ร่างกายที่กำลังลุกโชนของวิหคเพลิงตอนนี้กำลังตื่นกลัวจนรู้สึกหนาวจนแทบจะเป็น้ำแข็งอยู่แล้ว
นี่มันความสามารถในการหยุดเวลา ควบคุมกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินซึ่งเท่าที่มันจำได้นั้น ผู้ที่สามารถใช้ความสามารถระดับเทพเ้าแบบนี้ได้ก็มีแต่เทพผู้สร้างโลกเท่านั้นแล้วพลังระดับนั้นทำไมถึงมาอยู่กับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแบบนี้ได้เล่า
จบแล้ว...ชีวิตของมันคงจบลงแค่วันนี้แล้ว...
เดี๋ยวสิ!!
ตัวมันเองเป็ถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานเลยนะเืของมันก็มีมูลค่ามหาศาลมากแล้ว ถ้าเกิดเราแบ่งให้ยอดฝีมือท่านนี้เอาไปขายเสียหน่อยก็อาจจะแลกกับการขอให้มันไว้ชีวิตได้ไม่ใช่หรือ?
พญาวิหคเพลิงพยายามขยับปากที่แข็งค้างอยู่อย่างสุดชีวิต แต่มันกลายเป็รอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก
ท่านผู้กล้า!!!! โปรดยั้งมือไว้ก่อนเถอะ!!!!
หลินหยางค่อยๆ ย้ายให้เ้าพญาวิหคเพลิงตัวนี้ลอยเข้ามาหาเขา “ปี้ฟัง วิหคขาเดียวในตำนาน...สัตว์ในตำนานระดับนั้นทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้กัน? น่าแปลกใจจริงๆ...”
มันรู้แล้ว
เ้าหมอนี่รู้ว่าเราเป็ใครแล้ว!!
พญาวิหคเพลิง ไม่สิ ปี้ฟังดีใจจนแทบน้ำตาไหลแล้ว
ใช่แล้วล่ะ ข้าคือปี้ฟัง ตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์และโคตรยิ่งใหญ่ตัวนั้นแหละฉะนั้นอย่าฆ่าข้าเลยนะ!!!!
หลินหยางมองดูเ้านกในตำนานตัวนี้ที่พยายามแสดงข้อดีของตนสุดชีวิตหลังจากนิ่งคิดไปสักพัก เขาก็เอ่ยออกมาว่า “ปล่อยเ้าไปก่อนก็ได้... เ้าอาจจะเป็ประโยชน์ให้ข้า ไม่สิเป็ประโยชน์ให้เ้ามดปลวกนั่นก็ได้ แต่ก็ปล่อยให้เ้าแข็งแกร่งเกินไปไม่ได้...”
หมายความว่าอะไรวะ!!!!
ปี้ฟังไม่เข้าใจเลยว่าเ้ามนุษย์ผู้นี้มันพูดอะไรอยู่
แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนั้นเป็เื่ที่อยู่เหนือกว่าที่มันคาดคิดเอาไว้เยอะมาก
ฝ่ามือของหลินหยางที่ชูขึ้นตลอดเวลานั้น อยู่ๆ ก็ปรากฏเป็ลายมือที่ดูลึกล้ำขึ้นมาพร้อมกับเสียงสวดมนต์ที่ฟังดูศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกเปล่งออกมาจากปากของหลินหยางราวกับประกาศิตจากเทพเ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันทรงพลังที่ยากจะต้านทาน
หลังจากนั้นก็มีพลังงานสีแดงดุจโลหิตถูกยิงออกมาจากหน้าผากของหลินหยางเข้าใส่บริเวณศีรษะของพญาวิหคเพลิงจนทำให้สัตว์ในตำนานที่เคยดูองอาจนั่นตอนนี้พลันเปลี่ยนไปเป็เซื่องซึมในทันที
และยังไม่จบเพียงแค่นั้นร่างกายขนาดใหญ่โตของปี้ฟังเริ่มหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จนขนาดตัวของมันเหลือเพียงแค่ขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้นขนนกที่ดูคล้ายกับผลึกเปลวเพลิงนั่นก็เปลี่ยนไปเป็ขนนกสีแดงธรรมดาๆตอนนี้ตัวมันดูไม่ต่างอะไรจากนกธรรมดาๆ เลยแม้แต่น้อย
“หมายถึงแบบนี้เองหรอนี่!!!!”
