ชาร์ลส์พยุงตัวลุกขึ้นทันที เขาหันไปมองคนที่เขาชนล้มก่อนหน้านี้ ชายผู้นั้นมีดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมสีทองสว่างเปียกชุ่มด้วยสายฝน หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าคมชัด จมูกได้รูป ที่ปากมีลักยิ้มเล็กน้อย
ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนประจัญหน้า ระแวดระวังแต่ไม่ถึงกับเป็ศัตรู ทันใดนั้นลางสังหรณ์ก็ร้องเตือนขึ้นอีกครั้ง ห้วงอากาศมรณะปรากฏ ขอบเขตของมันมีขนาดกว้างกว่าเดิม กว้างขึ้นจนคลุมทั้งชายผมทองและตัวเขา
ยามเมื่อสัญชาตญาณร้องเตือน เขาผลักมือดันชายผมทองที่อยู่ใกล้กับตนให้พ้นทันควัน ชายผมทองที่ยังไม่ทันตั้งตัวจึงไม่สามารถหลบการกระทำนั้นของเขาได้ ก่อนจะเซถลาไปด้านหลัง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ ก่อนที่ชาร์ลส์จะพุ่งตัวถอยในทิศทางตรงข้าม เพียงชั่วพริบตาที่รวดเร็วกว่าสายฟ้า ทั้งคู่ก็หลุดพ้นจากพื้นที่อันตราย
ห้วงอากาศบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นทันที ราวกับผ้าใบที่ถูกมือั์ฉีกกระชาก มันบดขยี้ทุกสิ่งในรัศมีให้แหลกละเอียด ก่อนจะหายวับไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความพินาศ
ชาร์ลส์มองดูมัน แข้งขาเริ่มอ่อนแรงไร้ความรู้สึก เนื้อขาของเขาสั่นเทา ความพินาศที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า สร้างความหวาดกลัวอย่างล้ำลึกลงไปในจิตใจ ่เวลาที่สั้นยิ่งกว่าชั่วพริบตานั้น คือ่เวลาที่ตัดสินความเป็ตายของทั้งชีวิตเขา
บุรุษผมทองที่ถูกผลักออกไปก่อนหน้านี้ ได้เห็นเหตุการณ์ขณะที่แรงส่งยังดันเขาไปข้างหลัง ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างประจักษ์อยู่ตรงหน้า ความพินาศที่เกิดขึ้นยังคงค้างอยู่ในสายตา หลังจากตั้งสติได้พักหนึ่ง เขารู้ได้ทันทีว่าชายผมน้ำตาลที่ผลักเขาก่อนหน้านี้ ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาหันสายตาและพยักหน้าเพื่อที่จะขอบคุณ
แต่ก่อนที่ชายผมน้ำตาลอยู่ตรงหน้าจะได้ตอบรับ เขามองเห็นสีหน้าแห่งความตื่นตะลึง และสิ้นหวังปรากฏขึ้น คราวนี้ต่อให้ไม่พึ่งสัญชาตญาณของชาร์ลส์ ชายผมทองผู้นั้นก็รับรู้ในทันที ห้วงอากาศบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขนาดของมันคราวนี้ใหญ่กว่าสองครั้งก่อนหน้านี้มาก มโหฬารพอที่จะกลืนกินเรือทั้งลำ
ชาร์ลส์รู้ดีว่าคราวนี้ไม่อาจหลบหนี ความสิ้นหวังจึงก่อตัวขึ้นถาโถมเข้าปกคลุม ความตายที่บังเกิดขึ้นมาเป็เหมือนกรงขังใหญ่ ตีกรอบเขาไว้ เป็ภัยมรณะนั้นที่ทรงพลังเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนจะหนีพ้น
ในเวลาเสี้ยววินาทีก่อนเรือพังทลาย ชายผมทองพุ่งตัวเข้ามาอย่างไม่ลังเล มือคว้าเกาะชายเสื้อชาร์ลส์ไว้ ต่อให้เป็ความพยายามสุดท้ายก็ตาม แต่เขาก็จะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
