แต่ควงเยวี่ยโหลวรู้สึกตัวเสียก่อน เขารีบตวัดแขนไปรอบเอวนาง แล้วรั้งร่างบอบบางขึ้นมา
หนีเจียเอ๋อร์จึงอยู่ในสภาพเอนตัว ทิ้งน้ำหนักลงบนแขนของอาจารย์ แรงดึงของอีกฝ่ายทำให้จมูกของนางไปกระแทกกับหน้าอกแกร่งเล็กน้อย
ทุกอย่างพลันตกอยู่ในความเงียบงัน ทั้งสองต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง
ไม่นานนัก ควงเยวี่ยโหลวก็เป็ฝ่ายผละออกมา พลางส่งเสียงกระแอม “ฮะแฮ่ม! นั่งลงให้ข้าตรวจดูสักหน่อย ว่าดวงตาของเ้าติดเชื้อหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์หน้าแดง ก่อนผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง “อา...”
แต่ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้หัวใจของเขาไม่นิ่งพอจะประคองสติในการรักษา สุดท้ายจึงต้องส่งหนีเจียเอ๋อร์กลับไป
หลังออกจากห้อง หญิงสาวก็สูดลมหายใจลึก เพื่อนำอากาศสดชื่นเข้าไปชะล้างความร้อนผ่าวบนใบหน้า ให้ค่อยๆ ลดลง
...
ขณะนั้น บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน
โจวชิงหวาในชุดคลุมสีแดงสด นั่งอยู่บนชายคาด้วยสีหน้าเ็า ไม่ต่างจากปีศาจร้ายทรงเสน่ห์
บนชายคาที่มีหิมะขาวปกคลุม ตัดกับชายผ้าสีแดงอย่างเด่นชัด ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ เข้ากับท่วงท่าการนั่งอันองอาจห้าวหาญ ดูมีอิสรเสรียิ่งนัก
นอกจากเขา ยังมีชายหนุ่มรูปงามอีกคน ซึ่งสง่างามไร้ที่ติไปทุกท่วงท่าของการเคลื่อนไหว ไม่ต่างจากคุณชายผู้สูงศักดิ์ ที่ผ่านการอบรมมาเป็อย่างดี แม้สวมชุดสีขาวกลมกลืนไปกับหิมะ แต่ใบหน้ากลับละมุนละไมดั่งหยกสลัก ด้วยรูปปากที่ดูยกยิ้มอยู่เป็นิจ
บุรุษทั้งสองนั่งอยู่บนหลังคาเรือน เพื่อดื่มด่ำกับสุราและทัศนียภาพอันตระการตาของเหมันตฤดู
บรรดาศิษย์หญิงทั้งหลายพากันหลบมุม และจ้องพวกเขาด้วยความหลงใหล แต่ละคนมีใบหน้าซับสีชาด พลางถกเถียงกันว่าผู้ใดเป็บุรุษรูปงามและมีกิริยาล้ำเลิศมากกว่า
จนเกิดการปะทะฝีปากกันอย่างดุเดือด โดยไม่มีใครยอมใคร
“ชิงหวา เหล้าจวนจะหมดแล้ว หากเ้ายังไม่คุยธุระอีก ข้าคงต้องขอตัวไปก่อน” ใบหน้าของควงเหยาแดงก่ำเพราะความมึนเมา
โจวชิงหวาปรายตามองไปด้านล่าง แล้วผินหน้าขึ้นมามองูเาหิมะ ก่อนเอ่ยถามเสียงหนักแน่น “ควงเหยา เสี่ยวเอ๋อร์ตาบอดเพราะช่วยข้า ใช่หรือไม่?”
