่ที่เยว่เฉินอวิ้นหายตัวไป หวังจิ่งได้ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีเพื่อสืบหาตัวเขา แต่ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว กลับยังไม่พบร่องรอยใดๆ เลย
หากว่าคนออกนอกประเทศก็น่าจะตรวจดูจากข้อมูลการบินได้ อีกทั้งบริษัทนี้ก็มีสาขาย่อยตั้งอยู่ในต่างประเทศก็ย่อมต้องสามารถสืบหาร่องรอยของเยว่เฉินอวิ้นได้ง่ายๆ
แต่เมื่อลองติดต่อไปที่สายการบินต่างๆ กลับไม่พบข้อมูลการบินของเยว่เฉินอวิ้นเลย
คนไม่แม้แต่จะไปโผล่ที่สนามบินเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้ที่บริษัทวุ่นวายกันมาก เพราะการหายตัวไปของเยว่เฉินอวิ้น
ในทุกๆ วันผู้จัดการทั่วไปจะงานยุ่งจนหน้าดำคล้ำเครียด เพราะยังมีเอกสารบางอย่างที่ต้องให้เยว่เฉินอวิ้นลงนามเท่านั้น ดังนั้น พอเขาหายตัวไป ก็จำต้องพักเื่พวกนี้ไว้ก่อน ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้
นอกจากนี้ โครงการต่างๆ ที่ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วเ่าั้ต่างทยอยขอยกเลิก บ้างก็ขอถอนตัวเมื่อทราบว่าเยว่เฉินอวิ้นหายตัวไป
ตอนนี้ผู้จัดการทั่วไปปวดหัวแทบะเิแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าใครต่างก็คาดหวังให้เยว่เฉินอวิ้นรีบกลับมาบริหารบริษัทต่อโดยเร็ว
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินเช่นนี้ก็ขอบตาแดงก่ำ น้ำตาไหลรินก่อนที่โทรศัพท์จะร่วงหล่นจากมือ
แม้เยว่เฟิงเกอจะไม่ใช่คนขี้แย แต่นาทีนี้นางไม่รู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร
พี่ชายที่รักใคร่นางคนนั้นได้หายตัวไปแล้ว
ส่วนตัวนางยังคงถูกกักขังอยู่ในโลกยุคโบราณ แม้ใจจะอยากออกไปตามหาเขาก็ไม่สามารถทำได้
เยว่เฟิงเกอคิดได้เช่นนี้ น้ำตาจากก้นบึ้งของหัวใจก็พรั่งพรูออกมา
เสียงจากปลายสายยังดังอยู่ ”คุณหนูเยว่ คุณไม่เป็ไรใช่ไหมครับ คุณหนูเยว่ ฮัลโหลๆ ”
เยว่เฟิงเกอไม่มีใจจะฟังหวังจิ่งพูดพล่ามอะไรอีกต่อไปแล้ว นางทิ้งตัวลงนอนร้องไห้โฮอยู่บนเตียง
เมื่อชิงจื่อสองสาวใช้เข้ามาเห็นเยว่เฟิงเกอร้องไห้เช่นนี้ พวกนางก็รีบร้อนเข้าไปถามไถ่ “พระชายาเกิดอะไรขึ้นเพคะ มีคนรังแกพระองค์หรือ”
ชิงจื่อคิดว่าคนที่จะทำให้พระชายาร้องไห้ได้ต้องเป็ท่านอ๋องแน่
หรือว่าท่านอ๋องจะกริ้วพระชายาอีกแล้ว พระชายาถึงได้เสียอกเสียใจจนต้องร้องไห้อย่างหนักหน่วงเพียงนี้?
