“ท่านแม่ พี่ชายเซวียนจะเป็คนช่วยเหลือนังแพศยานั่นหรือไม่เ้าคะ” เมื่อคิดถึงความเป็ไปได้ข้อนี้ อวี้ซือหรงก็ไม่แสร้งบีบน้ำตาอีก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความริษยา แค่คิดว่าในหัวใจของญาติผู้พี่มีแต่โม่เสวี่ยถง นางก็แทบอยากจะจับโม่เสวี่ยถงมาเคี้ยวกินให้สิ้นซาก
“ไม่หรอก ตอนนั้นอวี้เซวียนยังเดินทางอยู่ เป็ไปไม่ได้ที่จะปลีกตัวมาช่วย อีกอย่างคนในบังคับบัญชาของเขาก็ไม่มีใคร...” อวี้ซื่อใคร่ครวญก่อนให้คำตอบ ข้างกายฉินอวี้เซวียนมีเพียงบ่าวที่เป็ซูถง[1] สองสามคน เป็ไปไม่ได้ที่จะแอบทำสิ่งใดที่หลบสายตาผู้คน และหากฉินอวี้เซวียนตรวจสอบพบสิ่งใดขึ้นมาจริงๆ จะต้องบุกเข้ามาเอาเื่กับตนเองโดยไม่สนใจสิ่งใดแน่นอน ไม่มีทางสงบนิ่งแบบนี้เด็ดขาด”
“อาหญิง ข้าไม่สน ข้าอยากให้นังแพศยานั่นตาย” อวี้ซือหรงน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นฉินอวี้เซวียนไม่สนใจตนเอง แต่กลับแล่นไปหาโม่เสวี่ยถง เบื้องลึกของดวงตาปานจะพ่นไฟ ครานี้ถือว่านังคนชั้นต่ำโชคเข้าข้างจึงรอดไปได้
“อวี้ซือหรงเ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามนะ รอเสร็จจากเื่ของเ้าแล้ว ย่อมมีโอกาสจัดการกับนางอีก” เฉินซื่อเตือนสติ
“ท่านแม่วางใจได้ ่นี้ข้าจะปล่อยนางไปก่อน แต่อีกสองสามวันข้าจะทำลายรูปโฉมของนางซะ ดูซิว่าจะเหลืออะไรไว้ล่อลวงญาติผู้พี่อีก” อวี้ซือหรงกัดฟันอย่างคับแค้น นางย่อมกระจ่างใจดีว่าสองวันนี้อาหญิงกับมารดาต้องเตรียมการณ์บางอย่างให้แก่นาง ต้องรวบหัวรวบหางพี่ชายเซวียนให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจึงจะมีเวลาจัดการกับโม่เสวี่ยถง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงรู้สึกคับข้องใจ นางรู้สึกว่าตนเองดีกว่าโม่เสวี่ยถงทุกด้าน ไฉนพี่ชายจึงมองไม่เห็น แต่กลับไปติดเนื้อต้องใจนังแพศยานั่นได้
หลังจากออกมา อวี้ซือหรงยืนนิ่งอยู่ใต้ชายคาระเบียง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แผนการรัดกุมถึงเพียงนี้ไฉนนังแพศยาจึงยังหนีไปได้อีก
พอนึกถึงว่ายามนี้ฉินอวี้เซวียนยังอยู่ที่ห้องของโม่เสวี่ยถงก็รู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกมา ขบกรามกรอด สั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงเ็า “ไปดูว่าคุณหนูโม่เป็อย่างไรบ้าง บอกนางว่าถ้า้าของกินของใช้อะไรเพิ่มเติมก็อย่าเกรงใจ เดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมนางอีก”
ไม่ได้ นางไม่ไว้ใจ ต้องส่งคนไปดูลาดเลาก่อน
สาวใช้รับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ยามนี้ฉินอวี้เซวียนอยู่ที่ห้องของโม่เสวี่ยถง ตอนที่เขามาถึงโม่เสวี่ยถงก็ฟื้นแล้ว นางนั่งเอนกายอยู่บนเตียง มีหมอนใบใหญ่วางหนุนอยู่ด้านหลัง เื่ที่นางได้รับาเ็มีเพียงสาวใช้สองคนในห้องที่รู้ ไม่อาจบอกให้ผู้อื่นทราบได้ จึงเล่าเพียงว่าตนเองหกล้มแขนถลอกและมีาแที่คอ หลังจากใส่ยาที่เฟิงเจวี๋ยหร่านทิ้งไว้ให้ก็รู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความจริงแล้วาแไม่ใหญ่ แต่เพราะเสียเืมากสีหน้าจึงซีดเซียว บัดนี้นางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มาเป็ชุดแพรอ่อนนุ่มสีเขียวอ่อน ชายปักลายใบเฟิงเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มสีเรียบดูเข้ากับบรรยากาศของที่นี่ เส้นผมสีนิลทิ้งตัวดั่งม่านน้ำตกแผ่คลุมลงมา ทั่วทั้งตัวดูสดใสเป็ประกายวาบวับ บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดู
