ห้องครัวปกติแล้วมักจะเริ่มทำงานั้แ่เช้า จินอิ๋นทำงานที่โฮบาร์ที่ซึ่งเป็ไนต์คลับของจ่านฮุยกรุ๊ป อยู่คนละที่กัน ดังนั้นอี้สี่จะไม่ยอมให้เขาไปส่งแน่ เธอจึงไปเข้างานที่ฉือเซ่อั้แ่เช้าตรู่
เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า อาการปวดหัวก็ดีขึ้นมากและไม่รู้สึกเวียนหัวอีกต่อไป เธอเริ่มต้นการทำงานของวันใหม่ด้วยการเปิดแก๊ส เปิดเตาอบ จัดตู้เย็น และรอคนขายผัก หลังจากทำงานมานานกว่าครึ่งเดือน อี้สี่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับขั้นตอนพื้นฐานแล้ว อี้สี่ค่อยๆ เข้าใจสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า อันที่จริงแล้วชีวิตจริงมันแตกต่างจากสิ่งที่อยู่ในทีวีอย่างสิ้นเชิง ทีวีอาจจะสะท้อนภาพในครัวออกมาเพียงด้านเดียว แต่ที่จริงแล้วงานประเภทนี้เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า บางคนก็พบว่ามันน่าเบื่อหน่ายจนทนก็ไม่ได้เลิกทำไป อี้สี่เพิ่งเข้ามาแล้วก็ยังอยู่ใน่แปลกใหม่ เธอรู้สึกว่ามันเหมือนกับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่กำลังทำท่านั่งยองกลางอากาศ ไม่ได้รู้สึกว่างานนี้มันน่าเบื่อหน่ายเลย
เตาทั้งหมดที่ต้องเปิดได้ถูกเปิดหมดแล้ว เธอหยิบมีดมาลับให้คม ซึ่งถึงตอนนี้เธอก็ยังคงไม่สามารถจับมีดให้มั่นคงได้ แต่มีดที่เธอลับก็ถือว่าออกมาดูดี แม้บางครั้งมันจะให้ความรู้สึกแปลกๆ มีดยังคงคดเคี้ยวเมื่อยามที่หั่นสิ่งต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ทื่อเลย ซึ่งอี้สี่เองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ทำได้แค่พยายามลับมีดอย่างตั้งใจต่อไปเท่านั้น
ซ่งจื่อฉีเดินเข้ามายืนกอดอกอยู่ข้างหลังเธอ มองดูเธอลับมีดโดยไม่พูดอะไรสักคำ และเขาสามารถมองเห็นความกังวลของเธอได้ อี้สี่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพที่สะท้อนจากด้านหลัง รู้สึกว่าตัวเธอได้ทำอะไรผิดไป มือสั่นเทาเล็กน้อย อีกทั้งมีดก็เริ่มลอยขึ้นอีกครั้ง
“ผมแค่มาดูเพราะอยากรู้ว่าปัญหาของคุณอยู่ตรงไหน ทำไมถึงต้องกังวลขนาดนี้กัน?” ซ่งจื่อฉีพูด เสียงของเขาราบเรียบมากหรืออาจจะเป็ภาพลวงตา อี้สี่รู้สึกว่ามันไม่มีความรู้สึกห่างเหินเหมือนเมื่อก่อนเลย เขาหยิบมีดออกจากมือของอี้สี่ ชูมีดขึ้นมาระดับปลายจมูก เขามองดูมันอยู่ครู่หนึ่ง และเพียงแค่มองดูก็สามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน เขาก้มลงช่วยเธอลับมีดโดยที่ไม่ได้พูดอะไรมาก อี้สี่รู้สึกว่าเขากดมือซ้ายค่อนข้างนาน และกดมีดในมุมที่กว้างกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถบอกว่าต่างกันที่ตรงไหนได้
“เชฟคะ มีอะไรผิดปกติกับมีดของฉันเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“เธอทำมันเบี้ยว”
“แล้วฉันควรกดลับมีดตรงไหนมากกว่า และตรงไหนควรกดน้อยคะ?”
