"ไม่เป็ไรใช่ไหม" เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู
เหลียนเซวียนเดินมาถึงข้างกายเซวียเสี่ยวหรั่นั้แ่เมื่อไรมิอาจรู้
เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มให้เขา "ไม่เป็ไร"
รอยยิ้มสลักบนดวงหน้างามลออ มุมปากหยักโค้งน้อยๆ เป็มุมอ่อนหวาน ดวงตาดำขลับสุกสกาวโค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยว ั์ตาทอประกายวับวาวดุจดาราพร่างพรายยามค่ำคืน
เหลียนเซวียนมองดวงหน้าทอยิ้มพริ้มเพราของนาง มิอาจละสายตาไปชั่วขณะ
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับไม่สังเกต หลังจากยิ้มให้เขาแล้ว ก็รีบหันกลับมาชมละครต่อ
ซูฟางเจวียนผู้นั้นถูกลวี่หลัวขวางไว้ ก็กุมอกดั่งซีซือ [2] ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
เมิ่งเฉิงเจ๋อเห็นแล้วก็รู้สึกรำคาญตา
สตรีหน้าหนาผู้นี้เป็เหมือนแมลงวันที่เพียรไต่ตอมอยู่ใกล้ๆ ไล่แล้วก็ไม่ไป
"ต่อไปอย่าปล่อยคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาตามอำเภอใจ" เมิ่งเฉิงเจ๋อสั่งการด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ต่งชิ่ง ส่งคุณหนูญาติผู้น้องกลับไป"
ติ่งชิ่งรีบเดินไปข้างกายซูฟางเจวียน "คุณหนู เชิญ"
"ญาติผู้พี่"
ซูฟางเจวียนไหนเลยจะปล่อยโอกาสได้ใกล้ชิดเมิ่งเฉิงเจ๋อไป นางไปดักรอเมิ่งหว่านเหนียงกว่าจะพบ อุตส่าห์เข้ามาสำนักวาณิชได้แล้ว จะยอมถูกขับออกง่ายๆ ไปได้อย่างไร
"หากพูดมากอีกแม้ประโยคเดียว ต่อไปครอบครัวเ้าก็ไม่ต้องเข้าประตูใหญ่สกุลเมิ่งอีกเลย"
เมิ่งเฉิงเจ๋อทำหน้าเข้ม ไม่มีความอดทนต่อญาติผู้น้องหน้าหนาคนนี้เท่าใดนัก
ซูฟางเจวียนใอุดปากไว้ทันที หากปล่อยให้เื่บานปลายไปถึงขั้นนั้น หลังจากกลับไปคงถูกบิดามารดาด่าเปิงเป็แน่
นางเดินตามหลังต่งชิ่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนถึงประตูใหญ่ ยังเอี้ยวศีรษะกลับมาอย่างไม่ยอมตายใจ ก็เห็นเมิ่งเฉิงเจ๋อประสานมือขอขมาเซวียเสี่ยวหรั่นเข้าพอดี
ชั่วขณะนั้น สายตาที่มองเซวียเสี่ยวหรั่นก็เต็มไปด้วยความคับแค้นขุ่นเคือง
กลุ่มคนด้านในต่างเข้าไปในห้องรับแขก ไม่มีใครมองนางแม้แต่คนเดียว ซูฟางเจวียนขบกรามกรอดเดินออกจากสำนักวาณิชสกุลเมิ่งอย่างเดือดดาล
"นี่คือน้องสาวของข้าเอง นามว่าหว่านเหนียง หว่านเหนียงนี่คือเหลียนต้าเหนียงจื่อ กระเป๋าสะพายที่เ้าเห็นคราก่อนก็เป็ฝีมือของต้าเหนียงจื่อผู้นี้เอง"
เมิ่งเฉิงเจ๋อแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน
พอเข้ามาในห้องรับแขก เมิ่งหว่านเหนียงก็ถูกสีสันละลานตาของกระเป๋าใหญ่น้อยบนบนโต๊ะชาดึงดูดสายตาเข้าอย่างจัง
หลังจากทราบว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็คนเย็บกระเป๋าเ่าั้ แววตาก็ทอประกายดุจดารา ดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไม่ปล่อย
