“กรี๊ด เจ็บ เจ็บยิ่งนัก...”
“เจ็บ เจ็บไปหมด เจ็บเหลือเกิน...”
หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉียวรุ่ยกับหลิ่วเทียนฉีได้ผ่านพ้นจากการถูกเสียงปีศาจทะลวงสมองของศิษย์พี่หญิงทิ่มแทงแล้ว
เฉียวรุ่ยฝืนแก้วหูจนแทบไม่ไหว ในที่สุดก็ครบหนึ่งชั่วยาม
หลังหนึ่งชั่วยามผ่านไป ยันต์วิเศษสองแผ่นบนหน้าเมิ่งเฟยพลันสลายกลายเป็เถ้าร่วงลงพื้น หลิ่วเทียนฉีรีบมาตรวจสภาพ
“อา นี่ นี่...”
เฉียวรุ่ยเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำเืสีดำทั่วหน้า เืเนื้อเละเทะไม่อาจทนดูของเมิ่งเฟยก็ใไม่เบา
“เป็อะไรหรือ?” เมิ่งเฟยเห็นท่าทางตกตะลึงของเฉียวรุ่ย รีบเอ่ยถามอย่างคลางแคลง
“นี่...” ได้ยินอีกฝ่ายถาม เฉียวรุ่ยจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน จะให้เขาพูดอะไรเล่า? หรือจะให้พูดว่า ศิษย์พี่ ใบหน้าของท่านถูกคู่หมั้นข้ารักษาจนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเดิมแล้วหรือ?
“อา ศิษย์พี่เมิ่งไม่ต้องกังวล สถานการณ์ช่างดียิ่ง ขับพิษออกไปได้มากแล้ว ที่เสี่ยวรุ่ยใคงเป็เพราะคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะดีเช่นนี้!” หลิ่วเทียนฉีมองเมิ่งเฟยอย่างมีมารยาทแล้วตอบกลับเสียงเบา
เทียนฉี เ้าหลอกผู้ฝึกตนหญิงไปเช่นนี้จะดีหรือ? หากนางเห็นสภาพนี้เข้า ต้องฆ่าเ้าเป็แน่
“อ้อ ผลลัพธ์ดีมากหรือ? เอากระจกมาให้ข้าดูหน่อยสิ!” ได้ยินว่าผลลัพธ์ดี เมิ่งเฟยดีใจอย่างคาดไม่ถึง
“ศิษย์พี่เมิ่งอย่ารีบร้อนนัก ยังมีการรักษาขั้นที่สามอยู่!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเอายันต์ขจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งออกมา จัดการเืพิษกับเนื้อตายบนใบหน้าของเมิ่งเฟยให้สะอาดเอี่ยม
“โอ้? ได้ผลจริงด้วย!” หลังเฉียวรุ่ยเห็นใบหน้าของเมิ่งเฟยถูกจัดการจนสะอาดก็ค้นพบอย่างน่าประหลาด เพราะรอยตำหนิบนใบหน้าของเมิ่งเฟยจางลงไปมาก!
หลิ่วเทียนฉีมองคนรักตื่นตะลึงทีหนึ่ง เอาชามใบหนึ่งกับยันต์สองแผ่นออกมา
“เสี่ยวรุ่ย เผายันต์ให้เป็ขี้เถ้าแล้วใส่ไว้ในชามใบนี้ที!”
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าทำตาม เผายันต์เป็ขี้เถ้าส่งให้
หลังจากนั้น หลิ่วเทียนฉีใส่น้ำเล็กน้อยลงในชาม ใช้นิ้วมือคนให้เข้ากันเล็กน้อย จนกระทั่งขี้เถ้ายันต์กลายเป็โคลนละเอียด
“ศิษย์พี่เมิ่ง โคลนนี่ต้องพอกไว้บนหน้า จะให้ดีที่สุด คืนนี้ท่านไม่ควรสวมผ้าปิดหน้า และอย่าใช้มือแตะใบหน้าท่านเป็อันขาด วันพรุ่งนี้เช้าหลังตื่นนอน ท่านล้างโคลนบนหน้าให้สะอาด หากท่านส่องกระจกพบผลลัพธ์ที่ไม่เลวนัก เช่นนั้นคืนพรุ่งนี้ยามเซิน ท่านก็มาให้ข้ารักษาอีก ในขณะเดียวกัน หากท่านไม่พอใจในผลลัพธ์ ก็ไม่ต้องมาอีกแล้ว” หลิ่วเทียนฉีพอกหน้าให้เมิ่งเฟยไปพลาง อธิบายอย่างละเอียดไปพลาง
“อื้อ เข้าใจแล้ว ขอบใจเ้ามากศิษย์น้องหลิ่ว!”