ดวงตาดั่งหยาดน้ำใสดูไร้เดียงสาเป็ธรรมชาติ แม้ว่าร่างกายจะยังเล็ก แต่รูปโฉมกลับงามเพริศพริ้งยากจะหาอันใดเปรียบปาน
เมื่อเห็นฉินอวี้เซวียนเข้ามาโม่เสวี่ยถงฝืนกายลุกขึ้น ลืมนึกไปว่าจะกระทบถึงาแ เมื่อความเ็ปแล่นปราด หัวคิ้วพลันมุ่นขมวด ใบหน้าเล็กขาวซีดลงทันที หน้าผากงามละเมียดมีเม็ดเหงื่อผุดพราย
“ลุกขึ้นมาทำไม าเ็แล้วยังจะลุกขึ้นมาอีก พี่ชายหาใช่คนนอก” ฉินอวี้เซวียนก้าวเข้ามา น้ำเสียงกรุ่นตำหนิ ทว่าดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยรักใคร่ เอื้อมมือเข้าไปจับข้อศอกแล้วประคองนางให้นอนลง ไม่ให้ลุกขึ้นมาอีก
“ไฉนจึงเลินเล่อเช่นนี้ แล้วแล่นไปทำอะไรถึงที่นั่น” เขานั่งลงข้างเตียงของโม่เสวี่ยถง รับถ้วยชาจากโม่หลันมาดื่มคำหนึ่งแล้ววางลงด้านข้างก่อนถามอย่างร้อนใจ
“ไม่มีอะไรมากหรอกเ้าค่ะ เดิมทีข้าไปจุดธูปต่อหน้าองค์พระให้ท่านแม่ในหอกลาง บอกโม่หลันให้เฝ้าอยู่ด้านนอก แต่ไม่รู้ว่านางถูกผู้ใดเรียกไป ยามที่ข้าออกมาก็ไม่พบตัวแล้ว บังเอิญเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามา ด้วยความตื่นตระหนกข้าจึงรีบหาทางหลบเลี่ยง แล้วก็เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ตามทางเปลี่ยว สุดท้ายก็หกล้มเพราะความลนลานหวาดกลัวนี่แหละ โม่หลันออกตามหา ได้ยินเสียงร้องจึงพบว่าข้าหกล้มอยู่ที่นั่น” โม่เสวี่ยถงก้มหน้า บิดผ้าเช็ดหน้าในมือ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
น้ำเสียงที่แ่เบา ใบหน้าขาวซีดเซียวดูอิดโรย ผนวกกับริมฝีปากไร้สีเื และดวงตาที่คล้ายถูกปกคลุมด้วยไอหมอกดูน่าสงสารยิ่ง ทำให้คนรู้สึกว่าสาวน้อยที่ดูเอียงอาย ขลาดกลัวอยู่เบื้องหน้าดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เหมือนหิมะขาวกระจ่างที่ไร้ราคี รอยยิ้มบางๆ ที่ผลิบานบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ตรึงใจ
“โม่หลันถูกคนเรียกไปหรือ” สายตาของฉินอวี้เซวียนเลื่อนไปหาโม่หลันซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
“เห็นบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีธุระจะพูดคุยด้วยเกี่ยวกับคุณหนูเ้าค่ะ ตอนแรกบ่าวก็ไม่อยากไป แต่สาวใช้ผู้นั้นก็เร่งเร้าไม่ลดละ บ่าวจึงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงมีเื่ด่วน จึงรีบตามนางไป แต่พอไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกเอะใจ หนึ่งสาวใช้ผู้นั้นดูไม่คุ้นตา สองฮูหยินผู้เฒ่าจะให้คุณหนูอยู่ข้างนอกคนเดียวได้อย่างไร บ่าวจึงรีบกลับไป แต่พอไปถึงก็ไม่เจอคุณหนู กลับพบแต่คุณหนูอวี้พาคนมาที่หอกลาง บอกว่าเห็นคุณหนูอยู่กับ… ใครก็ไม่รู้ หลังจากนั้นฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าก็ตามมากันครบ...” โม่หลันเล่าเหตุการณ์ั้แ่ต้นให้ฟังอย่างละเอียด
แม้มิได้บ่งชี้อะไรชัดเจน แต่คนฉลาดฟังแล้วย่อมกระจ่างใจได้ว่าเื่เป็มาอย่างไร