จู่ๆ กลุ่มหมอกสีเทาก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มทั้งร่างชาร์ลส์และชายผมทอง สร้างเป็กำแพงกั้นอำนาจมรณะนั้น ทุกสรรพสิ่งล่มสลายเป็ผุยผง แต่ม่านหมอกปกป้องพวกเขาไว้ได้ราวกับปาฏิหาริย์
ในระยะเวลาที่สั้นยิ่งกว่าชั่วพริบตาเรือทั้งสองลำก็พังทลายลง ห้วงอากาศนั้น บิด อัด ฉีกกระชาก ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในระยะ แม้แต่เม็ดฝน และน้ำทะเลที่อยู่ใต้เรือ ก็ไม่สามารถคงรูปเดิมได้ ทุกคนที่ก่อนหน้านี้ต่อสู้อยู่บนเรือ ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นได้สิ้นลมหายใจลงไปแล้ว
ซากศพของแต่ละคน เละเทะแตกต่างกันไป บ้างถูกฉีกกระชากจนเป็เศษเนื้อ บ้างถูกบดอัดจนเป็ก้อนเนื้อหนา บางคนมีเศษไม้เศษเหล็กจากบนเรือปนมาในก้อนเนื้อด้วย บ้างร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูป ถึงสภาพแต่ละคนจะแตกต่างกันไป แต่ก็ยังมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ นั่นก็คือพวกเขานั้นไร้ชีวิต ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งสติปัญญาแห่งการรับรู้ ไร้ซึ่งลมหายใจ
ทุกชิ้นส่วนแห่งความวินาศที่ยังหลงเหลือ ตกลงสู่ท้องทะเล เศษเนื้อเมื่อััน้ำ เปลี่ยนพื้นผิวให้เป็สีแดงฉาน ก่อนที่จะจางลงหายไป
แต่กลับมีสองร่างที่ยังไม่ถูกทำลาย เมื่อหมดสิ้นหน้าที่กลุ่มหมอกก็หมดแรงไปกับการปกป้อง หมอกนั้นก็ค่อยๆ จางหายลับตา ทิ้งให้ทั้งสองร่างร่วงสู่ท้องทะเลเย็นเยียบ อากาศหนาวเย็นแทรกซึมผ่านิั สองหูอื้อตันจากของเหลว รสเค็มของน้ำทะเลไหลเข้าปาก กลิ่นเืที่ปนในน้ำฉุนเตะจมูก
บุรุษผมทองสามารถฟื้นสติได้ก่อน รีบหาเศษซากเรือเป็ที่พักยึดเกาะ แต่สำหรับชาร์ลส์นั้นกลับไม่ราบรื่นนัก เขาดิ้นทุรนทุราย อยู่กลางมวลน้ำมหาศาล พยายามว่ายเอาชีวิตรอดจากคลื่นั์ที่ถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด มือและเท้าตะกุยไปมาอย่างไร้ทิศทาง
ริมฝีปากสูดน้ำเข้าแทนอากาศ ร่างกายชาและปวดร้าวไปทั้งตัว มือพยายามหาที่เกาะเกี่ยว แต่ก็เจอแต่ความว่างเปล่า สติเริ่มพร่าเลือน ทุกอย่างพร่ามัวเหมือนภาพเบลอ ความหวังริบหรี่ตามลมหายใจที่กำลังจะมอดดับ
เสียงร้องขอความช่วยเหลือหลุดจากปากแต่กลับมีเพียงเสียงลมพายุตอบกลับมา ชาร์ลส์รู้สึกหายใจไม่ออก ปอดแสบร้อนเมื่อน้ำทะเลไหลบ่าเข้าไป ร่างกายจมดิ่งสู่เบื้องลึกเหมือนคนสิ้นหวัง
แต่แล้ว… มีเศษไม้ท่อนใหญ่วูบเข้ามากระแทกใส่ศีรษะเขาอย่างจัง เศษไม้ที่ยังหลงเหลืออยู่จากความพินาศ จนเกิดแผลปริแตก เืสีแดงไหลปนกับน้ำทะเลก่อนจางหายไป ไร้ซึ่งเสียงร้องของความเ็ป ไร้ซึ่งความใ มีเพียงสติที่เลือนราง ภาพสุดท้ายก่อนจะสลบไป คือภาพของชายหนุ่มผมทองคนหนึ่งกำลังว่ายน้ำฝ่าคลื่นลมมาทางเขา
"อ้า!..." ตุบ!