“เสี่ยวรุ่ย แก้มัดให้ศิษย์พี่เมิ่ง!” หลังพอกหน้าเสร็จ หลิ่วเทียนฉีก็ส่งสัญญาณให้เฉียวรุ่ยปล่อยอีกฝ่าย
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า แก้เชือกที่มัดอยู่
“ศิษย์น้องหลิ่ว นี่ศิลาทิพย์แปดร้อยก้อน ไม่ว่าอย่างไร ศิลาทิพย์ที่ซื้อโอสถไร้ตำหนิ ข้าไม่อาจให้เ้าออกได้!” เมิ่งเฟยพูดพลางส่งศิลาทิพย์แปดร้อยก้อนให้
“ขอบคุณศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่เมิ่งกลับไปพักผ่อนเถิด! จำไว้ อย่าแตะใบหน้า และห้ามเอาโคลนพวกนี้ออก เช้าวันพรุ่งนี้ท่านถึงค่อยล้าง!”
“อืม ขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วที่เตือน ข้ารู้แล้วล่ะ! ลาศิษย์น้องทั้งสอง!” เมิ่งเฟยมองทั้งสองคนทีหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป
เมื่อเห็นศิษย์พี่กลับไปแล้ว หลิ่วเทียนฉียิ้มก่อนจะเก็บศิลาทิพย์
“เทียนฉี เ้าร้ายกาจนัก ข้ารู้สึกได้เลยว่ารอยตำหนิของศิษย์พี่เมิ่งจางลงไปมาก! เ้าทำได้อย่างไรหรือ? แปะยันต์อะไรให้นางน่ะ?”
“ข้าแปะยันต์ขับพิษให้นาง ทุกครั้งที่นางใช้พลังทิพย์กระตุ้น ยันต์วิเศษจะทลายเนื้อส่วนหนึ่งบนรอยตำหนิให้ขับออกมา กระบวนการนี้ราวกับใช้มีดกรีดบนหน้าหรือใช้มือทึ้งหน้า เ็ปยิ่งนักเชียวล่ะ แต่ศิษย์พี่เมิ่งอดทนได้ดีเอาเื่!” เฮ้อ ผู้หญิงช่างเป็สิ่งมีชีวิตที่ประหลาดแท้ เพื่อใบหน้าเดียว ถึงกับยอมเ็ปปานนี้
“ถ้าอย่างนั้น แล้วที่เ้าทาให้นางเล่า?”
“เป็ยันต์ขับพิษเหมือนกัน แต่อ่อนโยนกว่าอันก่อนหน้านี้อยู่ ไม่เ็ปนักหรอก”
“แค่ขับพิษ ไม่เสริมความงามหรือ?” เฉียวรุ่ยมองคนรัก ถามอย่างสงสัย
“ไม่จำเป็ ยันต์ใช้เพื่อขับพิษให้นาง ต้องใช้โอสถถึงจะเป็การเสริมความงามกับฟื้นฟู หลังนางกินเข้าไป เซลล์บนใบหน้าจะยิ่งคึกคักเหมาะกับการขับพิษ เมื่อขับพิษสำเร็จ ฤทธิ์ยาของโอสถถึงจะดูดกลืนได้ดีขึ้น”
“อ้อ? เป็เช่นนี้เอง!”
“ฮ่าๆๆ วางใจเถอะ ข้ามั่นใจว่าสามวันต้องรักษานางหายดีได้แน่!”