หากเป็การาเ็จากการพิสูจน์ตัวเองเพื่อเข้าสำนักจริงๆ นางคงไม่หลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าตนมานานขนาดนี้ หนีเจียเอ๋อร์ที่เขารู้จัก หาใช่คนขี้ขลาดที่กลัวการเผชิญหน้ากับผู้ใด
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพอจะคาดเดาได้ ควงเหยาจึงช่วยไขข้อข้องใจให้ “ข้าคิดว่าเ้าน่าจะเคยได้ยินเื่นี้ก่อนที่มารักษาตัวในสำนักอิ้นเสวี่ยแล้ว ว่าที่นี่มีกฎห้ามมิให้พวกเราไปยุ่งเกี่ยวกับผู้คนภายนอก เพราะไม่้ามีเื่บาดหมางกับสำนักฝูเซิง เมื่อสิบปีก่อนเราจึงตั้งกฎนี้ขึ้นมา เพื่อจะได้ไม่ต้องรักษาผู้ที่าเ็จากพิษฝ่ามือน้ำแข็งของเว่ยฉีหราน”
แต่ที่ยุ่งยากก็คือ โจวชิงหวาเป็ศัตรูของอีกฝ่าย หากเื่นี้ไปถึงหูผู้คน ความโกลาหลคงหลั่งไหลมาไม่รู้จบ
โจวชิงหวาจิบสุรา แล้วเค้นเสียงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “ดังนั้น อาจารย์ของเ้าเลยใช้ดวงตาของเสี่ยวเอ๋อร์ เป็ข้อแลกเปลี่ยนในการช่วยข้าอย่างนั้นหรือ?”
ควงเหยายังคงดื่มด่ำกับสุรา ขณะอธิบายสถานการณ์ในวันนั้นอย่างใจเย็น
“มิใช่! ท่านอาจารย์เพียงคิดจะให้ศิษย์น้องยอมแพ้กลับไปเอง มิได้มีเจตนาจะช่วยท่านแต่อย่างใด นางจึงอดทนนั่งคุกเข่าตากหิมะอยู่สองวันหนึ่งคืน จนร่างกายเข้าขีดอันตราย ข้าเลยใช้คำสัญญาที่อาจารย์เคยให้ไว้ ว่าสามารถขอร้องอะไรก็ได้อย่างหนึ่ง มาแลกเปลี่ยนกับการรักษาคน แต่ท่านอาจารย์ยังคงยืนกรานว่าจะรักษาเพียงคนเดียวเท่านั้น ให้นางเลือกระหว่างท่านกับตัวเอง
พอถูกบีบคั้น นางก็คว้ากระบี่ของข้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วเลือกที่จะฆ่าตัวตายโดยไม่ปริปาก ท่านอาจารย์กับข้าจึงพยายามหยุดยั้งนาง นับว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่ท่านอาจารย์คว้าหยกขึ้นมาซัดเบี่ยงวิถีกระบี่ได้ทัน ศิษย์น้องเลยรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้ แต่อย่างไรเสีย กระบี่เล่มนั้นก็ทำร้ายดวงตาของนางอยู่ดี ต่อมาท่านอาจารย์จึงยอมรับนางเป็ศิษย์ เพราะรู้สึกผิด”
โจวชิงหวารู้สึกหดหู่ จนต้องขว้างจอกเหล้าไปที่มุมกำแพง จอกกระเบื้องสีขาวพลันแตกละเอียด และตกลงไปใต้พุ่มไม้ทันที
ควงเหยาตบไหล่ของเขาหนักๆ แต่มิได้เอ่ยปลอบโยนอันใด สักพักก็พูดขึ้นว่า “เ้าคงอยากจะอยู่คนเดียว”
ว่าแล้ว ก็คว้าถาดที่มีเพียงจอกสุราว่างเปล่า ก่อนร่อนตัวลงจากหลังคาไป
“ขอบคุณท่านควงเหยา ข้าจดจำความเมตตาของท่านไว้”
พูดจบ โจวชิงหวาก็นั่งอยู่ตามลำพังไปพักใหญ่ จากนั้นก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังเรือนของควงเยวี่ยโหลว แต่ศิษย์ซึ่งเฝ้ายามอยู่ เห็นว่าผู้มาเยือนกำลังเมาได้ที่ และอาจารย์ก็มีคำสั่งห้ามรบกวน ทั้งสองจึงยื่นมือออกไปขวาง
“หากคุณชายโจว้าพบท่านอาจารย์ เอาไว้สร่างเมาก่อน ค่อยกลับมาใหม่เถอะ”
โจวชิงหวากำลังจะเอ่ยปาก แต่พอเห็นว่าศิษย์ผู้คุ้มกันไม่คิดจะปล่อยผ่าน จึงผลักพวกเขาออก แล้วรีบเดินเข้าไป
ศิษย์สองคนนั้นลุกขึ้น “คุณชายโจว เข้าไปมิได้นะ...”