นี่เป็ครั้งแรกที่ฉิงเอ๋อร์ได้เห็นเยว่เฟิงเกอร้องไห้ ปกติพระชายามักจะยิ้มแย้มพูดคุยกับนางและบรรดาสาวใช้ด้วยท่าทีสบายๆ ไม่เคยวางท่าเป็ผู้มีอำนาจเลย แต่ตอนนี้นางกลับต้องมาเห็นพระชายาร้องไห้อย่างหนัก ทำเอาไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินเสียงชิงจื่อก็รีบร้อนเช็ดน้ำตาบนหน้า ลุกขึ้นจากเตียงและปิดโทรศัพท์
“ข้าไม่เป็ไร ไม่มีใครรังแกข้า ข้าเพียงคิดถึงบ้าน” เยว่เฟิงเกอพูดพลางสูดจมูกอย่างแรง
นางอยากกลับไปมาก อยากกลับไปหาพี่ใหญ่ของนาง
ในเวลาเดียวกันนี้ชิงจื่อเข้าใจว่าเยว่เฟิงเกอกำลังคิดถึงแคว้นเสวี่ยอวี้ถึงได้ร้องไห้เสียใจเช่นนี้ นางเองก็คิดถึงแคว้นเสวี่ยอวี้อย่างมากเช่นกัน ถึงแม้ที่นั่นจะหนาวเหน็บ แต่สำหรับนางแล้วก็ยังดีกว่าที่นี่มาก
อากาศที่นี่ร้อนมาก ทำให้ในแต่ละคืนหลับไม่สบายนัก
กระนั้นชิงจื่อก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะในโลกใบนี้ เมื่อสตรีออกเรือนมาแล้วก็จำต้องกลายเป็คนของฝั่งเ้าบ่าว
หากเยว่เฟิงเกอคิดอยากจะกลับไปบ้านเดิมก็เป็เื่ที่พูดได้แค่ว่า ยากมากอย่างยิ่ง เพราะมีแต่ต้องให้ม่อหลิงหานยินยอมและเป็คนพากลับไปเอง
เพียงแต่คนที่บ้านของเยว่เฟิงเกอคงจะไม่ดีใจนักกับการกลับไปของนาง
เพราะในสายตาของพวกเขา คนที่แต่งออกไปแล้วก็ราวกับน้ำที่สาดออกไป
เมื่อสตรีแต่งออกไปก็ย่อมต้องกลายเป็คนของสามี ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านเดิมอีกแล้ว
ถึงแม้เยว่เฟิงเกอจะเป็องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากพระบิดาเป็อย่างมากครั้นยังเป็องค์หญิงอยู่ แต่เมื่อนางแต่งมาแคว้นเป่ยชวนนี้แล้ว นางก็ไม่ถือเป็ธิดาขององค์ราชันอีกต่อไป
หากเยว่เฟิงเกอกลับไปที่แคว้นเสวี่ยอวี้ ก็เกรงว่าจะถูกมองเป็แค่แขกคนหนึ่งเท่านั้น
ฉิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้างมองพระชายาที่ดวงตาฉ่ำน้ำ ขณะที่ชิงจื่อมีสีหน้าทุกข์ตรม
นางยังไม่ได้ออกเรือนจึงยังไม่เข้าใจกฎพวกนี้มากนัก อีกทั้งมารดาของนางก็ไม่เคยเล่าเื่พวกนี้ให้นางฟัง ตอนนี้จึงไม่เข้าใจว่าชิงจื่อกำลังทุกข์ใจเื่อะไรอยู่
นางคิดแค่ว่าในเมื่อพระชายาคิดถึงบ้าน ก็แค่กลับไปเยี่ยมก็ได้แล้วนี่ จะมาร้องไห้เสียใจอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร
“พระชายา หากทรงคิดถึงบ้านก็แค่เสด็จกลับไปก็ได้แล้วมิใช่หรือเพคะ ให้ท่านอ๋องพาท่านกลับไป” ฉิงเอ๋อร์กล่าวขึ้นอย่างไร้เดียงสา
เยว่เฟิงเกอส่ายหน้า ถอนใจหนักหน่วง
ที่ที่นางอยากกลับไปไม่ใช่แคว้นเสวี่ยอวี้ แต่เป็โลกยุคปัจจุบัน
เพราะมีแต่ต้องกลับไปยังโลกยุคปัจจุบัน ถึงจะไปตามหาพี่ใหญ่ได้
นี่เป็สิ่งที่ม่อหลิงหานทำให้นางไม่ได้
ขณะเดียวกันชิงจื่อลากฉิงเอ๋อร์ไปอีกด้าน รีบร้อนอธิบายเสียงเบาเกี่ยวกับเื่กฎเกณฑ์ที่หญิงออกเรือนแล้วจำต้องปฏิบัติตามกันมาให้ฉิงเอ๋อร์ฟังไปรอบหนึ่ง
เมื่อฉิงเอ๋อร์ได้ฟังแล้วถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนถึงได้มีสีหน้าทุกข์ใจกัน
นางไม่คิดพูดอะไรอีก และเพียงรู้สึกสงสารพระชายาอยู่ในใจ
เยว่เฟิงเกอสูดน้ำมูกอีกครั้งแล้วปาดน้ำตาทิ้งไปจนหมด ก่อนจะกล่าวกับชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์ด้วยเสียงอู้อี้ว่า “พวกเ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
ชิงจื่อยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกฉิงเอ๋อร์ลากออกไปทันที
ฉิงเอ๋อร์คิดว่าตอนนี้ควรจะเว้นช่องว่างให้พระชายาได้อยู่กับตัวเองก่อนจะดีกว่า เพราะไม่ว่าพวกนางจะพูดอะไรมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้