“อืม เทียนฉียอดเยี่ยมที่สุด!” เฉียวรุ่ยรู้สึกมั่นใจในตัวเขาอย่างยิ่ง
เป็จริงดังที่หลิ่วเทียนฉีว่า สามวันให้หลัง รอยตำหนิบนใบหน้าของเมิ่งเฟยถูกขจัดออกจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ทำให้นางดีใจประหนึ่งคลุ้มคลั่ง เขาจึงได้รับศิลาทิพย์เก้าพันสองร้อยก้อนที่เหลืออย่างราบรื่น
วันที่สี่ หลิ่วเทียนฉีที่ทำภารกิจแรกสำเร็จ พาเฉียวรุ่ยไปแช่น้ำพุทิพย์ฉลอง
ขณะแช่อยู่ในสระน้ำพุทิพย์กันสองคน เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจช้าๆ ััพลังทิพย์เข้มข้นที่ห้อมล้อมร่างกายไว้เพียงชั่วครู่
“สบายจังเลย!” เฉียวรุ่ยบอก สีหน้าเขาผ่อนคลาย หลับตาลงอย่างเป็สุข เริ่มเคลื่อนและดูดซับพลังทิพย์ในน้ำ
หลิ่วเทียนฉีหลับตาลง เริ่มดูดซับ หลอมกลืนพลังทิพย์เช่นกัน
แช่น้ำพุทิพย์ทั้งวันกระทั่งดวงตะวันลับเหลี่ยมเขา ทั้งสองคนถึงจูงมือกันออกจากสระน้ำทิพย์ไปอย่างอาลัยอาวรณ์
“สระน้ำพุทิพย์นี่สบายจริงเชียว หากได้แช่ทุกวันล่ะก็ พลังของพวกเราต้องยกระดับขึ้นรวดเร็วแน่!”
“ฮ่าๆๆ ถ้าเ้าชอบ เช่นนั้นข้าจะขยันหาศิลาทิพย์ ให้เสี่ยวรุ่ยของข้าได้แช่น้ำพุทิพย์ทุกวันเลย!”
ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ เฉียวรุ่ยก็เบิกบาน “ข้า ข้าก็จะไปรับภารกิจหาศิลาทิพย์ด้วย ไม่ให้เ้าเลี้ยงอย่างเดียวหรอก”
“อืม ข้ารู้ เสี่ยวรุ่ยของข้าช่างเก่งกาจ แต่เ้าเพิ่งเลื่อนเป็ระดับสร้างรากฐานไม่นาน ในครึ่งปีนี้ เ้าอย่าเพิ่งไปสถานที่อย่างเขาสัตว์อสูรเลย รอพลังเสถียรกว่านี้ ค่อยไปก็ยังไม่สาย!”
“อืม เข้าใจแล้ว!” เฉียวรุ่ยรู้ว่าเทียนฉีหวังดีกับตน เขาย่อมไม่ปฏิเสธ
“เมื่อวานเป็วันแรกที่เข้าชั้นเรียน รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ก็ใช้ได้นะ ได้เจอหลิ่วอู่คนน่าชังด้วย นางก็อยู่วิทยาลัยยุทธ์ แต่วิชาต่อสู้มือเปล่าไม่ดีเท่าไร ตอนจับคู่ประลอง ถูกคู่ต่อสู้อัดจนกลายเป็หัวหมูเลยล่ะ!” เฉียวรุ่ยคิดถึงสภาพอเนจอนาถของหลิ่วอู่พลันหัวเราะขึ้น
“อ้อ? มีประลองด้วยหรือ?” ได้ยินเื่นี้ หลิ่วเทียนฉีมองสำรวจเสี่ยวรุ่ยั้แ่หัวจรดเท้าด้วยความกังวล
“เ้ามองข้าทำไมเล่า คู่ต่อสู้ของข้า แม้เป็ระดับสร้างรากฐาน่ต้นเหมือนกัน แต่วิชาต่อสู้มือเปล่าไม่ได้แข็งแกร่งกว่าหลิ่วอู่สักเท่าไรนัก สามหมัดก็ถูกข้าต่อยคว่ำแล้ว กระทั่งเสื้อผ้าข้ายังแตะไม่โดน จะทำร้ายข้าได้อย่างไรล่ะฮึ?”