ซ่งจื่อฉียืดตัวขึ้น ล้างมีดที่ลับ จากนั้นก็ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่ใบมีด ปลายมีด ใบมีด และส่วนท้ายถูกยกขึ้นทั้งสองข้าง จากนั้นก็มองดูจากทางปลายด้ามมีดที่ระดับปลายจมูก “ผมแก้ให้คุณแล้ว คุณก็แค่ลับมันตามที่ผมสอนคุณไป แล้ววันหนึ่งก็จะรู้สึกได้” เขายื่นมีดส่งให้เธอ ซ่งจื่อฉีหยิบมีดของเฉินเจี้ยนฉวินขึ้นมาตรวจสอบ “อามีบอกว่าคุณทำงานนอกสถานที่ได้ค่อนข้างดีเลย” นี่เป็คำชมที่ซึ่งหายากจากเขา
“ไม่หรอกค่ะ ฉันยังคงต้องเรียนรู้อยู่อีกมาก” อี้สี่เพียงเอ่ยตอบอย่างสุภาพ แต่ภายในใจนั้นมีความสุขมากเป็พิเศษ
เฉินเจี้ยนฉวินเพิ่งจะสั่งซื้อของจากคนขายผักเสร็จ เมื่อเห็นซ่งจื่อฉีอยู่ที่นี่ก็เดินเข้ามา
“เสี่ยวเฉิน ช่วยผมหาวัตถุดิบหน่อยพวกนี้หน่อย ผมอยากลองทำเมนูอื่นดู ถ้าขาดวัตถุดิบอะไรก็สั่งให้ผมวันนี้ด้วย” ซ่งจื่อฉีหยิบรายการออกมาจากกระเป๋าส่งให้เฉินเจี้ยนฉวิน เอ่ยกำชับอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินออกจากครัวไป อี้สี่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองถึงจะกลายเป็เหมือนเฉินเจี้ยนฉวินที่สามารถแบ่งเบาเื่ต่างๆ ได้มากมาย
“ผมขอฝากการเตรียมวัตถุดิบวันนี้ไว้ให้คุณได้ไหม? เชฟสั่งให้ผมไปทำอย่างอื่น ถ้าคุณสับสนอะไรก็ค่อยเรียกผมแล้วกัน” เฉินเจี้ยนฉวินโบกรายการไปมาตรงหน้าเธอ เขากำลังคิดถึงสิ่งที่ซ่งจื่อฉีเพิ่งพูดไป ซึ่งอันที่จริงอี้สี่ก็ได้ยินเช่นกัน อี้สี่ไม่กล้าที่จะละเลยหน้าที่ รีบทำการเตรียมผักที่ต้องหั่นและล้างอย่างรวดเร็ว เธอดูเหมือนจะได้กลายเป็ส่วนหนึ่งของครัวนี้แล้ว เป็คนที่สามารถรับคำสั่งได้แล้ว
ตรงหน้าทั้งสองคนมีตะกร้าผักพร้อมหั่นอยู่หนึ่งตะกร้า อี้สี่ก็กำลังหั่นหัวหอมอย่างต่อเนื่อง เมนูของร้านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ดังนั้นจึงมักจะต้องคลุกคลีอยู่กับอาหารจานหนึ่งเป็เวลานานมาก หากอาหารนั้นไม่เป็ไปตามฤดูกาลและขายดีก็ต้องอยู่กับอะไรเดิมๆ ต่อไปเรื่อยๆ โชคดีที่ฉือเซ่อมีกิจกรรมจัดเลี้ยงบ่อยๆ จึงมีกิจกรรมหลากหลายมากมาย ในขณะที่เฉินเจี้ยนฉวินกำลังยุ่งอยู่ เขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสายตาที่สอดรู้สอดเห็น “ผมได้ยินมาว่าหลังจากงานจัดเลี้ยงวันนั้น คุณกับจินอิ๋นออกไปด้วยกันงั้นเหรอ?” มันดูเหมือนเป็แค่การแกล้งทำเป็ชวนคุย แต่จริงๆ แล้วเฉินเจี้ยนฉวินมาเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง
“ใครพูด? ฉีเสี่ยวิ่เหรอ?” อี้สี่เอ่ยอ้อมๆ ทุกคนต่างก็รู้ว่าเฉินเจี้ยนฉวินกับฉีเสี่ยวิ่ค่อนข้างมีความสัมพันธ์คลุมเครือกันอยู่
