ้านอู๋มิ่งเข้าสู่ห้องโถงด้านในที่ทะลุต่อจากห้องโถงรับแขกอย่างสงบ
……
เดินเข้าไปในห้องโถงด้านใน จ้านอู๋มิ่งมีความรู้สึกคุ้นเคยชนิดหนึ่ง ห้องโถงภายในตกแต่งเป็สีเงินแถบหนึ่ง ความรู้สึกหนาวเย็นทำให้ห้องโถงภายในที่ไม่กว้างดูเงียบสงบมาก ก้านดอกเบญจมาศหิมะเบ่งบานเป็รูปแบบของคทา ้าของคทาเป็เตียงหยกอบอุ่นขนาดเล็ก ฉากม่านบางเบาผืนหนึ่งบังองค์หญิงเชียนเชียนไว้ภายในนั้น ความคลุมเครือทำให้ผู้คนเกิดจินตนาการไร้สิ้นสุด
จ้านอู๋มิ่งฝืนสะกดข่มหัวใจที่สั่นสะท้าน ชีวิตนี้กับอดีตชาติค่อยๆ ทับซ้อน หวนคืนกลับมา การโคจรพลังเคล็ดวิชาเทพอนัตตาทำให้ขอบเขตจิตใจรู้สึกว่างเปล่า ตลอดจนสามารถเริ่มเห็นความบกพร่องไม่เพียงพอของธาตุแห่งชีวิต การสามารถเห็นชะตากรรมผู้อื่นกลับเป็จุดอ่อนของเขา เขาสามารถรู้สึกได้เพียงเลือนรางว่าการขาดหายไปขององค์หญิงเชียนเชียนอาจเป็จิติญญาชีวิต ดังนั้นทำให้ชะตาชีวิตเป็สีม่วงปนสีเทา เห็นได้ชัดว่าเคยถูกคนเปลี่ยนชะตาชีวิตมาก่อน จึงนำมาสู่สถานการณ์ขององค์หญิงเชียนเชียนในวันนี้
หากเป็เช่นนี้จริง ในแผ่นดินนี้อาจมีปรมาจารย์นักพยากรณ์ชีวิตที่ชั่วร้ายน่ากลัวผู้หนึ่ง ก็เช่นเดียวกับหลิ่วหว่านอวี๋ จำนวนตัวเลขชีวิตของหลิ่วหว่านอวี๋ไม่ใช่ต้องเผชิญภัยพิบัติและมีอายุขัยสั้นโดยธรรมชาติ แต่ว่าถูกคนเปลี่ยนชะตาชีวิตเมื่อตอนเด็ก
สิ่งนี้ล้วนสืบเนื่องจากจ้านอู๋มิ่งดูดซับพลังธาตุชีวิตของสามยอดฝีมือของตระกูลหนานกงเมื่อเร็วๆ นี้ และหลังจากที่เขาทำให้ธาตุชีวิตของตนสมบูรณ์แบบด้วยโลหิตของสัตว์อสูรจิติญญาหนึ่งร้อยแปดชนิดแล้วเขาจึงได้ค้นพบ ตลอดจนเขายังสงสัย เริ่มแรกยอดคนแซ่โม่ผู้นั้นไม่ได้คำนวณชะตากรรมของตระกูลหลิ่วแต่อย่างใด แต่กลับใช้โอกาสนี้ทำการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตระกูลหลิ่ว การปรากฏตัวของตนทำให้แผนการของอีกฝ่ายสับสนขึ้นมา ส่งผลทำให้ชะตาชีวิตของตระกูลหลิ่วและหลิ่วหว่านอวี๋เปลี่ยนแปลงไป แต่ชะตาชีวิตของหลิ่วหว่านอวี๋ถูกเปลี่ยนนานเกินไป โชคชะตาจึงบกพร่อง สภาวะภัยพิบัติและอายุขัยสั้นมีผลโดยสมบูรณ์แล้ว จำเป็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตอีกครั้ง ชะตาชีวิตจึงจะสมบูรณ์แบบ
เดิมชะตาชีวิตขององค์หญิงเชียนเชียนสูงส่งรุ่งเรืองยิ่งนัก แต่เวลานี้เป็สีม่วงปนเทา อีกทั้งจิติญญาชีวิตบกพร่อง ส่งผลให้พลังธาตุแห่งชีวิตไม่เพียงพอ ภัยพิบัติใกล้มาถึงอย่างเห็นได้ชัด ต้องประสบชะตากรรมอีกในไม่ช้า ไม่น่าแปลกที่ไม่มีความทรงจำขององค์หญิงเชียนเชียนในชาติภพก่อนหน้านี้
