อูหลันฮวาตะลึงงัน รีบคลายมือออก พอเห็นมือของอีกฝ่ายถูกบีบจนบวมแดงก็ทำตัวไม่ถูก "ต้าเหนียงจื่อ ขะ... ข้าไม่ได้ตั้งใจเ้าค่ะ"
"ข้ารู้ ข้ารู้ ไม่เป็ไร" เซวียเสี่ยวหรั่นข่มความเ็ป ฝืนยิ้มออกมา
"โธ่เอ๋ย แดงหมดแล้ว หลันฮวา เ้าแรงเยอะ ทีหลังต้องระวังหน่อยนะ" ซีมู่เซียงเข้ามาดูใกล้ๆ
"อื้อ ข้าสำนึกผิดแล้ว" อูหลันฮวาโมโหตัวเองจนน้ำตาแทบไหล
"ไม่เป็ไร ไม่มีปัญหา เดี๋ยวก็หายแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบปลอบใจ
เดิมทีนางก็เป็คนเรี่ยวแรงเยอะ ผนวกกับความตื่นเต้น จึงยากที่จะควบคุมพลังของตนเอง
แต่จะว่าไป มือของนางทั้งหนาและหยาบกร้าน ยามกุมมือนางคล้ายคีมเหล็กก็ไม่ปาน มือมีแรงเยอะมากจริงๆ
"เสี่ยวหรั่น มานี่"
เสียงทุ้มต่ำของเหลียนเซวียนแว่วมาจากห้องที่อยู่ติดกัน
ทั้งสามคนในห้องโถงถึงกับสะดุ้งโหยง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน
อูหลันฮวาหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม
หมดกัน นางบีบมือของต้าเหนียงจื่อจนแดง หลางจวินต้องโกรธมากแน่ๆ
นึกถึงสีหน้าเ็าปานน้ำแข็งของอีกฝ่าย อูหลันฮวาก็ตัวสั่นอย่างไม่อาจสะกดกลั้น
พอเห็นอูหลันฮวาทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ตบๆ หลังนาง "ข้าจะไปสักครู่ หลันฮวา รีบไปหยิบผ้าตัดเสื้อมา แล้วให้น้องมู่เซียงวัดตัวให้ ต้องเร่งตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เสร็จโดยเร็ว อย่ารอจนถึงวันเดินทาง มิเช่นนั้นหากไม่มีใส่เดี๋ยวจะยุ่ง"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบนความสนใจของพวกนางไปเื่อื่น
"น้องมู่เซียง การทำกระดุมสำหรับติดกระเป๋าสะพายหลัง ให้ใช้แถบผ้ามาเย็บเป็ห่วงทำเป็รังดุม แล้วติดลูกดุมไว้ด้านตรงข้าม เมื่อนำสองด้านมากลัดติดกัน จะเปิดจะปิดก็สะดวกมาก เ้าเย็บรังดุมไว้ก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะมาช่วยทำเม็ดกระดุมให้"
"เอาล่ะๆ รีบทำงาน ยังมีอีกหลายอย่างยังไม่ได้ทำ ไม่มีเวลาพิรี้พิไรแล้ว พวกเ้าทำกันไปก่อน ข้าไปไม่นานก็มาแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นไล่พวกนางไปทำงาน จะได้ไม่มีเวลากลัดกลุ้มเื่ไม่เป็เื่
อูหลันฮวารับปากติดกัน หมุนตัวเข้าไปหยิบกระบุงสะพายหลังในครัว
เซวียเสี่ยวหรั่นหันมายิ้มกับซีมู่เซียง แล้วยกเท้าไปห้องข้างๆ
เธอเปิดประตูห้อง ยื่นศีรษะเข้าไปก่อน เหลียนเซวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างบานเก่าทาบทอลงมาบนตัวเขา ทั่วร่างดั่งถูกฉาบด้วยรังสีลึกลับอีกชั้น
เซวียเสี่ยวหรั่นลอบมองสีหน้าของเขาด้วยจิตใต้สำนึก ก็ไม่พบว่ามีอะไรเป็พิเศษ ถึงค่อยเยื้องย่างเข้าไป
"เรียกข้าทำไมหรือ" นางหยุดอยู่ห่างจากเขาสามก้าว
เหลียนเซวียนค่อยๆ ยื่นมือใหญ่ออกมาข้างหน้า "มือาเ็ตรงไหน"