“เปล่าสักหน่อย! มีคนเห็นคุณอยู่บนรถคันเดียวกันกับเขาตั้งเยอะ” เขาพูด เห็นได้ชัดว่ากำลังนินทาคนอื่นอยู่ แถมยังแสร้งทำเป็ว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย
“นั่นเพราะฉันนั่งในรถของอามีไม่ได้ และฉีเสี่ยวิ่ก็ไม่อยากนั่งในรถของจินอิ๋น เพราะงั้นก็เลยมีแค่ฉันที่นั่งรถไปกับจินอิ๋น”
“งั้นได้...หรือเปล่า...คุณก็รู้...” เฉินเจี้ยนฉวินเอ่ยถามอย่างแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี
“ฉันไม่รู้ อยากถามอะไรก็ถามออกมาตรงๆ เถอะ คุณกล้าถามฉันก็กล้าตอบ” อี้สี่เดิมพันว่าเขาไม่กล้าถาม และเป็ไปตามที่คาดไว้ว่าเขาไม่กล้าถาม เธอหัวเราะคิกคักอยู่ภายในใจ จากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ผ่านมา เธอรู้สึกว่าใครๆ ก็อยากรู้เื่ราวซุบซิบกันทั้งนั้น แต่ก็ได้แค่กล้าเดา แต่ไม่กล้าเอ่ยถามตรงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เผชิญหน้ากับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเลย แม้ว่าจะอยากรู้อยากเห็นมากก็ตาม จิตวิทยาเกี่ยวกับการนินทาในหนังสือมากมายก็เป็อะไรประมาณนี้ ไม่รู้ว่ากลัวว่าบรรยากาศการนินทาจะถูกทำลายพังไปหรือกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าภายในใจคุณมีจินตนาการที่ไม่เหมาะสมและลามกอนาจารอยู่
แต่อี้สี่คิดผิด เฉินเจี้ยนฉวินครุ่นคิดพลางเงียบไปครู่หนึ่ง เดิมทีอี้สี่คิดว่าหัวข้อนี้ได้จบลงแล้ว ทว่าจู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “งั้นพวกคุณคบกันเหรอ?”
อี้สี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ไม่ใช่” อย่างไรก็ตามการที่จะบอกว่าคบกันก็พูดได้หลายแบบ ซึ่งการออกเดทก็อาจเรียกได้ว่าคบกัน จริงอยู่ที่ไม่อาจพูดได้ว่าเดทกันได้ เพราะทั้งคู่เพิ่งได้ใช้เวลาด้วยกันแค่สองวันเท่านั้นเอง “แล้วคุณกับฉีเสี่ยวิ่ล่ะ?” ดังนั้น ถ้าคุณตอบไม่ได้ การถามกลับเป็วิธีที่ดีที่สุด
“คุณไม่ต้องทำมาเป็ถามผมกลับเลย คิดว่าผมไม่รู้หรอว่าคุณทำตามวิธีในหนังสือ!” เฉินเจี้ยนฉวินตอบกลับห้วนๆ แต่อี้สี่รู้สึกได้ว่าวิธีที่เขาพูดคือการทำเพื่อปกปิดการสูญเสียบางอย่าง ฉีเสี่ยวิ่เป็พนักงานพาร์ทไทม์และกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ชีวิตของนักศึกษานั้นรุ่งเรืองมากและมีทางเลือกมากมาย มันช่างยากที่จะพูดจริงๆ
“ไม่ใช่สักหน่อย ผู้ชายที่จริงจังนั้นหล่อที่สุดเลย” อี้สี่เองก็ทำเพียงปลอบใจเขาส่งๆ
ใกล้ถึงเวลาเริ่มเปิดร้านแล้ว อี้สี่ยังวุ่นวายอยู่กับของที่ต้องเตรียมอีกเล็กน้อย ทว่าเฉินเจี้ยนฉวินก็มาช่วยเธอไว้ได้ทันเวลา แม้ว่าเขาจะช่วยได้นิดหน่อยก็ตาม วันนี้ก็เป็วันเสาร์ตอนเที่ยง ซึ่งปกติวันเสาร์ลูกค้าทุกคนจะนอนดึกมากทำให้ร้านอาหารจะคนเยอะ่กลางคืนมากกว่า ดังนั้นอาหารกลางวันจึงไม่จำเป็ต้องเตรียมไว้เยอะขนาดนั้น แต่อี้สี่ก็ทำหลายอย่างจนเสร็จด้วยตัวเอง ภายในใจเธอจึงยังคงรู้สึกถึงความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