ชาร์ลส์ตื่นขึ้นมา ในสภาพที่นอนคว่ำหัวคะมำกระแทกพื้น เขานิ่งค้างอยู่ในสภาพนั้นสักพัก ปล่อยให้สติค่อยๆ กลับคืน ก่อนที่จะพยุงตัวเองขึ้นมานั่ง
ก้นของเขาััพื้นบ้าน หลังพิงไว้กับเตียง มือหนึ่งนวดศีรษะอย่างเบาๆ ัับนแผลเป็ที่ซ่อนไว้ด้วยความกังวล ิัยังััได้ถึงความชื้นเล็กๆ บนหน้าผาก
เขามองไปรอบๆ ดูกำแพง เพดาน พื้น และข้าวของเครื่องใช้ที่คุ้นเคย หัวใจที่เต้นแรงก็ได้สงบลง เมื่อเขารู้ว่าตนเองยังปลอดภัย
เขาค่อยๆ พยุงตนเองขึ้น สองมือยังคงสั่นเทาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ความฝันก่อนหน้านี้ ยังคงฝังลึกอยู่ในความคิด เกาะติดไม่จางหาย มันสมจริงเกินกว่าฝันไหนๆ ที่เขาเคยฝันมาทั้งชีวิต
ภาพของเรือสองลำท่ามกลางพายุในทะเล เหตุการณ์ประหลาดที่จะฆ่าชีวิตของเขาไปถึงสามครั้ง กลุ่มหมอกประหลาดที่ปกป้องเขาไว้ และชายผมทองที่เขาช่วยไว้ และช่วยเขากลับ
ขาที่อ่อนแรงเดินไปเปิดหน้าต่าง ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่าง ม่านปลิวไสว ิัััได้ถึงความสดชื่น แสงจันทร์สาดส่องปัดเป่าความหนักอึ้งออกไปเล็กน้อย
ชาร์ลส์เดินไปที่โต๊ะภายในห้อง จุดตะเกียงบนโต๊ะ แสงไฟที่กำเนิดขึ้นส่องเงาของเขาทอดยาวบนผนังเหมือนร่างคนแปลกหน้า หยิบกระดาษออกมาวางเตรียมไว้ คว้าปากกาขนนกจุ่มหมึก และเริ่มแต้มคำแรกลงบนผิวกระดาษ
ถึงโจเซฟ…
หวังว่าจดหมายฉบับนี้จะไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของนายมากนัก แต่ฉันกำลัง้าความช่วยเหลือจากนายในเื่หนึ่งอย่างเร่งด่วน เป็เื่ของความฝันที่ฉันเพิ่งฝันถึง
ฉันได้ฝันถึงเหตุการณ์ ท่ามกลางมหาสมุทรคลั่งคลุ้มกลางสายฝนกระหน่ำและเสียงฟ้าคำราม ราวกับมันเกิดขึ้นจริงๆ บนเรือสองลำที่กำลังต่อสู้กลางทะเลอันมืดมิด โดยฉันเองก็ปรากฏตัวอยู่บนนั้น พร้อมกับใครบางคนที่ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นาย
แล้วเหตุการณ์ประหลาดก็บังเกิดขึ้น พลังอำนาจลึกลับทำลายล้างทุกสิ่ง จนฉันและนายร่วงจมดิ่งสู่ผืนน้ำเยือกเย็น คลื่นั์ซัดกระหน่ำไม่หยุดหย่อน เศษซากไม้กระแทกใส่ศีรษะฉันอย่างจัง ก่อนจะได้เห็นภาพสุดท้ายของนายกำลังว่ายน้ำมาหาแล้วสลบไป