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านคิดทำกระเป๋าเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร" เมิ่งหว่านเนียงหยิบกระเป๋าถือสีชมพูลายผีเสื้อหลงบุปผามาถืออย่างหลงใหลไม่อาจตัดใจวางลง
"เอ้อ ก็แค่อยู่ว่างๆ เลยทำอะไรเล่นเท่านั้นเอง" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะฝืดๆ ก่อนเปลี่ยนเื่คุยอย่างรวดเร็ว "กระเป๋าถือใบนี้เข้ากับอาภรณ์ของคุณหนูเมิ่งพอดีเลย"
"จริงหรือ ข้าก็รู้สึกเช่นนี้อยู่เหมือนกัน" ดวงหน้างามพิลาสของเมิ่งหว่านเหนียงดูละม้ายกับเมิ่งเฉิงเจ๋ออยู่สามสี่ส่วน
แต่เมิ่งเฉิงเจ๋อรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย เมิ่งหว่านเหนียงบอบบางอรชร แต่ดวงตาของนางไม่พราวพร่างเจิดจรัสเหมือนเมิ่งเฉิงเจ๋อ
ปีนี้นางอายุสิบเจ็ด อยู่ใน่วัยสวยสะพรั่งดั่งบุปผางาม ดรุณีน้อยย่อมโปรดปรานของสวยๆ งามๆ และแปลกใหม่เหล่านี้เป็ที่สุด
เมิ่งหว่านเหนียงดึงเซวียเสี่ยวหรั่นมาถามข้อกังขาต่างๆ นานาเกี่ยวกับกระเป๋า เซวียเสี่ยวหรั่นนึกหนังสือสัญญาที่ยังอุ่นร้อนในอกเสื้อ ก็อดทนอธิบายด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเฉิงเจ๋อกับเหลียนเซวียนดื่มชาคุยกันไป เซวียเสี่ยวเหล่ยก็นั่งอยู่ด้วยอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเฉิงเจ๋อพยายามเลียบเคียงถามสถานะของเหลียนเซวียน แต่เขาก็หลบเลี่ยงอย่างละมุนละม่อม
เมิ่งเฉิงเจ๋อจนปัญญา จึงไม่ซักไซ้ต่อ จำต้องเบี่ยงเบนความสนใจไปที่สตรีสองคนที่คุยกันไม่หยุด
เมิ่งหว่านเหนียงกำลังขอคำชี้แนะเกี่ยวกับลวดลายบนกระเป๋าใส่เบี้ยสีบานเย็น
"การปักลายงามวิจิตรบนฝากระเป๋าใส่เบี้ยใบเล็กจ้อยเช่นนี้ ยิ่งขับเสริมให้ดูดีมีราคา คุณหนูเมิ่งสามารถให้หญิงปักผ้าลองปักลายออกมาสักสองสามแบบ หลังจากทำออกมาแล้วก็เปรียบเทียบกันดู ค่อยเลือกลายที่เป็ที่นิยมสูงสุดออกมา"
เซวียเสี่ยวหรั่นสาธยายเสียงเบา ใบหน้าซีกข้างอันประณีตเกลี้ยงเกลาเจือไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไม เมิ่งเฉิงเจ๋อตะลึงลานไปชั่วขณะ "พี่เหลียน ช่างมีวาสนายิ่ง ฮูหยินปราดเปรื่องจิตใจสูงส่ง รูปโฉมงามสะคราญ เป็บุปผาพาทีโดยแท้"
นิ้วมือของเหลียนเซวียนที่ยกถ้วยชาอยู่ชะงักเล็กน้อย แต่ก็คืนสู่ปรกติอย่างรวดเร็ว สายตาทอดมองเซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งสวมเสื้อตัวสั้นสีแดงคู่กับกระโปรงสีเหลืองอ่อน พวงแก้มขาวผุดผาดปานหิมะสะท้อนชายอาภรณ์สีแดงเห็นเป็สีชมพูระเรื่อ
ดวงตาเฉยชาราวกับถูกย้อมด้วยสีแดงอันละมุนละไมสายนั้น
"นายน้อยเมิ่งชมเกินไป"
"พี่เหลียนมิต้องถ่อมตน ฮูหยินของท่านเป็ผู้มากฝีมือ สติปัญญาปราดเปรื่องเหนือคน ความคิดแยบยลน่าชื่นชมยกย่อง" เมิ่งเฉิงเจ๋อชื่นชม "อย่าเห็นว่าเป็เพียงของจุกจิก ตราบใดที่มันไปอยู่ที่ในที่ถูกที่ควร ก็จะสร้างผลกำไรอย่างมหาศาล"
