ประเทศอังกฤษ
นิ้วแกร่งเรียวยาวเปิดพลิกกระดาษบนหน้าหนังสือแผ่นแล้วแผ่นเล่าพลางสายตาคมก็จ้องมองตัวอักษรชวนลายตาด้านในไม่วางตาโดยไม่คิดที่จะสนใจผู้คนหรือเสียงพูดคุยหลากภาษารอบตัวแม้แต่น้อย…
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องสมุดขนาดใหญ่ของเมืองที่ประชาชนและนักศึกษาสามารถเข้ามาค้นคว้าหาข้อมูลกันได้อย่างอิสระเพียงแค่แลกบัตรหรือเป็พลเมืองที่เข้ามาถูกต้องตามกฎหมายของประเทศ ร่างสูงโปร่งตามแบบฉบับคนที่ดูแลร่างกายเป็อย่างดี มีเฮดโฟนสีขาวคล้องอยู่ที่คอละสายตาออกมาจากหน้าหนังสือเพียงนิดเมื่อมือถือของตนที่วางคว่ำหน้าอยู่เกิดแรงสั่นกระทบกับโต๊ะจนแขนของเขาััความรู้สึกได้ มือหนาเลยหยิบยกมันขึ้นมาเพื่อดูสายเรียกเข้า
‘คุณย่ารดา’ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความฉงนที่คนปลายสายโทรเข้ามาหาเขาในเวลานี้จากประเทศไทย เพราะที่นี่ใกล้จะหกโมงเย็นแล้วแปลว่าที่ไทยก็เกือบเที่ยงคืนเชียวนะ…ติ๊ด!
ปลายนิ้วหนากดรับสายก่อนจะยกเครื่องสื่อสารขึ้นแนบหูแล้วรอให้ปลายสายเอ่ยทักก่อนเพราะเขากลัวว่าย่าของเขาจะกดโทรผิดหรือเผลอไปโดนมันเข้าระหว่างเข้านอน
(คามิน…ทำอะไรอยู่ ย่าโทรมารบกวนเราหรือเปล่า) เสียงหญิงสูงวัยรีบเอ่ยถามทันทีอย่างไม่อยากรบกวนแต่ก็แฝงความร้อนรนไว้ในใจ
“ไม่เลยครับย่า ผมอยู่ในห้องสมุดออกมาหาอะไรอ่านนิดหน่อย กะว่าจะกลับห้องอยู่พอดี”
เสียงทุ้มปรับน้ำเสียงให้นุ่มกว่าปกติเพื่อให้คนปลายสายลดความกังวลใจที่ว่ารบกวนเขา โดยมือหนาข้างที่ว่างอยู่ก็ทยอยเก็บของลงกระเป๋าและปิดหนังสือที่ยังอ่านไม่จบพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ของตนออกเตรียมเอาหนังสือไปคืนยังชั้นวางของมันตามเดิม…
(สบายดีใช่ไหมหลานย่า…)
ขายาวที่กำลังสาวเท้าเดินไปคืนหนังสือชะงักเล็กน้อยเมื่อเสียงจากปลายสายเปล่งออกมาด้วยความไม่สบายใจอย่างชัดเจน
“สบายดีสิครับ ย่าฝันไม่ดีอีกแล้วหรอถึงได้โทรหาผมเวลานี้”
(อืม ใช่ ย่าอยากให้คามินกลับไทย…ไหนๆ เราก็เรียนจบแล้วแล้วก็ได้ใช้ชีวิตคนเดียวพอสมควร…)
ระหว่างคิ้วของใบหน้าหล่อยังคงมีรอยย่นเข้าหากันเพราะย่าไม่เคยเอ่ยปากขอร้องหรือ้าอะไรจากเขาเลยั้แ่เด็กจนโต เว้นเสียก็แต่ครั้งนี้
“ย่าเล่าให้ผมฟังสิครับ ว่าฝันว่าอะไร”
(รับปากย่าก่อนสิว่าเราจะกลับมา พอถึงไทยแล้วเดี๋ยวย่าบอก)
“อืม…ครับผม เอาแบบนั้นก็ได้”