“เ้านี่นะ ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว อาจารย์ของพวกเ้านี่ก็ช่าง หากจะสอนวิชาต่อสู้มือเปล่าก็สอนดีๆ สิ! จับคู่ประลองอะไรกัน? ถ้าาเ็ขึ้นมาจะทำอย่างไร?” พูดจบสีหน้าเขากังวลขึ้นไปอีก
“ฮ่าๆๆ วางใจเถอะเทียนฉี ข้าเก่งมาก ไม่าเ็ง่ายดายปานนั้นหรอก และข้าก็ชอบจับคู่ประลองอย่างยิ่ง มันช่วยฝึกฝนกระบวนท่าตนเอง เพิ่มประสบการณ์การต่อสู้จริงได้ดีเชียวล่ะ” พูดถึงเื่ต่อสู้ สีหน้าเฉียวรุ่ยกระตือรือร้นขึ้นมาอีกระดับ
“ข้ารู้ข้อดีมากมายนั่นอยู่ แต่ข้าเป็ห่วงเ้านี่!”
ชีวิตก่อน ตอนหลิ่วเทียนฉีเป็มือสังหารก็เคยประมือกับพี่น้องที่เป็มือสังหารเช่นกันมาไม่น้อย การประมือเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ได้จริง ทำให้หมัดเร็วขึ้น เพิ่มความโเี้ แต่ก็ได้รับาเ็ง่ายด้วย และเพราะตอนเด็กเ้าของร่างเดิมฝึกฝนรุนแรงเกินไป ตอนอายุสี่สิบปีถึงได้เจ็บป่วยสารพัด
ถึงแม้โลกแห่งการฝึกตนแห่งนี้จะมีปราณทิพย์สำหรับฝึกตน ไม่มีทางเกิดสภาพเช่นนั้น แต่หลิ่วเทียนฉีก็ยังเป็ห่วงเสี่ยวรุ่ยของตนมากอยู่ดี
“ฮิๆ วางใจเถอะ ข้าจะปกป้องตนเองให้ดี การประลองนั่นเพื่อฝึกวิชาต่อสู้มือเปล่าเท่านั้น ไม่ได้ใช้พลังทิพย์กับวิชาพลังทิพย์ ไม่เกิดเื่ขึ้นหรอก!”
“อืม ระวังตัวด้วย อย่าทำให้ข้าปวดใจนัก!” หลิ่วเทียนฉีลูบเส้นผมคนรักพลางหัวเราะแล้วบอก
.........
ทั้งสองคนคุยเล่นกันจนกลับมาถึงบ้าน ทว่า เมื่อเห็นในบ้านเละเทะไปหมด รวมถึงแขกไม่ได้รับเชิญห้าคนนั่งอยู่ในลาน พวกเขาพลันคิ้วขมวด
“ใช้ได้นี่ เ้าหนูทั้งสอง มีความสุขกันเสียจริง ที่นี่ติดขุนเขาข้างลำน้ำ ทิวทัศน์ดีแล้วยังสงบเงียบ ไม่มีใครรบกวน ค่าเช่าหนึ่งเดือนก็ห้าถึงหกร้อยศิลาทิพย์สินะ?” เ้าเคราดกที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินชำเลืองมองคนที่กลับมา
เพื่อสืบร่องรอยของทั้งสอง เขาเสียแรงไปไม่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าลูกกระต่ายสองตัวนี้จะร่ำรวยเช่นนี้ พักอยู่ในสถานที่ปลีกวิเวกแถมยังเงียบสงบ
“พวกเราอยู่ที่นี่? แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเ้าเล่า?” เฉียวรุ่ยถลึงตามองอย่างมาดร้าย โกรธฮึดฮัดก่อนเอ่ยขึ้น
ในใจคิด ‘เ้าสารเลวนี่ หลอกหลอนไม่เลิกราจริง แค่สี่วันก็หาที่พักพวกเขาพบแล้ว’
‘เสี่ยวรุ่ย ดึงความสนใจของพวกมันไว้!’ หลิ่วเทียนฉีก้มหน้า ส่งกระแสจิตหา
ได้ยินอย่างนั้น เฉียวรุ่ยพยักหน้า ‘เข้าใจแล้ว!’
