จ้าวซื่อกล่าวเสียงเข้มว่า “ในตอนที่พวกเราสามคนมาถึงหมู่บ้านหลี่ ทางการมอบบ้านผุพังมาให้พวกเรา เป็บ้านที่ไม่อาจอาศัยอยู่ได้เลย อีกทั้งยังมอบที่ดินหกหมู่อันแห้งแล้งมาให้ ตัวท่านไม่มีเงินทองข้าก็นำสินเดิมออกมาซ่อมแซมบ้านให้ท่าน ทั้งยังฟังคำท่านด้วยการเอาเงินไปซื้อที่ดินดีๆ เพิ่มอีกสี่หมู่และที่ดินไม่ดีอีกสองหมู่”
เมื่อปีนั้นความคิดของหลี่ซานก็เหมือนเช่นตอนนี้ มีเงินแล้วก็ต้องนำไปซื้อที่ดิน ยิ่งมีที่ดินมากก็ยิ่งดี
“เมื่อข้าคลอดเจี้ยนอันกับฝูคัง ข้าอยากให้พวกเขาได้เล่าเรียน ยามนั้นหลี่สือยังเด็ก ท่านคนเดียวทำการเกษตรในที่ดินสิบสองหมู่ หาเงินได้เพียงแค่พอจะฝืนใช้จ่ายในบ้าน ต่อมาข้าคลอดอิงฮว๋าและิ่หาน เงินที่ได้จากการทำการเกษตรของท่านก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น บ้านเรายังคงไม่มีเงินส่งพวกเขาทั้งหมดไปเรียนหนังสือ”
หลี่ซานย้อนนึกไปถึงตอนแรกเริ่มที่เพิ่งได้เป็พ่อคน ตอนนั้นจ้าวซื่อมักพูดคุยกับบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมว่า ภายภาคหน้าหากบิดาพวกเ้าหาเงินได้จะให้พวกเ้าได้เล่าเรียนและไปสอบเป็ซิ่วไฉจวี่เหริน
เมื่อหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานเกิด จ้าวซื่อก็ยังคงพูดจาเช่นนั้น ต่อมาก็เริ่มไม่พูดถึงอีก
จินตนาการช่างงดงาม แต่ความเป็จริงช่างยากลำบาก ครอบครัวของเขากระทั่งข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม เสื้อผ้าก็ยังใส่ไม่อุ่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ส่งลูกๆ ไปเรียนหนังสือเลย
จ้าวซื่อกล่าวต่อไป “ครอบครัวเราใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก รายได้จากการทำการเกษตรของท่านยังไม่พอให้พวกเรากินอิ่มด้วยซ้ำ ลูกๆ แต่ละคนล้วนตัวผอมหน้าเหลือง กระทั่งหรูอี้ที่เป็เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว ั้แ่เล็กจนโตได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่นับครั้งได้ ข้าแต่งให้ท่านสิบห้าปีแล้ว มีชีวิตลำบากลงเรื่อยๆ ลูกๆ ทั้งห้าที่ข้าคลอดก็ต้องมีชีวิตลำบากตามไปด้วย”
หลี่ซานรู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถจริงๆ จากที่ได้ฟังคำพูดของจ้าวซื่อ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ท่านทำการเกษตรและออกไปทำงานข้างนอกย่อมลำบากยากเข็ญ ท่านพยายามเต็มที่เพื่อครอบครัว เพียงแต่ท่านมีความฉลาดและความสามารถไม่พอ สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนเห็นอยู่ในสายตา คิดอยู่ในใจ แต่ไม่เคยคิดกล่าวโทษท่าน”
หลี่ซานคิดอย่างละเอียด นอกจากวันนี้แล้วหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ยินจ้าวซื่อกล่าวตำหนิจริงๆ
“หลายเดือนมานี้วิธีการของท่านทำให้ข้าผิดหวังกับท่านมากจริงๆ” จ้าวซื่อหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หรูอี้ยังเด็กเพียงเท่านั้น ร่างกายก็ไม่ได้สูงใหญ่ ต้องยืนบนม้านั่งจึงจะใช้เตาใช้กระทะได้ นางต้องลุกขึ้นมาทำอาหารั้แ่ฟ้ายังไม่สว่างทุกวัน แต่ละครั้งก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม ส่วนลูกชายทั้งสี่ก็ต้องเดินไปที่ตำบลจินจีและอำเภอฉางผิง ไกลห้าสิบหกสิบลี้ทุกวันเพื่อไปขายของ”
หลี่ซานยิ่งรู้สึกโศกเศร้า ได้แต่เงียบงันไม่พูดจา
“หากท่านอยู่บ้านเื่เหล่านี้ย่อมมีท่านเป็ผู้ทำ ลูกๆ ก็ไม่จำเป็ต้องยากลำบากถึงเพียงนี้ พวกเขาอยู่ใน่ร่างกายเติบโต ข้าสิ้นไร้หนทางจริงๆ บ้านเราขาดแคลนเงินทอง ในท้องข้าก็ยังมีลูกอีกสองคน จึงไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้ ข้าอยากให้ท่านรีบกลับมาช่วยเหลือลูกๆ นอกจากนี้ในบ้านมีเงินมาก แต่กลับไม่มีบุรุษที่เป็ผู้ใหญ่อยู่สักคน ข้ากลัวจะมีโจรขโมยขึ้นบ้าน ยิ่งกลัวว่าจะเกิดเื่ใหญ่จนถึงชีวิต ทุกค่ำคืนล้วนเป็กังวลจนนอนไม่หลับ” เมื่อจ้าวซื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็น้ำตาไหล