ฝันนั้นช่างสมจริงจนฉันไม่อาจลืมเลือน และยังสงสัยอีกว่ามันอาจไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็ความทรงจำบางส่วนของฉันที่สูญหายไป ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเหตุที่ความจำของฉันหายไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงอยากพบนายเพื่อหารือเื่ราวทั้งหมด ขอความกรุณาได้โปรดสละเวลามาพบปะและให้คำแนะนำแก่ฉัน เพื่อไขข้อข้องใจให้กระจ่างได้หรือไม่
หากนายว่าง ฉันจะรอพบนายที่ร้านเหล้าสองรสก่อนปิดร้านหนึ่งชั่วโมง เป็เวลาสามวันติดต่อกัน
ขอแสดงความนับถือ
ชาร์ลส์ เรเวนส์ครอฟต์
ชาร์ลส์ม้วนจดหมายฉบับนั้นอย่างประณีต ก่อนจะหยดขี้ผึ้งสีแดงเข้มผนึกปิดด้วยตรา แสงเทียนสะท้อนบนผิวขี้ผึ้งที่ยังไม่แห้งสนิท ทำให้มันเปล่งประกายวาววับราวกับหยดโลหิต มือที่สั่นเทาเขียนชื่อผู้รับลงบนด้านนอก "โจเซฟ คาเว็นดิช" ด้วยลายมือหวัด เขาถอนหายใจ รู้ดีว่ายังไม่อาจส่งมอบจดหมายได้ในคืนนี้ เพราะสำนักงานผู้ส่งสารยังไม่เปิดทำการ ต้องรอจนรุ่งสาง
เมื่อวางปากกาลง ชาร์ลส์เอนกายบนที่นอน พยายามข่มตาหลับเพื่อรอต้อนรับสายใหม่ของวัน หัวใจยังคงระทึกและหวั่นวิตกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในความฝัน ความคาดหวังในคำตอบของสหายผสมปนเปกับความไม่แน่ใจว่าทุกอย่างอาจเป็แค่ภาพหลอน แต่ไม่ว่าความจริงเป็เช่นไร อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้คำตอบในไม่ช้า
……
ในค่ำคืนราตรีเดียวกันนั้น ณ สถานที่แห่งหนึ่งอันปกคลุมด้วยปริศนา กลุ่มคนในชุดสีทะมึนกำลังนั่งล้อมวงประชุมกันอยู่ ใบหน้าพวกเขาถูกบดบังจากแสงตะเกียงสลัว เหลือไว้เพียงดวงตาคมกริบที่จ้องมองกันและกันอย่างเคร่งเครียดกลางบรรยากาศอึมครึม
"การบุกปราบปรามจะเกิดขึ้นในคืนพรุ่งนี้ ทุกคนเข้าใจแผนกันหรือยัง" ผู้นำกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น เอ่ยถามอย่างสงสัย "แต่พวกมันรัดกุมและระแวดระวังตัวมาก จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการโจมตีจะสำเร็จ"
"พรุ่งนี้หน่วยปราบปรามจะมาร่วมแผนโจมตีด้วย อีกทั้งเรามีกุญแจปิดผนึกคอยตัดทางหนี ถึงแม้มันจะยาก แต่โอกาสสำเร็จนั้นมีมากกว่า" อีกคนตอบอย่างเด็ดขาด
จู่ๆ เสียงฝีเท้าดังระรัวก็วิ่งเข้ามาในห้องประชุม ชายหนุ่มในชุดสีเข้มหอบหายใจรีบร้อนรายงานสถานการณ์ "มีเหตุไม่คาดฝัน! ทหารพิทักษ์เมืองบุกตรวจค้นบ้านเด็กกำพร้าในย่านใกล้เคียง พวกมัน... พวกมันหนีไปก่อนแล้ว!"