“ฮึ เ้าหนูน่าตาย ความตายมาเยือนศีรษะยังปากกล้าอีก!” เ้าลิงผอมด้านข้างพูดพลางเดินเข้ามาใกล้
เฉียวรุ่ยออกหมัด หนึ่งหมัดต่อยเ้าลิงผอมระดับฝึกปราณขั้นเจ็ดคว่ำลงกับพื้นในทันที
“ฮึ คิดว่าเก่งนักหรือ ลุย!” เ้าเคราดกเห็นเฉียวรุ่ยกล้าลงมือก็ตวาดลั่น ศิษย์พี่ศิษย์น้องสี่คนซึ่งเป็ลูกน้องรีบเข้ามาล้อมทั้งสองคนไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
หลิ่วเทียนฉีหยิบยันต์อำพรางกายออกมา ฉับพลัน เขาก็หายไปจากตรงหน้าทุกคน
“หนีไปแล้วงั้นหรือ? รีบตามไปสิ!”
“รับทราบ!” ได้ยินคำสั่งเ้าเคราดก ลูกน้องสองคนรีบวิ่งออกจากลานไล่ตามไป
ช่างน่าเสียดาย เพิ่งวิ่งออกไปเพียงนิด กลับกระดิกไม่ได้เสียแล้ว
“พี่ใหญ่ ช่วยด้วย พวกเราขยับไม่ได้!” สองคนอ้าปากร้องเสียงดัง
“เ้าห้า เ้าขวาน? พวกเ้าเป็อะไรไป” เ้าเคราดกเห็นทั้งสองนิ่งไม่กระดิกอยู่นอกลานก็ร้องใ
“พี่ใหญ่ พวกเราถูกเ้าหนูนั่นเล่นงานแล้ว ขยับไม่ได้เลย!” เ้าห้าใรีบบอก
“อ๊าก...” ทันใดนั้น เ้าขวานกรีดร้องทีหนึ่ง มือซ้ายร่วงลงบนพื้น
“อ๊าก...” ตามด้วยเ้าห้าที่กรีดร้อง มือซ้ายร่วงลงบนพื้นเช่นกัน
“สารเลว!” เ้าเคราดกตวาดเสียงดัง ลนลานพาเ้าลิงผอมกับเ้าไข่ดำวิ่งมาถึงอีกด้าน รีบสำรวจสภาพพี่น้องสองคน
“พี่ใหญ่ มือ มือของพวกเรา!” เ้าห้ากับเ้าขวานมองมือบนพื้นพลางส่งเสียงครวญคราง
“ไข่ดำ รีบป้อนโอสถห้ามเืให้พวกเขา ฉีกยันต์ตรึงร่างบนหน้าผากพวกเขาเสีย!”
