บัดนี้ไป๋เหลียนกำลังเผชิญกับเื่น่ารำคาญใจ เมื่อยามเดินผ่านคนในหมู่บ้านเป็ต้องจับกลุ่มนินทา เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเ้าของร่างถึงได้ทำเช่นนั้นกับหลี่มู่กวา คงเพราะอยากจะหนีไปให้พ้นจากคนเหล่านี้กระมัง ถึงเลือกเดินทางผิดไปชั่วขณะ
คนอย่างหลี่มู่กวาฆ่าได้หยามไม่ได้ กล้าได้กล้าเสีย หากเป็เื่ไม่ถูกต้องเขาสามารถจัดการได้อย่างไม่ลังเล เป็อีกสิ่งหนึ่งที่นางชื่นชอบ เพราะสิ่งที่บรรยายเกี่ยวกับตัวเขาล้วนเป็สิ่งที่นางได้แค่คิด แต่ไม่เคยได้ทำมันจริง ๆ ทำงานเป็ลูกจ้างก็ได้แต่ก้มหัวยอมรับ ทั้งที่บางครั้งคนที่ผิดไม่ใช่ตนเอง
เพราะเขาเป็คนเช่นนี้อย่างไรเล่า นางถึงได้ชอบตัวละครนี้เป็ที่สุด คิดแล้วก็ช่างน่าเศร้าเหตุใดนางไม่เข้ามาอยู่ในร่างนี้เร็วขึ้นสักหนึ่งเค่อนะ บางทีนางอาจจะได้ตามจีบแทนที่จะต้องวิ่งหนีตายก็ได้
“คนหมู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ หน้าไม่อายเสียจริง”
“ก็นั่นน่ะสิ ติงเฉิงกับซูหนี่กำลังจะหมั้นกันแล้วแท้ ๆ รู้ทั้งรู้ก็ยังจะ... เฮ้อ!” เหลียงซูเหลือบมองไป๋เหลียนด้วยความชิงชัง บุตรสาวของนางต้องว้าวุ่นใจ กลัวจะถูกสตรีบ้าผู้นี้ตามตอแยว่าที่บุตรเขยไม่เลิก พานทำให้นางเองก็ไม่สบายใจไปด้วย
“เหลียงซูเ้าต้องระวังไป๋เหลียนไว้ให้มากนะ ถึงขั้นหลอกว่าที่ลูกเขยเ้าไปทำมิดีมิร้ายได้ครั้งหนึ่ง นางจะต้องทำอีกเป็แน่”
“ข้าละเห็นใจเ้าจริง ๆ นางไป๋ก็กระไร ตอนมีชีวิตอยู่ไม่รู้ว่าได้อบรมสั่งสอนบุตรสาวบ้างหรือไม่ เหตุใดถึงได้มีนิสัยน่ารังเกียจเช่นนี้”
คำพูดของเหล่าแม่บ้านทั้งหลายพูดคุยกันไป๋เหลียนได้ยินอย่างชัดเจน เดิมทีนางก็มิใช่ไป๋เหลียนใครจะพูดอะไรย่อมไม่มีความรู้สึก ทว่าคำพูดที่ลามปามพาดพิงไปถึงคนที่ตายไปแล้วนั้น มันไม่น่าให้อภัยและไม่ควรปล่อยผ่าน ทั้งเื่รักสามเส้านี้ก็มิใช่ความผิดของไป๋เหลียนคนเดียวเสียเมื่อไร
จุดเริ่มต้นมันคือสองคนนั้นต่างหาก ถ้าจะโทษก็ควรโทษบุรุษสิ ถ้าติงเฉิงไม่ให้ความหวังปลิ้นปล้อนพลิกลิ้นไปมา มีหรือจะเกิดเื่ราววุ่นวายได้ถึงเพียงนี้ ถึงไม่มีไป๋เหลียนก็คงทำกับคนอื่นอยู่ดี อย่างไรก็คงแก้ไม่ได้เพราะนั่นคือสันดานมิใช่นิสัย
“นั่นเ้าทำอะไรน่ะ”
หนึ่งในบรรดากลุ่มแม่บ้านเอ่ยถามสตรีรุ่นลูกด้วยความแปลกใจ ยามปกติไป๋เหลียนมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหรือไม่ก็ก้มหน้ารีบเดินหนี ทว่าครั้งนี้แปลกนักนอกจากไม่หนี ยังทำท่าทางอะไรก็ไม่รู้ราวกับผีเข้า