เสียงอื้ออึงดังขึ้นทั่วทั้งห้อง ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วยเสียงโวยวายอย่างขุ่นเคือง บ้างก็ตบโต๊ะด้วยความหงุดหงิด บ้างกุมขมับ
ท่ามกลางความวุ่นวาย ร่างสูงสง่าในมุมมืดลุกขึ้นยืน เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล "เราต้องตามหาให้พบว่าพวกมันซ่อนตัวที่ไหน และต้องสืบให้รู้ว่าทำไมทหารพิทักษ์เมืองถึงได้ไปที่นั่น"
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้า ก่อนจะกล่าวสรุป "พวกเราต้องส่งสายสืบตามหาให้พบโดยเร็ว องค์กรนี้เป็ภัยคุกคามที่ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องกำจัดมันให้ได้"
ทุกคนพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเต็มใจ แม้ในใจจะอัดอั้นตันใจที่แผนการไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
สมาชิกคนหนึ่งยกมือขึ้น ที่ดูจากรูปร่างแล้วเธอน่าจะเป็ผู้หญิง "แล้วคนที่เราส่งไปจับตาดูบ้านหลังนั้น จะให้เรียกกลับมาเลยไหมคะ หัวหน้า"
"ไม่ต้อง ให้พวกเขาจับตาดูบ้านหลังนั้นต่อไป" หัวหน้ากลุ่มตอบออกไปโดยทันที
จากนั้นเหล่าสมาชิกทยอยแยกย้ายออกจากห้องอย่างเงียบเชียบภายใต้ความมืด เตรียมตัวปฏิบัติภารกิจต่อไป
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ชาร์ลส์ตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ เขาคว้าจดหมายใส่กระเป๋ามุ่งหน้าสู่สำนักงานส่งสารทันที เดินฝ่าถนนสายเล็กที่เพิ่งตื่นจากความเงียบงัน ผู้คนออกมาทำมาหากิน บางคนถือตะกร้าไปจ่ายตลาด บ้างก็แบกเครื่องมือไปทำงาน เด็กๆ วิ่งเล่นหัวเราะอย่างร่าเริง แม่ค้าขายอาหารเช้าเสียงเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกล
สำนักงานส่งสารเอกชนอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเขามากนัก เป็อาคารไม้สองชั้นทาสีน้ำตาลสะอาดตา หน้าต่างกระจกใสเปิดกว้างต้อนรับแสงสว่าง ป้ายไม้หน้าอาคารสลักชื่อร้านเป็ลวดลายสวยงาม ชายชราหน้าตาใจดียืนกวาดใบไม้หน้าประตู ก่อนจะหันมายิ้มทักทายชาร์ลส์อย่างเป็มิตร
เมื่อก้าวเข้าไปภายใน กลิ่นหมึกและกระดาษลอยคลุ้งทั่วทั้งห้อง พนักงานในเครื่องแบบสีน้ำตาลกำลังคัดแยกจดหมายตามหมวดหมู่อย่างว่องไว มีลูกค้าสองสามคนต่อแถวรอส่งสาส์นอยู่ตรงโต๊ะไม้หนายาวด้านหน้า ชั้นวางไม้อัดแน่นไปด้วยซองจดหมาย รอการขนส่งไปยังที่หมายต่างๆ
"สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ" พนักงานเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
"ผมจะส่งจดหมายถึงโจเซฟ ตระกูลคาเว็นดิช ในเขตราชอำนาจชั้นในครับ" ชาร์ลส์ยื่นจดหมายพร้อมเงินให้กับพนักงาน
"ได้ครับ เราจะจัดการให้อย่างดี มั่นใจได้ว่าจดหมายจะถึงมือคุณโจเซฟในวันนี้แน่นอน"
"ถ้ามีจดหมายตอบกลับมา รบกวนเอามาส่งที่บ้านผมโดยตรงได้ไหม"
"แน่นอนครับ เราจะให้บริการอย่างดีที่สุด หวังว่าคุณจะพอใจกับการบริการนะครับ"
ชาร์ลส์ผงกหัวขอบคุณ ก่อนจะออกจากร้านด้วยความรู้สึกเบาใจ ราวกับปลดเปลื้องหนึ่งภาระหนักอึ้งทิ้งไป เขาเดินมุ่งสู่สมาคมรับจ้างเพื่อฝึกฝนวิชาต่อสู้ตามที่นัดไว้ ด้วยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าพร้อมทุ่มเทเต็มที่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้