หลังมื้อเที่ยงจบลง อี้สี่ก็เดินไปด้อมๆ มองๆ ดูที่บาร์ เมื่อพิจารณาตามเวลา หลัวจ้งซีควรจะกลับมาแล้ว แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น ซึ่งจินอิ๋นเองก็ไม่อยู่เช่นกัน ด้วยโฮบาร์มักจะยุ่งมากในวันเสาร์ จินอิ๋นจึงไม่สามารถมาช่วยได้ ที่ภายในบาร์ อามีกำลังนับสต็อกเครื่องดื่มอยู่ เธอเห็นอี้สี่ที่กำลังหันไปมองรอบๆ ได้จากหางตา “มีอะไรหรือเปล่า? ้ากาแฟเหรอ?” เธอถาม
อี้สี่ส่ายหัว อามีจึงพูดว่า “เธอกำลังมองหาใครอยู่หรือเปล่า? วันนี้จินอิ๋นไม่มานะ”
“ฉันไม่ได้มองหาเขา”
“จริงเหรอ? ท่าทางคุณดูแล้วน่าสงสัยมากเลยนะ” อามีพูดพลางหัวเราะคิกคัก สรุปแล้วในสายตาของอามี ใครที่ไปกับจินอิ๋นก็จะต้องถูกจับกินทั้งหมด อี้สี่ไม่สนใจที่จะอธิบายเนื่องด้วยทุกคนต่างก็สามารถจินตนาการมโนไปเองกันได้ ตราบใดที่คนอื่นทำแบบนั้นแล้วมีความสุขเธอก็โอเค ความจริงตอนนี้เธอกำลังมองหาหลัวจ้งซี ในใจคิดถึงคนๆ นี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็หวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน กลัวว่าไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วมีเื่ราวมากมายเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ เพียงห้าวันเท่านั้น
ใน่พักกลางวัน ซ่งจื่อฉีกลับไปที่ห้องครัวเพื่อจัดการวัตถุดิบที่เฉินเจี้ยนฉวินได้เตรียมไว้ให้ในตอนเช้า ส่วนเฉินเจี้ยนฉวินเองก็ไม่ได้หยุดพัก คอยตามเขาไปทีละขั้นตอนเพื่อช่วยหั่นสิ่งต่างๆ อี้สี่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรใน่พักกลางวันจึงเดินไปที่ห้องครัว ก่อนถูกเรียกให้ไปเตรียมของเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไปโกดังเพื่อเอาซีอิ๊ว แยกไข่ หรือชั่งตวงน้ำตาลว่ามีกี่กรัม ตราบใดที่ซ่งจื่อฉีอ้าปากออกคำสั่ง ทั้งสองก็จะขยับมือขยับเท้าทันที เฉินเจี้ยนฉวินกระตือรือร้นมาก และอี้สี่ก็สังเกตเห็นว่าถ้าซ่งจื่อฉีพูดว่า “อี้สี่ คุณเอาเ้านั้นไปชั่งมาให้ผมหนึ่งร้อยกรัม” อะไรแบบนี้ เฉินเจี้ยนฉวินจะเงี่ยหูเพื่อแอบฟังมากขึ้น และก็แกล้งทำเป็เหลือบมองเธออย่างไม่สนใจ
ซ่งจื่อฉีจะทำเยลลี่หลายสี แล้วยังมีซุปหน่อไม้ฝรั่งแช่เย็น ดังนั้นพวกเขาจึงได้เตรียมหน่อไม้ไว้ ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่ผักและผลไม้ แน่นอนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ใช่อาหารชุดตามปกติ อี้สี่จึงเอ่ยถามเฉินเจี้ยนฉวินเสียงเบาว่า “เตรียมของพวกนี้ไว้ทำอะไรเหรอ?”