“โม่หลันอย่าพูดเหลวไหล เื่นี้คุณหนูอวี้กับท่านป้าสะใภ้ไม่เกี่ยวข้องด้วย พวกนางแค่เป็ห่วงที่หาข้าไม่พบ จึงร้อนใจจนเกิดการเข้าใจผิดเท่านั้น” เมื่อได้ยินว่าโม่หลันยังคิดจะพูดต่อ โม่เสวี่ยงถงจึงยกศีรษะขึ้นมา ดวงตากลมโตราวกับผลซิ่งมองฉินอวี้เซวียนอย่างเขินอาย แล้วรีบปรามโม่หลันให้หยุดพูด
ดวงตาของฉินอวี้เซวียนลุกวาว เบื้องลึกั์ตาปรากฏรังสีเย็นะเืวาบผ่าน โทสะลุกโชนอย่างปิดไม่มิด “ฟังดูไม่ชอบมาพากล ต้องมีใครสักคนคิดไม่ซื่อกับน้องหญิงถงอยู่แน่นอน คนบางคนหน้าตาไม่ดี จิตใจก็ยังร้ายกาจ”
นี่ไม่ใช่แค่เื่หกล้มธรรมดาแล้ว หากโม่เสวี่ยถงยังอยู่ในหอกลางแล้วชายผู้นั้นเข้าไปข้างใน พอทุกคนเข้าไปเห็นว่านางอยู่กับบุรุษสองคน ย่อมไม่อาจพูดแก้ต่างอันใดได้เลย ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนั้น น้องหญิงถงไหนเลยจะมีทางรอด นี่เป็การบีบคั้นนางให้ถึงที่ตายชัดๆ
แววตาของฉินอวี้เซวียนแข็งกร้าวขึ้นหลายส่วน สาวใช้ที่ไม่รู้จักย่อมไม่ใช่คนของบ้านตน สาวใช้ที่มาจากสกุลฉินในครานี้ล้วนเป็คนที่คุ้นเคยกันดี โม่หลันจะบอกว่าไม่รู้จักได้อย่างไร นอกเสียจากคนผู้นั้นเป็สาวใช้ของบ้านอื่น
สาวใช้ของบ้านอื่นในวัดชิงเหลียงที่รู้จักสกุลฉินเป็อย่างดี นอกจากสกุลอวี้แล้วจะมีใครได้ ดวงตาสีนิลนิ่งลึก ริมฝีปากเหยียดเป็เส้นตรง ทำให้องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าดูเคร่งขรึม นับั้แ่โม่เสวี่ยถงเข้าเมืองหลวงมา ฉินอวี้เซวียนที่เคยร่าเริงสดใสก็สุขุมลงมาก ไม่แสดงอารมณ์โพล่งออกมาต่อหน้าโม่เสวี่ยถงเหมือนในอดีต
หญิงสาวตระกูลดีในเมืองหลวงพิถีพิถันยิ่งเื่การรักษาชื่อเสียงของตนเอง เื่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ชื่อเสียงของน้องหญิงถงมัวหมองได้ เขาไม่อาจให้เื่แบบนี้เกิดขึ้นอีก รอมีโอกาสเมื่อไรจะต้องสั่งสอนให้อวี้ซือหรงได้รู้สำนึก
“ขอบคุณพี่ชายเซวียนที่เป็ห่วงเ้าค่ะ ข้าไม่เป็อะไรแล้ว ต่อไปจะระมัดระวังไม่ให้เกิดเื่ที่ทำให้พี่ชายต้องวิตกกังวลอีก” โม่เสวี่ยถงยิ้มพราย ตอบเสียงหนักแน่น “าเ็แค่ภายนอกไม่กี่วันก็หาย มิใช่เื่ใหญ่ รอข้าดีขึ้นแล้ว คงต้องให้พี่ชายพาเดินเที่ยวชมรอบวัด ได้ยินมาว่าทิวทัศน์ของที่นี่งดงามไม่เลว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นางดูลนลานขึ้นเล็กน้อย ดวงตาช้อนมองฉินอวี้เซวียน ขบริมฝีปากคล้ายหวาดกลัว ก่อนกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “แต่ถ้า... คุณหนูอวี้ไป ข้าไม่ไปนะ”
คำพูดนี้บ่งบอกว่านางไม่ชอบอวี้ซือหรง
อวี้ซือหรงคิดจะทำร้ายนาง นางจะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่เป็สุขได้อย่างไร
นิ้วมือที่กุมผ้าห่มแน่นคลายออก เงยหน้าขึ้น ใบหน้าทอยิ้มอ่อนหวาน คำพูดของนางเมื่อครู่คงทำให้ฉินอวี้เซวียนเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว
ชาตินี้อวี้ซือหรงคิดจะแต่งให้ฉินอวี้เซวียน ตนเองก็จะให้นางไม่ได้แต่ง
เมื่อเห็นท่าทีต่อต้านของโม่เสวี่ยถง ดวงตาของฉินอวี้เซวียนพลันหรี่ลง แววตาวาวโรจน์ประดุจคมมีด แต่โม่เสวี่ยถงมิทันได้เห็น
ขณะที่หันไปหานาง รอยยิ้มของเขาก็กลับมาอ่อนโยนเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ ผงกศีรษะตอบรับเสียงเบา “ได้ ถึงเวลาพี่ชายจะไปเป็เพื่อนน้องหญิงถงเอง”