ชาติภพที่แล้ว ตอนอายุสิบแปดปี ตนยังเป็คนธรรมดาที่ไม่สามารถฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ ตระกูลถูกทำลายล้างเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ตนจึงเพิ่งเริ่มเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะ ถึงแม้ว่าคุณสมบัติจะโดดเด่นยิ่ง เปล่งประกายในภายหลัง แต่รอจนกระทั่งตนเองบรรลุราชันาสำเร็จอายุก็สามสิบกว่าปีแล้ว ตอนที่ตนเองมีชื่อเสียง องค์หญิงเชียนเชียนก็สิ้นพระชนม์นานกว่าสิบปีแล้ว ตนจะมีความทรงจำขององค์หญิงเชียนเชียนได้อย่างไร
ในชีวิตนี้เขาได้พบกับองค์หญิงเชียนเชียน ก็ไม่สามารถที่จะวางมือไม่สนใจ ดูเค้าหน้าองค์หญิงเชียนเชียนที่เหมือนซีรั่วแล้ว ในใจของจ้านอู๋มิ่งก็บังเกิดความโศกเศร้าขึ้นมาระลอกหนึ่ง
“วันนี้เชียนเชียนโชคดีที่สามารถเชิญผู้มีความสามารถแต่ละท่านมาได้ เป็โชคดีของเชียนเชียนจริงๆ ในที่นี้มีบางคนที่เชียนเชียนรู้สึกชื่นชมมานานแต่มิมีวาสนาได้พบพาน ยังมีสหายเก่าบางคนที่เชียนเชียนรู้จักดี สามารถได้พบปะอยู่ร่วมกับทุกท่าน เป็วาสนาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เร็วๆ นี้เชียนเชียนมีแรงบันดาลใจบางอย่าง ดังนั้นจึงประพันธ์เพลงขึ้นมาบทหนึ่ง คิดอาศัยโอกาสนี้ลองบรรเลงร่วมฟังกับทุกๆ ท่าน หลังจากนั้นจึงค่อยมาสนทนาร่วมกัน มิทราบว่าทุกท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง?” องค์หญิงเชียนเชียนเป็ผู้ทำลายความเงียบก่อน พูดขึ้นอย่างยืดยาว
“สามารถได้ฟังเสียงพิณขององค์หญิงเชียนเชียน ถึงแม้ครั้งนี้มามหาสมุทรวันสิ้นโลกจะไม่ได้ผลลัพธ์อันใดเลยก็ไม่รู้สึกว่าน่าเสียดายอีกแล้ว…”
“ไม่ได้ยินเสียงพิณขององค์หญิงเชียนเชียนเนิ่นนานแล้ว หูแว่วนับครั้งมิถ้วนยามหลับฝัน ความคิดคำนึงถวิลหาแทบคลั่งไคล้ หากองค์หญิงเชียนเชียนสามารถบรรเลงดนตรีให้ได้ยินสักครา ก็เฉกเช่นดุจดั่งได้ช่วยชีวิตของข้าไว้แล้ว…”
“องค์หญิงเชียนเชียนมากความสามารถ มากน้ำใจไร้ผู้ทัดเทียม กอปรด้วยรูปโฉมงดงามเปี่ยมเสน่ห์เป็พิเศษสำหรับทุกๆ คน แต่งเพลงใหม่อีกบทหนึ่งแล้ว ข้าสนใจฟังจนแทบมิอาจทนรออีกต่อไปแล้ว…”
……
กลุ่มผู้ชายน่ารังเกียจเริ่มต้นเอ่ยคำเยินยอที่น่าเบื่ออีกแล้ว คนหนึ่งไร้ยางอายยิ่งกว่าอีกคนหนึ่ง คำพูดเช่นนี้ก็พูดออกมาได้โดยหน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นรัว ทำให้จ้านอู๋มิ่งยอมรับนับถือจริงๆ มองคนเ่าั้ที่ใบหน้าดูมีความสุขแล้ว จ้านอู๋มิ่งเพียงแต่รู้สึกทั้งน่าขบขันและน่าเศร้าใจ นักยุทธ์หากสูญเสียจิตใจดั้งเดิมของนักสู้ ถึงแม้เปี่ยมพร์อันน่าทึ่ง ก็ยากที่จะบรรลุถึงขั้นสูงส่งไร้เทียมทาน แน่นอน เป้าหมายการเสาะแสวงหาของทุกคนแตกต่างกันไป บางคนหลงรักในมรรคาแห่งเต๋า บางคนกำลังเสาะแสวงหาความรัก บางคนหลงรักในมรรคาของกระบี่ การไล่ตามแต่ละเส้นทางล้วนแล้วแต่สามารถค้นพบบุญวาสนาและความสุขในชีวิตของตนเอง