พญาวิหคเพลิงทำได้แค่กรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็สลบลงไปทันที
ด้วยพลังระดับเทพเ้าของหลินหยางนั้นใน่เวลาแค่เสี้ยวพริบตาก็สามารถจับสัตว์วิเศษในตำนานที่สามารถสั่นคลอนทั้งทวีปชี่อู่ลงได้อย่างง่ายดายวิชาสุดพิศดารเหนือฟ้าแบบนี้มันแข็งแกร่งเกินกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถจินตนาการได้ถึงแล้ว
หลังจากที่เขาได้สร้างวีรกรรมครั้งใหญ่นี้เสร็จแล้วหลินหยางกับยังดูนิ่งสงบราวกับว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะจับไว้เป็แค่แมวเหมียวตัวเล็กๆเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรน่าดีใจเลยแม้แต่น้อยเขาเพียงแค่จ้องมองไปที่ต้นเมเปิลไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ต้นเมเปิล (เจินหั่ว) ต้นนี้น่าจะมีอายุอย่างต่ำๆก็พันปีได้ แต่กลับสามารถใช้มันเพื่อฟื้นฟูร่างกายได้เพียงอย่างเดียวแบบนี้...เ้ามดปลวก เ้ามันช่างอ่อนแอเสียจริง”
พูดจบ เขาก็ะโเข้าไปในถ้ำที่อยู่บนส่วนยอดของต้นเมเปิลไฟนี้สถานที่ที่เ้าวิหคเพลิงเคยใช้เป็ที่อยู่อาศัยจากนั้นตัวเขาก็ราวกลับแปรเปลี่ยนไปเป็หลุมดำดูดกลืนเอาพลังธาตุไฟปริมาณมหาศาลจากต้นเมเปิลต้นนี้เข้าไปในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
..................................
เวลาผ่านไปราวๆ สามวัน
ต้นเมเปิลที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงราวกับว่ามันจะไม่มีวันมอดดับนั่นในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามวัน บัดนี้มันเปลี่ยนสภาพไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเปลวเพลิงอันไร้ขีดจำกัดนั่นถูกหลินหยางดูดกลืนเข้าไปมากถึงแปดส่วนใบไม้แห่งเปลวไฟที่แต่เดิมมีอยู่เต็มต้นนั้น ตอนนี้เหลืออยู่แค่หลักสิบแผ่นเท่านั้น
กายเนื้อของหลินหยางที่แต่เดิมถูกทำร้ายจนาเ็สาหัสกระดูกแตกร้าว อวัยวะภายในแหลกละเอียด ตอนนี้กลับมีสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงราวกับเพิ่งเกิดใหม่ก็ไม่ปานภายใต้ิัของเขาตอนนี้ถึงกับมองเห็นเป็เส้นแสงสีแดงลางๆ ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งในแบบที่ยากจะอธิบายได้
เมื่อสายลมอันบริสุทธิ์ที่พัดผ่านต้นเมเปิลอันเหี่ยวแห้งต้นนี้จนส่งเสียงดังคุกคักหลินหยางก็ลืมตาขึ้น
แต่ั์ตาที่ปรากฏให้เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ั์ตาที่มีเปลวเพลิงสีแดงสดดุจโลหิตกำลังลุกไหม้อยู่อีกแล้วแต่เป็ดวงตาที่แบ่งแยกสีขาวดำออกจากกันอย่างชัดเจนและดูสว่างสดใสหลินหยางคนเดิมได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
“หลินหยางขอขอบพระคุณผู้าุโ”
หลังจากที่หลินหยางลืมตาตื่นขึ้นสิ่งแรกที่พูดออกมาดันเป็คำขอบคุณที่ชวนให้คนฟังประหลาดใจว่าเขาคุยอยู่กับใคร
วินาทีต่อมา ั์ตาของเขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็สีแดงโลหิตอีกครั้งราวกับมีิญญาอีกดวงหนึ่งสถิตอยู่ด้วย เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าดุจน้ำแข็งว่า
“เ้ามดปลวก เ้าไม่ต้องขอบคุณข้า ถ้าเ้าตายไปิญญาของข้าก็จะหลุดลอยไปด้วย ข้าแค่ปกป้องกายเนื้อเอาไว้เท่านั้น...”
มันคือเสียงของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วที่สถิตอยู่ในตัวเขานั่นเอง
ั์ตาของหลินหยางเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุดิญญาทั้งสองดวงกำลังสนทนากันเป็ครั้งสุดท้าย
หลินหยางกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรหลินหยางก็ยังต้องขอบคุณท่านผู้าุโหลีหั่วอยู่ดี นอกจากจะช่วยข้าล้างแค้นครั้งใหญ่แล้วยังช่วยรักษาชีวิตข้าอีก...”
จักรพรรดิฟ้าหลีหั่วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย “เหอะ ถ้าไม่ใช่เพราะความอ่อนแอของเ้าข้าคงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้หรอก ถ้าเ้าสำนึกบุญคุณของข้าจริงๆ ละก็ ปลดผนึกนี่ออกเสียแล้วข้าจะมอบพลังที่สามารถพิชิตโลกทั้งใบให้เ้าเอง”
หลินหยางแย้มยิ้มอย่างหลักแหลม “ถึงท่านผู้าุโจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ข้าเกรงว่าพอถึงเวลานั้นข้าอาจจะพิชิตโลกใบนี้ไว้ได้จริง แต่ก็คงมิอาจรักษาร่างกายตัวเองไว้ได้สินะ...”
“ให้เ้าใช้ร่างกายแบบนี้ ข้าว่าสิ้นเปลืองมากกว่า...”
“ถึงหลินหยางจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่เคยคิดดูถูกตัวเองความแข็งแกร่งของท่านผู้าุโเองก็เริ่มจากการสะสมขึ้นมาจากน้อยนิดเหมือนกันหลินหยางเชื่อว่า อีกพันปี หรือหมื่นปีนับจากนี้ความสามารถของหลินหยางจะต้องไม่แพ้ให้ท่านผู้าุโแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!” จักรพรรดิฟ้าหลีหั่วหัวเราะดังลั่นออกมาราวกับว่าได้ยินเื่ตลกที่ชวนหัวที่สุด “ไม่แพ้ข้า?หลินหยาง เ้าไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังพูดอะไรออกมา!!”
ทันใดนั้นก็มีพลังอันน่ามหัศจรรย์สายหนึ่งปะทุออกมาจากร่างกายของหลินหยาง เหมือนว่ามันจะเริ่มสะกดพลังของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วเอาไว้อีกครั้ง
น้ำเสียงของตัวตนสุดทรงพลังและองอาจผู้นี้ก็เริ่มอ่อนแรง “หลินหยาง ร่างกายของแกไม่ช้าก็เร็วอย่างไรมันก็ต้องตกเป็ของข้ารอให้ข้าทำลายผลึกบ้านี่ให้ได้ก่อนเถอะ เมื่อถึงตอนนั้นเ้าก็เตรียมใจจะโดนกลืนหายไปได้เลย!!”
พูดจบพลังเฮือกสุดท้ายของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
หลินหยางได้ยินอย่างนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอ่อน “ผู้าุโหลีหั่วท่านนี้ตอนปรากฏตัวครั้งแรกนั้นไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง แต่ครั้งนี้กลับดูน่าสนใจขึ้นเยอะ...”