เมื่อคนทั้งสองออกไปแล้ว เยว่เฟิงเกอก็สูดลมหายใจเข้าลึก ต่อสายไปยังอีกเบอร์หนึ่ง
นางตั้งใจจะโทรไปถามพี่รองว่าเขารู้เื่ที่พี่ใหญ่หายตัวไปหรือไม่
ทว่า โทรศัพท์เรียกอยู่นานก็ไม่มีใครรับสาย
เยว่เฟิงเกอนึกว่าพี่รองของนางอาจไปร่วมงานแสดงดนตรีอะไรสักอย่างจนไม่มีเวลารับสาย จึงตัดสินใจจะวางสายไปก่อนแล้วค่อยโทรไปใหม่
ทว่า ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังจะกดตัดสายนั้น เสียงผู้หญิงจากอีกฟากฝั่งก็ดังขึ้น “ฮัลโหล นั่นใครคะ? ”
เยว่เฟิงเกอรีบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู กล่าวตอบ “ขอสายเยว่เฉินอี้ค่ะ เขาอยู่ไหมคะ? ”
ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าเยว่เฟิงเกอเป็พวกนักข่าวที่อยากจะมาหาข่าวจากเยว่เฉินอี้ เสียงที่กล่าวตอบกลับไปจึงไม่เป็มิตรอย่างยิ่ง
“พวกนักข่าวบันเทิงอย่างพวกคุณนี่อะไรกัน อย่าเอาแต่โทรมารบกวนเฉินอี้จะได้ไหม ฉันบอกพวกคุณไปแปดร้อยหกสิบรอบแล้ว เื่ของเขา พวกคุณอย่ายุ่งให้มันมากนักเลย”
“ดูเหมือนพวกคุณจะมีเวลาว่างมากนะ ถ้ายังกล้าโทรมารบกวนอีก ฉันจะฟ้องร้องพวกคุณ”
เมื่อผู้หญิงปลายสายพูดจบก็ตั้งท่าจะวางสายทันที
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินน้ำเสียงที่ไม่เป็มิตรของอีกฝ่าย นางเองก็โกรธแล้วเช่นกัน
ผู้หญิงคนนี้เป็ใครกัน ไม่ถามไถ่ให้ชัดเจนว่านางเป็ใครก็ด่ากันสาดเสียเทเสียเช่นนี้แล้ว
เดิมทีนางก็อารมณ์ไม่ดีมากอยู่แล้ว เพราะพี่ใหญ่หายตัวไปทั้งคน ตอนนี้ยังต้องมาถูกด่าว่าเช่นนี้อีก จึงไม่อาจเก็บกักอารมณ์โกรธต่อไปไหว
เสียงที่เปล่งออกไปในหนนี้จึงฟังดูดุดัน “ฉันคือเยว่เฟิงเกอ เป็น้องสาวของเยว่เฉินอี้ ไปตามเขามารับโทรศัพท์”
ปลายสายเงียบไปราวสองวินาที
เมื่อปลายสายได้ยินเยว่เฟิงเกอแนะนำตัว เสียงก็เปลี่ยนไปทันที “อ๋อ เป็คุณหนูเยว่เองหรือคะ เมื่อครู่ดิฉันไม่ทราบว่าเป็คุณ นึกว่าเป็พวกนักข่าวบันเทิงที่มาหาข่าว ถึงได้พลั้งปากพูดอะไรแบบนั้นออกไป ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
เยว่เฟิงเกอไม่อยากสนใจผู้หญิงคนนี้อีก ตอนนี้นางอยากได้ยินเสียงของพี่รอง
“เยว่เฉินอี้ละ บอกให้เขามารับโทรศัพท์หน่อย” เยว่เฟิงเกอน้ำเสียงเ็า
หลิวลู่ลู่สีหน้าลำบากใจ นางก็อยากเอาโทรศัพท์ให้เยว่เฉินอี้รับสาย แต่เขาไม่อยู่กับนางนี่สิ
“คุณหนูเยว่ คือว่านะคะ เื่มันเป็อย่างนี้ค่ะ ตอนนี้เฉินอี้ไม่ได้อยู่กับฉัน เขาน่าจะไปพักร้อนที่ต่างประเทศน่ะค่ะ” หลิวลู่ลู่โกหก
เยว่เฟิงเกอขมวดคิ้วน้อยๆ ถ้าพี่รองไปเที่ยวพักร้อนที่ต่างประเทศจริงๆ ทำไมถึงไม่เอาโทรศัพท์ไปด้วย?
หรือปกติดาราไปเที่ยวพักร้อนกัน มักจะไม่พกโทรศัพท์ติดตัวไป?
แต่พี่รองที่นางรู้จักไม่ใช่คนที่จะอยู่ห่างจากโทรศัพท์ได้เลย
ต่อให้จะไปเข้าร่วมรายการอะไร อันดับแรกที่เขาจะทำหลังถ่ายรายการเสร็จก็คือการหยิบโทรศัพท์มาไว้กับตัว ดังนั้น เขาไม่มีทางทิ้งโทรศัพท์ไว้กับคนอื่นอย่างไม่สนใจเช่นนี้แน่
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่คนอื่นตอนออกไปเที่ยวพักร้อนแบบนี้
ตอนนี้เยว่เฟิงเกอคิดได้อย่างเดียว ผู้หญิงคนนี้ต้องกำลังโกหกนางอยู่แน่
“คุณเป็ใครกันแน่ ทำไมโทรศัพท์ของพี่ชายฉันถึงมาอยู่ที่คุณได้? ” เยว่เฟิงเกอขมวดคิ้วแน่น ถามผู้หญิงปลายสายด้วยน้ำเสียงไม่ประสงค์ดี
หลิวลู่ลู่เห็นว่าการสลัดเยว่เฟิงเกอออกไปดูเหมือนจะไม่ใช่เื่ง่ายๆ จึงทำได้แค่กระแอมเบาๆ แล้วแนะนำตัว “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลิวลู่ลู่ เป็ผู้จัดการของเยว่เฉินอี้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้