เซวียเสี่ยวหรั่นจ้องฝ่ามืออันงดงามของเขา พลางทำตาปริบๆ มองมือที่ถูกบีบจนแดงของตนเองอย่างลังเล
"ไม่าเ็นะ แค่แดงเล็กน้อย"
"ให้ข้าดู" มือของเขาค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ
"หา?" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง
"แฮ่ม ข้าจะดูว่าาเ็ถึงกระดูกหรือไม่" เหลียนเซวียนรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
"อ้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นเดินเข้าไปอีกสองก้าว แล้ววางมือของตนเองบนฝ่ามือใหญ่แต่โดยดี "ไม่าเ็ หลันฮวาไม่ได้แรงมากขนาดนั้น"
เธอไม่มีทีท่ากระมิดกระเมี้ยน ปรกติยามปวดท้องระดู เหลียนเซวียนก็นวดฝ่ามือให้เป็ประจำอยู่แล้ว
เหลียนเซวียนตรวจสอบกระดูกที่ฝ่ามือน้อยๆ อย่างละเอียดแล้วถึงจะปล่อยมือ
"ไม่าเ็ถึงกระดูก แต่คราวหน้าต้องระวังหน่อย อูหลันฮวาเรี่ยวแรงเยอะ นางไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อน ไม่รู้จักวิธีควบคุมกำลังของตน วันหน้าถ้ามีโอกาส หาใครสักคนมาสอนวรยุทธ์นาง ก็จะควบคุมแรงกายได้ดีขึ้น"
"หือ? นางโตแล้ว เพิ่งมาเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้เอาป่านนี้ ไม่สายเกินไปหรือ" ในความจำของเซวียเสี่ยวหรั่น การเรียนวิทยายุทธ์ควรต้องเริ่มฝึกฝนแต่เด็ก
"หาก้าไปถึงขั้นปรมาจารย์ก็ต้องฝึกฝนแต่เด็กจริง แต่ถ้าฝึกฝนสำหรับป้องกันตัว จะเวลาไหนก็ไม่สาย อูหลันฮวามีพร์ไม่เลว เื่ฝึกยุทธ์ต้องทำสำเร็จแน่"
รอน้าหงมาก่อน ค่อยพาอูหลันฮวาไปทิ้งไว้ให้น้าหงช่วยฝึกให้ ไม่เพียงแต่ต้องศึกษาวรยุทธ์ ยังต้องอบรมกฎเกณฑ์ต่างๆ อีกด้วย
"อ้อ งั้นก็ต้องถามความเห็นนางด้วยว่าอยากเรียนหรือไม่ ฝึกยุทธ์น่าจะลำบากมาก" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ชอบฝืนใจผู้อื่น
"นางต้องตกลงแน่" เหลียนเซวียนมั่นใจ
เซวียเสี่ยวหรั่นหนังตากระตุก ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง "อย่าบีบบังคับให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ควบคุมแรงไม่ดีมิใช่ปัญหาใหญ่สักหน่อย หลันฮวายังโตมาได้ไม่เห็นจะมีอะไรเลย"
เหลียนเซวียนปรายตามองนางอย่างเอ้อระเหย แม่นางผู้นี้เติบโตมาในโถน้ำผึ้งหรือไร เื่ที่คนเราไม่อาจตัดสินใจด้วยตัวเองในโลกนี้มีถมเถไป คนที่สามารถใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองชอบจะมีสักกี่คนกัน
เห็นเขาไม่ตอบ เซวียเสี่ยวหรั่นก็แค่นเสียงหึ "อย่างไรเสีย หากนางไม่อยากฝึกยุทธ์ ท่านก็ไม่อาจบีบบังคับนาง คนเราอย่าผยองเกินไปนัก"
หลังฝากคำพูดทิ้งไว้ ก็สะบัดแขนเดินปั้นปึ่งออกไป
เหลียนเซวียนทอยิ้ม
นางมักลืมตัวทำตามอำเภอใจต่อหน้าเขาเช่นนี้เสมอ แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นกลับอ่อนโยนเป็มิตร
ความแตกต่างที่ชัดเจนเพียงนี้ หมายความว่าอย่างไรเล่า?