ควงเยวี่ยโหลวได้ยินเสียงจากด้านนอก จึงวางตำราที่อ่านไปเกือบครึ่งเล่มใส่ลิ้นชัก แล้วมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ให้เขาเข้ามา!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ลูกศิษย์ตอบด้วยความเคารพ แล้วหันไปเปิดบานประตูห้องหนังสือ พลางมองโจวชิงหวาเขม็งอย่างไม่พอใจ ที่อีกฝ่ายบุกเข้ามาโดยมิได้รับเชิญ
แต่โจวชิงหวาหรือจะสนใจ หลังจากก้าวเข้ามาแล้ว เขาก็เอ่ยถามอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “ไม่มีหนทางที่จะรักษาดวงตาของเสี่ยวเอ๋อร์ได้เลยหรือ?”
ควงเยวี่ยโหลวเหลือบมองไปที่ลิ้นชัก ก่อนส่ายศีรษะสองสามครั้ง หากยังไม่มั่นใจ เขาก็ไม่คิดจะให้ความหวังกับญาติผู้ป่วย
โจวชิงหวาตัวสั่นระริก ความหวังสุดท้ายพลันดับวูบ แววตาของเขามืดมน แล้วกดเสียงถามอีกครั้ง “หากเปลี่ยนเอาดวงตาของข้าให้นางเล่า จะได้ผลหรือไม่?”
ควงเหยวี่ยโหลวเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม ผ่านม่านบางเบา “เหตุใดเ้าถึงต้องทุ่มเทเช่นนี้?”
โจวชิงหวาจึงกล่าวว่า “ไม่มีเหตุผล หากมีความหวัง ต่อให้จะริบหรี่เพียงใด ข้าก็อยากเสี่ยงดู”
ที่เขาทุกอย่างเพื่อนาง หาได้หวังสิ่งใดตอบแทน
ควงเยวี่ยโหลวใ แล้วพูดเบาๆ “คงทำให้เ้าผิดหวังแล้ว ข้าไม่อาจปลูกถ่ายดวงตาของคนที่มีชีวิตได้”
โจวชิงหวารู้สึกว่าคำตอบนี้ช่างคลุมเครือนัก เขาก้าวไปข้างหน้า พลางถามอย่างกดดัน “เ้าทำมิได้ หรือไม่อยากจะทำ?”
ควงเยวี่ยโหลวเลิกคิ้วขึ้น “ข้าจะไปนอนแล้ว!”
จากนั้น ไม่ว่าโจวชิงหวาจะซักถามหรือกดดันอย่างไร เขาก็เอาแต่เพิกเฉย ชายหนุ่มจึงจำใจออกไปอย่างเสียมิได้
เพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงประตูแล้ว แต่โจวชิงหวากลับหยุดชะงัก หันกลับมาโค้งคำนับ พลางเอ่ยว่า “ชิงหวาขอขอบคุณท่านเ้าสำนักที่ช่วยเหลือ พรุ่งนี้ข้าจะลงจากเขาแล้ว ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ รบกวนท่านช่วยดูแลนางแทนด้วย ชิงหวาซาบซึ้งใจยิ่งนัก!” เขาค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม
ควงเยวี่ยโหลวลุกขึ้น และตอบเบาๆ “วางใจเถิด ควงเจียเป็ลูกศิษย์ของข้า ต่อให้เ้าไม่พูด ข้าก็ต้องดูแลนางอยู่แล้ว”
“ขอบพระคุณยิ่งนัก” โจวชิงหวาลุกขึ้น แล้วเดินออกไป
จากนั้น ชายหนุ่มก็ตรงไปยังเรือนของหนีเจียเอ๋อร์ พอเห็นว่าประตูปิดอยู่ เขาก็เล็ดลอดเข้าไปทางหน้าต่างอย่างที่เคยทำ
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หญิงสาวก็ตื่นขึ้นมาทันที “ใครกัน?”