หลี่ซานไม่ได้เห็นน้ำตาของภรรยาตนเองมานานแล้ว เขารีบลุกขึ้นยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้ภรรยาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ “ซู่เหมย เ้าอย่าร้อง”
“เ้านั่งฟังข้าพูดให้จบก่อน” จ้าวซื่อกล่าวเสียงเย็น หลี่ซานจึงทำได้เพียงกลับลงไปนั่ง “ข้าให้เด็กๆ ไปเรียกท่านกลับบ้าน แต่ท่านไม่ยอมกลับ ข้าเขียนจดหมายไปให้ท่าน ท่านก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน ท่านทำเช่นนี้กับข้า ทำให้ข้าเป็ห่วง ทำให้ข้าลำบากใจเช่นนี้”
หลี่ซานนั่งนิ่งราวกับถูกตอกหมุด กล่าวพึมพำขึ้นว่า “ข้าไม่คิดว่าที่บ้านจะมีเงินมากมายเพียงนี้”
“เมื่อก่อนข้ามอบเงินให้ท่านไปซื้อที่ดินแล้ว แต่ท่านไม่อาจทำให้ข้าและลูกมีชีวิตที่ดีได้ ไม่อาจทำให้ลูกของข้าได้เรียนหนังสือ คราวนี้ข้าจะไม่ยอมให้หรูอี้มอบเงินให้ท่านเพื่อนำไปซื้อที่ดินแล้ว พวกเรา้ามีชีวิตที่ดี ข้าอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือกันทุกคน ให้พวกเขาเรียนสิบปีแล้วไปสอบเคอจวี่ให้ได้เป็ซิ่วไฉจวี่เหริน เพื่อเปลี่ยนแปลงครอบครัว!” จ้าวซื่อยื่นมือออกไปลูบท้องของตน ในนี้ยังมีลูกชายอีกสองคน หากไม่สามารถโน้มน้าวให้สามีทำการค้าได้ ลูกชายทั้งหกคนย่อมไม่อาจได้ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา นี่เป็เื่ที่นางไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
“ข้า…” หลี่ซานมองไปยังจ้าวซื่อที่ยังคงมีประกายน้ำตาอยู่เล็กน้อย ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก
จ้าวซื่อกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “หรูอี้ของข้าทั้งฉลาดเฉลียวและมีความสามารถ ในระยะเวลาไม่กี่เดือนก็พาลูกชายทั้งสี่ไปหาเงินได้มากกว่าที่ท่านลำบากทำการเกษตรมาสิบห้าปีเสียอีก ข้าเชื่อคำพูดของนาง ท่านก็ต้องเชื่อนางด้วย”
พี่น้องทั้งห้านั่งยองๆ อยู่ตรงประตูห้องโถง เพื่อแอบฟังบทสนทนา แต่ละคนมีความคิดเป็ของตนเอง ส่วนใหญ่เป็จ้าวซื่อที่พูดส่วนหลี่ซานแว่วมาเพียงเสียงแ่เบา นานๆ จะกล่าวขึ้นประโยคสองประโยค
ผู้ใดในบ้านมีผลงานมาก คำพูดของผู้นั้นย่อมมีน้ำหนักและอำนาจมาก
หากไม่มีจ้าวซื่อที่นำสินเดิมออกมาซ่อมแซมบ้านในปีนั้น สองพี่น้องหลี่ซานคงไม่มีแม้กระทั่งบ้านให้อยู่อาศัย ในที่ดินสิบสองหมู่ของครอบครัว มีที่ดินดีสี่หมู่และที่ดินแย่อีกสองหมู่ที่ใช้สินเดิมของจ้าวซื่อซื้อมา
ในยามที่ตระกูลหลี่ลำบากที่สุด จ้าวซื่อก็ใช้สินเดิมทั้งหมดของตน รวมกับที่นางคลอดบุตรชายสี่คนให้ตระกูลหลี่ จึงนับว่าสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้ตระกูลหลี่แล้ว
ฝนเริ่มซาลง บทสนทนาของสามีภรรยาตระกูลหลี่สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของจ้าวซื่อ
ทรัพย์สินทั้งหมดของหลี่หรูอี้จะเก็บไว้ไม่นำไปซื้อที่ดิน หากไม่มีงานเกี่ยวกับการเกษตร หลี่ซานและหลี่สือจะไปขายอาหารกับนาง
ข่าวดีมาถึงรวดเร็วนักจนหลี่หรูอี้รู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน เพราะทราบดีว่าหลี่ซานมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็งทั้งยังยึดความคิดของตนเองเป็ใหญ่
จ้าวซื่อดวงตาแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา อย่างไรก็ตามตอนนี้มุมปากกำลังยกโค้ง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มบางเบา แววตาอ่อนโยนทอดมองไปยังบุตรชายทั้งสี่ “รอให้ฝนหยุดก่อน บิดาเ้าจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อถามเื่สำนักศึกษาในตำบล”
หลี่ฝูคังอดกล่าวไม่ได้ว่า “พวกเราจะได้ไปสำนักศึกษากันทุกคนหรือขอรับ?”