เขาตอบโดยใช้เวลาคิดแค่เพียงครู่เดียวเพราะตามจริงใจเขาก็มีแพลนจะกลับไทยอยู่พอดี เลยไม่จำเป็ต้องคิดอะไรเยอะแยะ อีกอย่างตัวเขาก็ไม่ได้กลับไทยนานมากแล้วด้วยคิดถึงอาหารไทยอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ไม่ได้คิดจะอยู่นานก็เถอะ แต่ไว้เบื่อแล้วค่อยหาทางชิ่งกลับเนียนๆ ทีหลัง…
(รับปากย่าแล้วนะ…ย่ารดา ชาคาโมมายล์ได้แล้วค่ะ)
มือหนาส่งหนังสือกลับเข้าชั้นที่สูงเหนือหัวอย่างง่ายๆ ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหวานใสของผู้หญิงแทรกผ่านเข้ามาแทนเสียงย่าของตน
(ไมอาวางไว้เลยลูก…ย่ากำลังติดสายอยู่ รอย่าแปปนึงนะ…อ๋อ ได้ค่ะ)
ชายหนุ่มเอียงหูฟังเสียงหวานที่ตอบกลับตรงท้ายประโยคก่อนจะเป็ฝ่ายเอ่ยทักถามย่าของตน
“ดึกดื่นป่านนี้ยังมีคนของวังอยู่ในครัวอีกหรอครับ”
(อ๋อ คนครัวเรากลับกันหมดแล้ว แต่ย่าเห็นยัยหนูไมอายังไม่นอนเลยโทรไปหาให้ชงชาให้ย่าสักหน่อยน่ะ)
แปลว่าไม่ใช่คนของวังสินะ…ชายหนุ่มคิดในใจ
“แล้ว…ปลอดภัยไหมครับ ไว้ใจได้ไหม” เขาเอ่ยถามโดยตั้งใจเบาเสียงของตัวเองลงเพื่อไม่ให้ดังเล็ดลอดออกไปจากโทรศัพท์
(5555 ปลอดภัยสิ เป็เด็กที่ย่ารับอุปถัมภ์มาั้แ่เล็กๆ แล้ว…)
เสียงหญิงสูงวัยหัวเราะออกมาไม่ดังมากก่อนจะพูดต่อ
(ยังไงคามินได้วันแล้วบอกย่านะว่าจะกลับวันไหน ย่าจะได้ส่งคนไปรับเรา)
“เอ่อ ครับผม” เสียงทุ้มตอบตกลงกลับไปทั้งที่ในใจยังสงสัยกับสิ่งที่ย่าของเขาพูดถึงเื่เด็กที่ย่ารับอุปถัมภ์
ตอนไหน? ทำไมเขาไม่รู้เื่!?
(จ้าหลานรัก งั้นย่าวางสายแล้วนะ เดี๋ยวชาเย็นกันหมดพอดี) น้ำเสียงใจดีกรอกมาอีกหน
“ครับ ฝันดีนะครับ”
ฝ่ามือแกร่งค่อยๆ ลดมือถือออกจากข้างใบหูของตนหลังจากที่ปลายสายกดวางไปเป็ที่เรียบร้อยแล้วยัดมันกลับลงเข้ากระเป๋าสะพายคาดอกสไตล์มินิมอลแบบผู้ชายพร้อมกับไล่ความสงสัยภายในใจออกแล้วก้าวขายาวเดินออกไปจากห้องสมุด…
ร่างหนาอยู่ภายใต้เสื้อยืดทรงหลวมคลุมทับด้วยฮู้ดดี้และกางเกงผ้าเข้าชุดกัน เขายกมือขึ้นจับเฮดโฟนของตนขึ้นครอบใบหูทันทีที่เดินพ้นออกมาจากห้องสมุดเพื่อมุ่งตรงไปยังห้องชุดหรูใจกลางเมืองโดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ของหญิงสาวที่ลอบมองและส่งสายตาแสดงความสนใจให้ตลอดทางที่เดินผ่าน
ชายหนุ่มแต่งตัวและใช้ชีวิตธรรมดาในต่างประเทศโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขามีศักดิ์เป็ถึงเ้าชายหรือผู้สืบเชื้อสายจากพระมหากษัตริย์และเป็องค์รัชทายาทเพียงคนเดียว…คามิน