“ขอรับ!” ไข่ดำขานรับ รีบป้อนโอสถห้ามเืให้ แต่ยังไม่ทันจะยื่นมือไปฉีกยันต์บนกระหม่อมให้อีกฝ่าย ก็พบว่าบนหน้าผากตนมียันต์เพิ่มขึ้นมาแผ่นหนึ่งเหมือนกัน ขยับร่างไม่ได้สักนิด
“ไข่ดำ เ้าเป็อะไรไป?” เ้าเคราดกมองแผ่นหลังเ้าไข่ดำ ถามอย่างสงสัย
“เฮ้ย พี่ใหญ่ ข้าก็ขยับไม่ได้ขอรับ!” เ้าลิงผอมอ้าปาก ร้องใ
เ้าเคราดกหมุนตัวกลับมา รีบร้อนมองไปทางเ้าลิงผอม ไม่ทันที่เขาจะยื่นมือไปดึงยันต์วิเศษบนหน้าผากนั่นออก หนึ่งหมัดของเฉียวรุ่ยกลับเหวี่ยงเข้าใส่
“เ้าสารเลวน้อย!” เ้าเคราดกตวาดเสียงดัง โกรธฮึดฮัดสวนกลับหนึ่งหมัด ทั้งสองเริ่มประเคนหมัดเท้าใส่กัน ต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้
“อ๊าก...” เ้าลิงผอมกรีดร้องทีหนึ่ง มือซ้ายถูกตัดลงมาด้วย
“เ้าลิงผอม...” เ้าเคราดกใ อยากเข้าไปช่วยแต่ถูกหนึ่งหมัดของเฉียวรุ่ยต่อยเข้าที่หน้า
“เ้าสารเลว” เ้าเคราดกยื่นมือลูบถุงเลี้ยงอสูรของตน ทันใดนั้น มันรู้สึกว่าแผ่นหลังมีสายลมอันตรายไม่เป็มิตรพัดผ่านอยู่วูบหนึ่ง
“ฮะ...” เขาพลิ้วกายรีบหลบออก
เฉียวรุ่ยสะบัดมือ เหวี่ยงยันต์ะเิกับยันต์อัคคีตั้งหนึ่งออกมาทักทายอีกฝ่าย
“ตูมๆๆ...” เสียงะเิดังขึ้นไม่ซ้ำที่ เ้าเคราดกกระเด็นออกไปทันที าเ็หนักร่วงลงพื้น
“อ๊าก...” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกทีหนึ่ง มือของเ้าไข่ดำถูกตัดแล้วเช่นกัน
หลิ่วเทียนฉีเดินมาหลังร่างเ้าเคราดก แปะยันต์ตรึงร่างแผ่นหนึ่งให้มันที่กำลังจะลุกขึ้น จากนั้นใช้ยันต์ทองแผ่นหนึ่งตัดมือซ้ายของมัน
หลิ่วเทียนฉีฉีกยันต์อำพรางกายบนร่างออก เอาแหวนมิติของทั้งห้าคนไปต่อหน้าต่อตา
“เ้า เ้าสารเลว เ้ากล้านักนะ!”
ได้ยินอย่างนั้น เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก “ครั้งแรกข้าะเิพวกเ้าจนาเ็เพื่อให้บทเรียนไป เช่นเดียวกับครั้งที่สอง ข้าตัดมือข้างหนึ่ง เอาแหวนมิติของพวกเ้าไป นี่ถือเป็บทเรียนอีกครั้ง แต่อย่าให้ข้าเห็นพวกเ้าอีกเป็ครั้งที่สามเชียวล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารพวกเ้าเสีย!”
“เ้า เ้ากล้าหรือ วิทยาลัยเซิ่งตูห้ามศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันนะ!”
“ฮะๆๆ ขอแค่ไม่มีใครรู้ก็ได้แล้ว!” หลิ่วเทียนฉียักไหล่ เอ่ยเหมือนเป็เื่ถูกต้อง
“ใช่แล้ว ที่นี่ไม่มีใครสักคน พวกเราสังหารพวกเ้าก็ไม่มีใครรู้!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วย
หลิ่วเทียนฉีเอาโอสถห้ามเืออกมาจากแหวนมิติของพวกเขา รีบยัดเข้าปากให้ จากนั้นวางเขตแดนอันหนึ่ง ขังทั้งห้าคนไว้ในมิติคู่ขนาน
“เทียนฉี พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?” เฉียวรุ่ยมองคนรักแล้วเอ่ยถาม
“พวกเขาถูกข้าขังไว้ในเขตแดน ภายในหนึ่งชั่วยาม พวกเขาจะขยับหรือออกจากเขตแดนไม่ได้ ผู้อื่นย่อมมองไม่เห็นพวกเขาเช่นกัน เ้าไปหาศิษย์พี่หวังเฉิง บอกเขาว่าเครื่องเรือนในบ้านพัง จ่ายศิลาทิพย์ให้เขาซื้อเครื่องเรือนใหม่มาให้ชุดหนึ่ง เดี๋ยวข้าไปตำหนักทองก่อน”
“อื้อ เข้าใจแล้ว!” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับก่อนแยกย้ายกันไป