แต่ผ่านไปไม่นาน รอยยิ้มบนหน้าของเขาก็หายไป
เขารู้ว่า ที่จักรพรรดิฟ้าหลีหั่วใจดีกับเขานั้นเป็เพราะว่าพลังของอีกฝ่ายถูกสะกดเอาไว้อยู่พอเห็นหลินหยางใกล้ตายก็รีบออกมาช่วยเอาไว้เพื่อไม่ให้กายเนื้อที่จะต้องเป็ร่างสถิตให้เขาตายไปก่อน
และถ้าวันใดที่ผนึกถูกทำลายลงจริงๆ ละก็เกรงว่าหลินหยางก็คงจะไม่มีทางต่อต้านพลังของอีกฝ่ายและถูกมันกลืนกินไปแน่
ตัวตนของจักรพรรดิฟ้านั้นก็เหมือนกับดาบสองคมพลังของมันแข็งแกร่งไร้เทียมทานไม่ว่าจะเจอศัตรูแบบไหนก็สามารถโค่นมันทิ้งลงได้อย่างดาย แต่ทุกครั้งที่หลินหยางใช้พลังของจักพรรดิฟ้าหลีหั่วผนึกของจักรพรรดิฟ้าเองก็ค่อยๆอ่อนแรงลงด้วยเช่นกัน และถ้าหลินหยางมัวแต่ใช้พลังของจักรพรรดิฟ้าละก็ สักวันหนึ่งเขาจะต้องถูกกลืนกินเข้าไปอย่างไร้เมตตาแน่ๆ
แผนการลอบสังหารของตระกูลเฉินในครั้งนี้ทำให้เขารู้ตัวว่าเขายังแข็งแกร่งไม่พอถึงเขาจะยืมพลังของจักรพรรดิฟ้าไปฆ่าไอ้ชาติหมาอย่างเฉินผิงนั่นแล้วก็ตามแต่ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจว่า...
หากคิดจะต่อกรกับเฉินเย่เซิงละก็เขายังต้องแข็งแกร่างมากกว่านี้ ตระกูลเวินจะต้องเข้มแข็งมากกว่านี้
ดังนั้น เขาเลยตัดสินใจว่าเขาจะยังไม่กลับไปที่เมืองอวิ๋นเฉิงชั่วคราว
ปล่อยให้ตระกูลเฉินคิดว่าหลินหยางเสียชีวิตแล้วไปก่อนกลับยิ่งทำให้เขาสามารถตั้งใจฝึกฝนความสามารถได้ดียิ่งขึ้นและด้วยความสามารถของเวินติ่งเทียนแล้ว ใน่ที่เขาไม่อยู่อาจจะถูกกดดันบ้างแต่คนอย่างเวินติ่งเทียนก็น่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้อยู่แล้ว
เขาจำเป็ที่จะต้องรีบฝึกฝนให้แข็งแกร่งให้ได้เร็วมากที่สุดจากนั้นค่อยกลับไปทวงคืนความยุติธรรมจากพวกตระกูลเฉินจะต้องให้พวกมันชดใช้หนี้แค้นครั้งนี้ด้วยเื!!
เขาจะต้องเริ่มฝึกฝนต่อ โดยสิ่งที่ต้องฝึกอย่างแรกเลยก็คือความสามารถด้านวรยุทธ์
พลังธาตุไฟสุดมหัศจรรย์จากต้นเมเปิลไฟนั้นถูกหลินหยางดูดกลืนเข้าไปแปดส่วนซึ่งพลังพวกนี้ส่วนใหญ่จะถูกนำมาซ่อมแซมกายเนื้อของเขาเสียมากกว่าส่วนที่เหลือถึงจะกลายมาเป็พลังสำหรับยกระดับพลังฝีมือ
หลินหยางในตอนนี้มีระดับความสามารถอยู่ที่ระดับชุ่ยถี่ขั้นสูงสุดแล้วหากได้รับการหนุนเสริมจากพลังเทพอัคคีแล้วละก็เขาจะสามารถเริ่มจับััรับรู้ถึงพลังฟ้าดินได้แล้ว จากนั้นก็เปิดจุดลมปราณแล้วจึงสามารถทำลายกำแพงระหว่างระดับชั้น เข้าสู่ขอบเขตของพลังระดับเซียนเทียนได้
ซึ่งสำหรับหลินหยางแล้วนั่นไม่ใช่เื่ยากอะไรเลยแต่จุดมุ่งหมายของเขาคือจะใช้ใบไม้ของต้นเมเปิลไฟต้นนี้เพื่อยกระดับความสามารถตัวเองเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของระดับเซียนเทียนขั้นต้นให้ได้ก่อน
เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วเคล็ดวิชาขั้นต่ำอย่างพลังเทพอัคคีก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไปหลินหยางก็จะสูญเสียความสามารถในการเพิ่มพละกำลังขึ้นแบบทวีคูณไปแต่เขาที่มีประสบการณ์ของจักรพรรดิฟ้าอยู่แล้วนั้นคิดว่าก็คงไม่มีพลังอะไรที่มหัศจรรย์มากไปกว่านี้อีกแล้ว
หากสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้แล้วละก็เขาก็จะเริ่มต้นฝึกฝนสุดยอดวิชาที่จักรพรรดิฟ้าหลีหั่วเคยใช้สยบไปทั่วทั้ง์ชั้นฟ้าแล้วนั่น- วิชาร้อยชีพจรผนึกเทพ
วิชาร้อยชีพจรผนึกเทพนี้เป็วิชาที่จักรพรรดิฟ้าเคยใช้ในการโลดแล่นไปทั่วทั้งเก้าภพจะต้องเป็ผู้ที่มีร่างสถิตเพลิงอัคคีแบบบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะสามารถดึงศักยภาพของวิชานี้ออกมาได้ถึงขีดสุดซึ่งสำหรับหลินหยางแล้ว มันเป็ยอดวิชาที่เหมาะสมกับตัวเขามากที่สุด
หากสามารถไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วละก็และด้วยสุดยอดวิชานั่นอีก มันจะทำให้เขามีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันได้
เพียงแต่การจะทำให้ได้ถึงขั้นนั้นมันไม่ใช่เื่ง่ายดายขนาดนั้นแม้แต่จักรพรรดิฟ้าในสมัยโน้นยังต้องใช้เวลานานเกือบหนึ่งปีถึงจะสามารถไปถึงระดับไร้เทียมทานในหมู่เซียนเทียนได้
แต่สำหรับหลินหยางแล้ว แบบนั้นมันช้าเกินไป
เขาเกลียดตระกูลเฉินอย่างมาก
เขาอยากจะล้างแค้น
ล้างแค้นให้ถังหง หลิ่วชิง และเหล่านักรบอีกหกสิบกว่าชีวิตที่ต้องตายไปในเงื้อมมือของตระกูลเฉิน
และถึงเขาจะสามารถทนต่อการฝึกฝนอย่างหนักได้ถึงหนึ่งปีแต่เกรงว่าตระกูลเวินคงต้านทานไม่ได้นานขนาดนั้น
ดังนั้นเขาต้องรีบสร้างสุดยอดอาวุธระดับิญญาชิ้นนั้นให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด
แค่อาวุธส่วนที่เป็ถุงมือข้างเดียวที่เขาสร้างขึ้นในคฤหาสน์ตระกูลเวินชิ้นนั้นก็สามารถทำให้เขามีพลังมากพอที่จะจัดการยอดฝีมือระดับเซียนเทียนได้แล้วถ้าอาวุธชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นจนครบทุกส่วนโดยสมบูรณ์เล่า?
สำหรับหลินหยางแล้ว นี่ต่างหากวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ในเวลาที่เร็วที่สุด
่เวลานับจากตอนนี้ไปนอกจากการฝึกฝนเพื่อยกระดับความสามารถทางด้านวรยุทธ์แล้วเวลาที่เหลือล้วนถูกหลินหยางเอาไปใช้ในการสร้างอาวุธทั้งหมด
เขาพยามยามเร่งสร้างอาวุธชิ้นนั้นออกมาด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
อีกครึ่งปีหลังจากนี้ ในวันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบ
จะเป็วันที่เริ่มเปิดงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาที่เวินติ่งเทียนเคยพูดถึง
หลินหยางต้องรีบกลับไปที่เมืองอวิ๋นเฉิงให้ทันก่อนวันนั้นเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เื่ราวทั้งหมดก็จะต้องพลิกผันไปเป็อีกแบบอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้หลินหยางได้จัดเตรียมพวกวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่จำเป็ต้องใช้เอาไว้ในแหวนพระสุเมรุแล้วปัญหาเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือต้องไปหาไฟิญญามาให้ได้
แต่ในูเาเมฆมรกตอันกว้างใหญ่แห่งนี้เขาจะไปหาไฟิญญามาจากไหนได้เล่า?
หลินหยางที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ถูกเสียงอะไรสักอย่างที่ดังขึ้นจากด้านข้างทำเอาใจนสะดุ้งเฮือก
“เอ็นั... ทำไมรสชาติแบบนี้เล่าอย่างกับเคี้ยวหญ้าอยู่เลยนะนี่...”
ใครกัน?