จ้าวซื่อมองไปยังบุตรีสุดที่รักอีกครั้ง เมื่อเห็นนางผงกศีรษะอย่างมั่นใจในใจก็พลันรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่”
“พวกเราจะได้ไปสำนักศึกษาด้วยกัน ดีจริงๆ”
“พวกเราเป็พี่น้องทั้งยังจะได้เป็สหายร่วมสำนักด้วย ดีเหลือเกิน!” เด็กชายบ้านหลี่โอบกอดกันเป็วง ล้วนดีใจจนน้ำตาไหล
หลี่สือที่เล่นกับลาอยู่ที่ลานด้านหลังมาตลอด โผล่มาเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ เขาลูบท้องของตนพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “หรูอี้ ท้องข้าร้องอีกแล้ว เมื่อวานเ้าบอกว่า มีอาหารกลางวันให้กิน แต่ตอนนี้เตาที่ห้องครัวยังเย็นอยู่เลย”
หลี่หรูอี้หัวเราะ “ท่านอารอง ข้าลืมทำอาหารกลางวัน จะไปเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ” เมื่อครู่นางกำลังนึกถึงผลการพูดคุยระหว่างบิดามารดาจนท้องร้องแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
หลี่อิงฮว๋าแย่งเสนอตัวไปเป็ลูกมือที่ห้องครัว เขายิ้มจนตาหยีแล้วกล่าวขึ้นว่า “น้องห้า เ้าฉลาดจริงๆ เริ่มด้วยการโน้มน้าวพี่ใหญ่ก่อน จากนั้นก็ให้พี่ใหญ่ไปโน้มน้าวให้ท่านแม่เห็นด้วยกับการค้าขายของพวกเรา เมื่อท่านแม่เห็นด้วยแล้วก็ให้ท่านแม่ไปโน้มน้าวท่านพ่อ”
“แผนการอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่ที่ฟ้า ์บันดาลให้ครอบครัวเราทำการค้าได้แล้ว บันดาลให้พวกท่านได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาด้วย”
“แผนการอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่ที่ฟ้า กล่าวได้ดีจริงๆ” หลี่อิงฮว๋าที่นั่งคุมไฟอยู่ข้างเตาเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวที่อายุน้อยที่สุด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำกล่าวมากเหตุผลของน้องสาว
อาหารกลางวันค่อนข้างเรียบง่าย เป็กับข้าวที่เหลือจากเมื่อคืนและหมั่นโถวที่ทำจากแป้งข้าวโพดและแป้งขาวผสมกัน
เพียงกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวานก็ทำให้หลี่สือกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว เมื่อกินหมดก็นำหมั่นโถวไปจุ่มน้ำผักในชามเพื่อกินต่อ
เขามีพละกำลังมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ความอยากอาหารย่อมมากเช่นนี้ ในยามที่เขาสี่ขวบเขากินเท่ากับสตรีผู้ใหญ่หนึ่งคน ตอนอายุแปดขวบกินมากเท่ากับหลี่ซาน ตอนอายุสิบสามกินมากกว่าหลี่ซานสองเท่า
เขามีเพียงพละกำลัง ทำได้แค่งานที่ใช้แรงกายเท่านั้น งานที่ละเอียดทำไม่ได้ ทำการเกษตรก็ไม่ใช่ว่าจะดี ถูกคนในหมู่บ้านดูแคลนมาตลอด มักมีคนคอยยั่วยุให้สองสามีภรรยาหลี่ซานไล่เขาออกไป
หลี่หรูอี้เห็นหลี่สือมองชามไม้อันว่างเปล่าบนโต๊ะ จึงถามไปว่า “ท่านอารอง ท่านกินอิ่มหรือไม่”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้