รอยยิ้มบนมุมปากของเหลียนเซวียนล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับไปห้องโถง ซีมู่เซียงกับอูหลันฮวาต่างกำลังเร่งงานของตนเองอยู่
เธอนั่งข้างพวกนาง อูหลันฮวาเข้ามากระซิบถาม "ต้าเหนียงจื่อ หลางจวินโกรธหรือไม่"
"เปล่า เขาจะโกรธอะไรล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นตบบ่าของนาง "อย่ากลัวไปเลย เขาก็แค่ดูดุดันหน่อยเท่านั้นเอง"
อูหลันฮวาหดคอ เหลือบไปข้างห้องอย่างระมัดระวัง คำกล่าวเช่นนี้คงมีแต่ต้าเหนียงจื่อคนเดียวที่กล้าเอ่ย
เหลียนเซวียนได้ยินพวกนางพาดพิงถึงตน ก็ยิ้มพลางส่ายหน้า
เวลา่เช้า ทั้งสามล้อมวงกันเย็บผ้าในส่วนของตน
่บ่าย ซีต้าเฉียงก็มาหา
เซวียเสี่ยวหรั่นฝากซีมู่เซียงไปเชิญเขามา
เธอนำหนังกระต่าย หนังเลียงผา หนังงู หนังกวาง และเขากวางที่ได้มาจากในป่าออกมา ไหว้วานให้ซีต้าเฉียงช่วยนำไปขายให้หมดโดยผลกำไรให้ส่วนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เคยทำการค้ากันมาแล้วสองหน ซีต้าเฉียงย่อมยินดีรับปาก
่บ่ายของวันรุ่งขึ้น ซีต้าเฉียงก็กลับมาจากในเมือง และนำถุงเงินมามอบให้เซวียเสี่ยวหรั่น
ของขายได้ทั้งหมดสิบสามตำลึงห้าเฉียน ซีต้าเฉียงเก็บไว้ตำลึงเดียว
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบเงินจากถุงผ้าออกมาห้าเฉียนแล้วยัดใส่มือเขา
ซีต้าเฉียงปฏิเสธไม่ได้จำต้องรับไว้
"หากต้าเหนียงจื่อมีสิ่งใดจะขายก็ให้มู่เซียงมาตามข้าได้เลย"
ซีต้าเฉียงรู้ว่าต้าเหนียงจื่อสกุลเหลียนผู้นี้เป็คนมือใหญ่ใจกว้าง หลังยิ้มกล่าวขอบคุณแล้ว ก็กำชับกับบุตรสาวอีกสองประโยค
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบเงินไปที่ห้องของเหลียนเซวียน
"เหลียนเซวียน ตอนนี้พวกเรารวยกันแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นท่าทางอิ่มเอมใจ
เดิมมีเงินอยู่ยี่สิบกว่าตำลึง เพิ่มมาสิบสามตำลึง ก็เป็สามสิบกว่าตำลึงแล้ว เอาไว้ระหว่างทาง พวกเขาค่อยขายเห็ดหลิงจือเ่าั้ เงินก็จะเพิ่มขึ้นอีก
มีเงินแค่นี้ก็เรียกว่ารวยแล้วหรือ? เหลียนเซวียนถอนหายใจ
นึกถึงตอนเดินทาง ค่าใช้จ่ายยังมีอีกไม่น้อย เหลียนเซวียนมุ่นคิ้วขมวด
"พรุ่งนี้เช้า ขึ้นเขากับข้าอีกสักรอบ"
"หา? ยังต้องไปล่าสัตว์อีกหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นถือห่อเงินด้วยความรู้สึกสับสน นี่ยังไม่เรียกว่าร่ำรวยอีกหรือ
เหลียนเซวียนพยักหน้าน้อยๆ
การล่าสัตว์คือหนทางทำเงินที่เร็วที่สุดสำหรับเขาตอนนี้