“ข้ากำลังสวดมนต์แผ่เมตตาเ้าค่ะ” ไม่พูดเปล่านางกลับพนมมือแล้วทำปากพึมพำ กล่าวบทสวดแผ่เมตตาบทแล้วบทเล่า ไม่เพียงเท่านั้นในบาง่นางยังเป่าลมอย่างแรงใส่เหล่าแม่บ้านตรงหน้า ทั้งลมทั้งน้ำลายกระเซ็นไปทั่ว
“ว้าย! หยุดเดี๋ยวนี้นะนังเด็กบ้า” นางเหลียงซูถึงกับยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า ทำท่าทางรังเกียจเป็หนักหนา
“สกปรกนัก ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
“พ่นน้ำลายออกมาได้ ไม่เห็นหรือไงมันโดนคนอื่นน่ะ”
เหล่าสตรีแม่บ้านต่างพากันตำหนิไป๋เหลียน นับวันก็ยิ่งทำตัวน่าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่เห็นใจเพราะเหลือตัวคนเดียวพ่อแม่ตายหมด จะให้ผู้นำหมู่บ้านขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านเสียให้เข็ด สร้างแต่ความเดือดร้อนให้ผู้อื่นดีนัก
“เอ้า! ข้าก็แผ่เมตตาให้แล้วนะ เหตุใดยังไม่ไปอีก หรือบุญที่ให้ยังไม่พอเช่นนั้นต้องสวดให้มากหน่อย” ไป๋เหลียนยกมือขึ้นพนมอีกครั้ง ก่อนจะพ่นลมใส่มนุษย์ป้าทั้งสี่แรง ๆ คราวนี้ทั้งน้ำลายทั้งลมกระจายออกไปเต็มที่ ทำเอาเหล่าแม่บ้านทั้งหลายเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน หนีกระจายหลบไปคนละทาง
“หยุด พอ! ข้าบอกให้พอไงเล่า ช่างทำตัวไร้มารยาทนัก นังเด็กเหลือขอ ดีละถ้าเ้ายังก่อความวุ่นวายไม่เกรงใจเช่นนี้อีก ข้าจะให้ท่านพี่ขับไล่เ้าออกจากหมู่บ้าน คอยดูซิคนบ้าเช่นเ้าจะไปอยู่ที่ไหนได้” นางเหลียงซูถึงกับตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างเหลืออด นี่ไม่เท่ากับจงใจแกล้งกันหรอกหรือ อยากจะด่าให้หน้าหงายแต่คิดว่าด่าไปก็เท่านั้น นางจึงกระชับตะกร้าผักกำเสียจนเจ็บมือเพื่อข่มอารมณ์ไม่ให้ลงมือ ก่อนจะตัดใจสะบัดหน้าเดินหนีไปกลับบ้านเสียอย่างนั้น
เมื่อนางเหลียงซูเดินหนีไปเหล่าสหายมีหรือจะอยู่ต่อ ต่างพากันมองไป๋เหลียนพลางค้อนขวับวิ่งตามสหายไปติด ๆ
“อ้าว ไปแล้วหรือเ้าคะ ข้ายังแผ่เมตตาไม่จบเลย สงสัยผลบุญที่ได้คงจะแรงรีบไปเชียว คิก คิก” ไป๋เหลียนหัวเราะคิกคักชอบใจเป็การใหญ่ รู้จักข้าน้อยเกินไปเสียแล้ว จำเอาไว้ไป๋เหลียนคนนี้จะไม่ยอมให้รังแกได้อีก ไม่ต้องมาไล่ข้าหรอกอย่างไรเสียข้าก็ไม่อยู่ที่นี่รอความตายแน่นอน