เผชิญคำชมสรรเสริญเยินยอจากทุกคน องค์หญิงเชียนเชียนยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง สาวใช้หยิบพิณออกมาจากทางด้านหลัง นิ้วทั้งสิบขององค์หญิงเชียนเชียนดีดอย่างอ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนบุปผาแห่งวสันตฤดู หลังจากนั้นเสียงอันไพเราะเพราะพริ้งดุจดั่งสายธาราก็หลั่งไหลออกมาให้ได้ยิน
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกใขึ้นคราหนึ่ง ภายในใจคล้ายดั่งมีสิ่งใดมาััเบาๆ เสียงดนตรีเฉกเช่นมือน้อยๆ ค่อยๆ ััถึงจิติญญาของเขา พลิกฟื้นหน้าความทรงจำของเขาออกทีละหน้า ทำให้ผู้คนไม่สามารถถอนตัวจากความมึนเมาได้ ความทรงจำยิ่งลึกล้ำ ยิ่งดื่มด่ำลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
จ้านอู๋มิ่งตื่นตระหนก หากปล่อยให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มท่ามกลางเสียงพิณนี้ เขาจะจมดิ่งลงไปในวัฏสงสารของชาติภพที่แล้ว เขาแตกต่างจากคนอื่น ความทรงจำของคนอื่นสั้นนัก มีเพียงไม่กี่ทศวรรษ แต่ว่าเขาแตกต่าง เขามีความทรงจำเก่าก่อนมากถึงเก้าสิบเก้าชาติภพ ถึงแม้ความทรงจำส่วนใหญ่จะมีไว้เพื่อป้องกันตัว ถูกปิดผนึกโดยิญญาปฐมภูมิแก่นแท้ของชีวิต แต่ยากจะรับประกันว่าจะไม่ถูกเสียงเพลงนี้นำเข้าไปสู่ความทรงจำที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
สถานที่แห่งนี้แปลกถิ่นมิคุ้นเคยสำหรับจ้านอู๋มิ่ง เต็มไปด้วยตัวแปร ถึงแม้สำหรับเขาแล้วการเรียกคืนความทรงจำเพิ่มเติมจะเป็โอกาสที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาไม่กล้าเดิมพัน ในที่แห่งนี้ยังมีศัตรูเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงกัดลิ้นอย่างแรงคราหนึ่ง ทำให้ตัวเองรักษาสติแจ่มใสเอาไว้ จ้านอู๋มิ่งหลั่งเหงื่อเย็นออกมา ใต้หล้ากลับมีดนตรีที่มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ นี่คือเสียงของธรรมชาติจากจิติญญา สามารถชะล้างขัดเกลาไหวพริบและความคิดของจิตใจได้…แต่จ้านอู๋มิ่งมิกล้าผ่อนคลายจิตใจตนแม้แต่น้อย
ภายในห้องโถงชั้นในยกเว้นจ้านอู๋มิ่งแล้ว คนอื่นๆ ต่างพากันดื่มด่ำกับเสียงเพลงอันไพเราะ ถลำลงไปในความทรงจำอย่างล้ำลึก มีทั้งคนที่ร้องไห้หรือหัวเราะ มีกระทั่งคลั่งไคล้ การแสดงออกของแต่ละคนแตกต่างกัน