“ที่ฉือเซ่อนอกจากเมนูสำหรับนอกสถานที่แล้ว อันที่จริงสามารถสั่งจองอาหารที่ไม่มีอยู่ในเมนูได้ โดยปกติแล้วเชฟจะลองทำอาหารจานที่ไม่มีอยู่ในเมนู” เฉินเจี้ยนฉวินพูด
“แต่ฉันก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าของพวกนี้มีไว้ทำอะไร?”
“เพราะยังไม่ได้นำไปประกอบอาหารไงคุณเลยยังมองไม่ออก ตอนนี้เป็เพียงแค่เตรียมการเท่านั้น” เขาพูด
ส่วนผสมเหล่านี้เปรียบเสมือนเลโก้ที่เตรียมไว้ประกอบก่อนทำการเสิร์ฟ เมื่อถึงเวลานั้นทุกส่วนก็ต่างมีตำแหน่งเป็ของตัวเอง แต่ก่อนอี้สี่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการรับประทานอาหารจะซับซ้อนและเอาใจใส่ขนาดนี้ จู่ๆ ความชื่นชมในตัวเชฟก็มีเพิ่มมากขึ้น อี้สี่ยังนึกไม่ออกว่าส่วนผสมเหล่านี้สามารถนำมาประกอบเป็อาหารประเภทใดได้ ในตอนที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง เธอก็ได้ยินซ่งจื่อฉีพูดว่า “ทำไมถึงเพิ่งมาตอนนี้! ไหลลาอยู่ในห้องส่วนตัวแล้ว กำลังรอให้นายไปหารือเกี่ยวกับเื่เมนูอยู่” อี้สี่และเฉินเจี้ยนฉวินเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นหลัวจ้งซีเดินเข้ามาในห้องครัวอย่างค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกและออกจะดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“ฉันลงจากเครื่องบินก็ตรงมาที่นี่ ยังไม่ได้พักเลย”
“คนที่มีความสุขห้าวันมีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไร มีคุณผู้หญิงอยากจองแพ็กเกจงานแต่ง อีกฝ่ายขอให้ทดสอบรสชาติเดือนหน้า ไหลลาเลยจะคุยเกี่ยวกับเื่เมนูในสองวันนี้” ซ่งจื่อฉีพูด
อี้สี่มองไปที่หลัวจ้งซีด้วยใบหน้าแห่งความดีใจอย่างอดไม่ได้ ทั้งเธอยังเผยรอยยิ้มหวานหยด แต่เขากลับเ็าผิดปกติ ทำเพียงเหลือบมองเธอและเฉินเจี้ยนฉวิน ส่วนปากก็เอ่ยพูดกับซ่งจื่อฉีเท่านั้น
ในสายตาของเขาดูเหินห่างมาก รอยยิ้มของอี้สี่จึงค่อยๆ แข็งทื่อ ทันใดนั้นเื่ของจินอิ๋นก็ได้แวบเข้ามาในหัว ทุกคนในร้านต่างก็พากันซุบซิบนินทาเื่คนอื่นกันหมด ดังนั้นจึงไม่มีความลับอะไรที่จะหลบซ่อนได้ หลัวจ้งซีอาจรู้อะไรบางอย่างจากกลุ่มไลน์ของพวกเบื้องหน้า อาจจะกังวลใจ! หากกังวลเกี่ยวกับเื่ของจินอิ๋น อี้สี่เองก็ไม่มีอะไรจะอธิบาย อันที่จริงเธอเองก็ไม่เข้าใจวิธีการคิดของตัวเองเลยจริงๆ แต่ความโศกเศร้าภายในใจเธอนั้นเป็ของจริง
“ฉันสูบบุหรี่แล้วจะไป” หลัวจ้งซีพูดกับซ่งจื่อฉี เมื่อเขาเดินผ่านอี้สี่ มือใหญ่อันอบอุ่นก็ได้แอบจับมือเธอไว้ใน่เวลาเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งไม่มีใครสังเกตุเห็นและไม่มีใครรู้เลย
หัวใจของอี้สี่ที่เดิมทีจมดิ่งไปแล้วก่อนหน้านี้ได้กลับมากระหน่ำเต้นรัวเร็วอีกครั้ง ขณะกำลังจะขยับเดินตามเขาออกไป ทว่าไม่คิดว่าซ่งจื่อฉีจะเดินตามไปด้วย เธอจึงทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ในครัวเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้