หลังจากนั้นก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของโม่เสวี่ยถง ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงโม่เยี่ยเดินเข้ามาบอกว่าคุณหนูอวี้ส่งคนมาขอพบ
โม่เสวี่ยถงมือสั่นระริก ใบหน้าพลันถอดสี แม้จะพยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พ้นสายตาของฉินอวี้เซวียน นางมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าหวาดกลัว ขบเม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมพูด สีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงทำให้นางดูอ่อนแอ น่าสงสารจับใจ
ไม่จำเป็ต้องเอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้แล้ว
ฉินอวี้เซวียนดวงตาฉายแววกร้าวขึ้น เอ่ยปากอย่างไม่พอใจ “ให้นางกลับไป บอกว่าคุณหนูของเรารับน้ำใจไว้แล้ว” หลังจากนั้นก็หันมามองโม่เสวี่ยถงปราดหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นกล่าวคำอำลา
รอจนกระทั่งฉินอวี้เซวียนเดินลับตาไปแล้ว โม่หลันก็เอ่ยถามอย่างรู้สึกหงุดหงิด “คุณหนู เหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงไม่ให้บ่าวเล่าเื่ที่คุณหนูอวี้ทำไว้ทั้งหมดล่ะเ้าคะ นายน้อยเซวียนจะได้ไม่หลงคิดว่าสตรีผู้นั้นเป็คนดีอะไร นายน้อยรักและเป็ห่วงคุณหนูขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องโมโหและไปสั่งสอนนางแทนท่านแน่ ต่อไปจะได้ไม่กล้าทำเื่แบบนี้อีก”
“หากสั่งสอนนางแล้ว นางไม่มาทำร้ายข้าอีก แล้วที่ลงแรงมาก่อนหน้านี้จะไม่กลายเป็สูญเปล่าหรอกหรือ” โม่เสวี่ยถงจับมือของโม่หลันประคองตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มราบเรียบ ความคิดของสาวใช้คนนี้นางเข้าใจดี ตนเองได้รับาเ็ อวี้ซือหรงก็ไม่อาจให้นางได้อยู่สุขสบาย
แต่หากสั่งสอนแล้วอวี้ซือหรงไม่ยอมรับ ทำให้เื่นี้ผ่านไปอย่างเสียเปล่านางก็ไม่ยินดีเหมือนกัน เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเฟิงเจวี๋ยหร่านมาช่วย นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นนางหรือจะมีทางรอด อวี้ซือหรงถึงขั้นหมายเอาชีวิตนาง หากแค่สั่งสอนเจ็บๆ คันๆ จะไปเพียงพออย่างไร
ชีวิตนี้นางกลับมาเพื่อแก้แค้น ชาติที่แล้วอวี้ซือหรงทำให้นางเสียโฉม ชาตินี้ก็ยังคิดทำลายชื่อเสียง หมายเอาชีวิต แล้วนางจะปล่อยอีกฝ่ายให้ลอยนวลไปได้อย่างไร เมื่อเป็คู่แค้น ไม่ว่าใครก็ปล่อยไปไม่ได้ทั้งสิ้น ไยต้องให้พี่ชายเซวียนไปสั่งสอนด้วยเล่า คนจะเห็นว่านางจิตใจคับแคบแล่นมาฟ้องพี่ชายสิไม่ว่า
ชาตินี้นางก็ยังคงอ่อนแอและขี้ขลาด แต่สิ่งเหล่านี้เป็แค่การแสดงออกภายนอก หลังจากผ่านความตายมาแล้ว หัวใจนางเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งเหมันต์ที่ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย นางถูกไฟคลอกจนตาย เ็ปทรมานแสนสาหัส แค้นนี้ไม่อาจให้อภัย
เืต้องชดใช้ด้วยเื เมื่ออวี้ซือหรงไม่เคยยอมปล่อยนาง แล้วไฉนนางจะต้องละเว้นการชำระโทษอีกฝ่ายด้วยเล่า
…….........................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ซูถง ใช้เรียกบ่าวรับใช้ของคนเรียนหนังสือในสมัยก่อน เนื่องจากการศึกษาสามารถขยับฐานะทางสังคมได้ ครอบครัวที่ยากจนก็มักจะส่งบุตรชายไปเป็ซูถงซึ่งเป็ทั้งบ่าวและเพื่อนเรียนของบุตรชายผู้มีฐานะร่ำรวย