จ้านอู๋มิ่งใแล้ว นี่คือคนธรรมดาที่ไม่มีพลังจิติญญาการต่อสู้แม้แต่น้อยคนหนึ่ง นางช่างเข้าใจพลังแฝงของเสียงดนตรีที่ส่งผลต่อธรรมชาติของมนุษย์อย่างเหลือเชื่อเช่นนี้ คนเหล่านี้ล้วนเป็อัจฉริยะโดดเด่นของแต่ละสำนัก ล้วนเป็คนที่มีปณิธานความมุ่งมั่นเข้มแข็งทั้งสิ้น แต่การแสดงออกในตอนนี้ทำให้เขาประหลาดใจ ครู่ต่อมา จ้านอู๋มิ่งเห็นหลายคนพยายามดิ้นรนจนสติแจ่มใสขึ้นมา เห็นชัดว่าคนเหล่านี้ตระหนักถึงบางอย่างผิดปกติแล้ว ฝืนบังคับตัวเองให้ตื่นจากความเคลิบเคลิ้มมึนเมา จากนั้นรีบตั้งสติสงบจิตสงบใจทันที ทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นลง
จ้านอู๋มิ่งเห็นองค์หญิงเชียนเชียนยิ้มแล้ว มองผู้ตื่นขึ้นจากความเคลิบเคลิ้มมึนเมา ยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง ดุจดั่งเหล่ามวลบุปผานับร้อยเบ่งบานสะพรั่งในคราเดียว ฟ้าดินถึงกับหมองหม่นสิ้นสีสัน จ้านอู๋มิ่งสูดถอนหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ในที่สุดเขาเข้าใจแล้ว ต้วนหลิวฉางไม่น่าขบขัน คนที่น่าขบขันคือคนที่หัวเราะเยาะต้วนหลิวฉางต่างหาก
องค์หญิงเชียนเชียน เป็สตรีแปลกพิสดารผู้หนึ่งที่สามารถทำให้เหล่าบรรดาวีรบุรุษของโลกหล้าคลั่งไคล้ได้จริงๆ เขารู้สึกสะท้อนใจจากก้นบึ้งของหัวใจ บางที...การมาเมืองวันสิ้นโลกในครั้งนี้ อาจเป็การมาที่ไม่เสียเที่ยวจริงๆ จ้านอู๋มิ่งรู้สึกถึงการสั่นไหวแปลกๆ อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิติญญาอย่างรวดเร็ว เขาััถึงจิติญญาชีวิตที่สั่นไหว คล้ายดั่งมีบางอย่างไปััถูกมัน พลังคัมภีร์เทพอนัตตาโคจรขึ้นมาทันใด เขากลับเห็นเสียงพิณก่อตัวขึ้นเป็ระลอกคลื่นเบาบางชั้นแล้วชั้นเล่า ซ้ำซ้อนเป็ชั้นๆ กลางอากาศอันว่างเปล่า สีสันของจิติญญาชีวิตแต่ละคนกระเพื่อมขึ้นเบาๆ ท่ามกลางชั้นระลอกคลื่นนี้ ทันใดนั้นเขาพบว่า ในจิติญญาชีวิตขององค์หญิงเชียนเชียนมีหลุมดำเล็กๆ หลุมหนึ่ง กลืนกินธาตุแห่งชีวิตนางอย่างต่อเนื่อง ความมีชีวิตชีวาใดๆ หลั่งไหลเข้าไปในนั้น ทั้งหมดล้วนถูกหลุมดำนั้นกลืนกิน ไม่ว่าองค์หญิงเชียนเชียนจะกลืนกินธาตุแห่งชีวิตจากฟ้าดินมากมายเพียงใด ล้วนไม่เพียงพอให้นางเสริมเติมเต็มการขาดแคลนธาตุแห่งชีวิต
พลันจ้านอู๋มิ่งเข้าใจทันทีแล้วว่าภัยพิบัติชีวิตขององค์หญิงเชียนเชียนอยู่ที่ใด เชื่อว่าตลอดหลายปีมานี้ เ้าเมืองวันโลกต้องใช้สมบัติวิเศษหายากนับมิถ้วนเพื่อเติมเต็มการขาดแคลนธาตุแห่งชีวิตขององค์หญิงเชียนเชียน จึงสามารถต่อชีวิตให้องค์หญิงเชียนเชียนอย่างฝืดฝืน แต่ว่ายิ่งกลืนกินมากเพียงไร หลุมดำนั้นก็จะขยายใหญ่มากขึ้น และพลังการกลืนกินนั้นก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แม้แต่เ้าเมืองวันสิ้นโลกก็มิอาจย้อนทวนฝืนลิขิตฟ้า สุดท้ายก็ได้แต่มององค์หญิงเชียนเชียนเหมือนเช่นดอกไม้งามที่ร่วงหล่นจากกิ่งก้าน เหี่ยวเฉาดับสูญไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้