ความคิดแยบยลหรือ? เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปาก นึกถึงยามที่นางบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่ากระเป๋าเหล่านี้หาใช่นางเป็ผู้คิดค้น แต่เป็สิ่งของที่ได้รับความนิยมล้นเหลือในถิ่นของนาง
ที่มาของเซวียเสี่ยวหรั่นยังคงเป็ปริศนาสำหรับเหลียนเซวียน
นิ้วมือของเขาไล้ไปบนปากถ้วยชาลายครามเบาๆ ดวงตาที่หลุบลงซ่อนแววซับซ้อน
เื่นี้ต้องหาโอกาสถามให้กระจ่างแจ้ง
หลังจากคุยรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเฉิงเจ๋อก็จัดงานเลี้ยงฉลอง
เหลียนเซวียนก็ไม่ปฏิเสธ
ฉากบังลมลายสี่ฤดูกาล กั้นอาณาเขตแบ่งสองฟากชายหญิง
เมิ่งหว่านเหนียงนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเซวียเสี่ยวหรั่น
สกุลเมิ่งหาใช่ตระกูลสูงศักดิ์ที่เคร่งครัดในระเบียบแบบแผน ไม่เคยชินกับการกินไม่พูดนอนไม่พาที
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านลองชิมนี่สิ นี่คือปลาทอดราดน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน [2] อาหารจานเด็ดของร้านไป่เว่ยไจเชียวนะ"
เมิ่งหว่านเหนียงชี้ไปที่อาหารขึ้นชื่อที่ทอดจนเหลืองกรอบ ลักษณะคล้ายกระรอก
อาหารจานนี้ดึงดูดสายตาของเซวียเสี่ยวหรั่นได้ ปรกติคุณปู่ของเธอก็ทำบ่อย เธอเองก็เคยทำ แต่ต้องฝีมือการใช้มีดด้อยไปนิด ปลาที่บั้งออกมาให้ดูคล้ายกระรอกจึงยังเนี้ยบไม่พอ
คีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งใส่ปาก เนื้อกรอบนอกนุ่มใน เปรี้ยวหวานกลมกล่อม รสชาติไม่เลว
"อื้ม ไม่เสียแรงทีเป็อาหารจานเด็ด รสชาติดีมาก ร้านไป่เว่ยไจก็เป็กิจการของครอบครัวเ้าหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นคิด ร้านเป่าฟางไจกับไป่เว่ยไจมีชื่อคล้ายคลึงกัน คงจะเป็กิจการของสกุลเมิ่งกระมัง
"ต้าเหนียงจื่อคาดเดาไม่ผิด ไป่เว่ยไจเป็ร้านของบ้านข้าเอง" เมิ่งหว่านเหนียงอมยิ้มพยักหน้า "ต้าเหนียงจื่อ ลองชิมหัวสิงโตน้ำแดง [3] จานนี้สิ"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกทอดถอนใจ เมิ่งเฉิงเจ๋อผู้นี้ช่องทางไหนทำเงินได้เขาไม่มีพลาดสักทาง
ทั้งสองคุยไปกินไป บรรยากาศสมัครสมานกลมเกลียวเป็อย่างยิ่ง
"ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันต้าเหนียงจื่อก็จะเดินทางไปแคว้นฉี" จู่ๆ พวงแก้มของเมิ่งหว่านเหนียงก็แดงระเรื่อ
"ก็คงใช่ ที่นี่อยู่ไกลจากเมืองหลวงแคว้นฉีมาก หากไม่ออกเดินทางเร็วหน่อย รอจนถึง่อากาศร้อนสุด ยามนั่งในรถม้าก็คงถูกย่างจนกลายเป็หมูหันเป็แน่"
เซวียเสี่ยวหรั่นคำนวณเวลา จินตนาการถึงความร้อนระอุภายใต้แสงตะวันว่าจะให้ความรู้สึกเช่นไร
สีหน้าของเมิ่งหว่านเหนียงเปลี่ยนจากแดงเป็ซีด นางจะออกเดินทาง่ปลายเดือนหน้า นั่นมิใช่่ที่อากาศร้อนอบอ้าวที่สุดหรอกหรือ นึกแล้วเหงื่อก็แทบไหลย้อย นางฝืนยิ้ม "เช่นนั้นอีกสองเดือนพวกเราก็อาจได้พบกันอีกที่เมืองหลวงแคว้นฉี"
"หืม? คุณหนูเมิ่งจะไปแคว้นฉี?" เซวียเสี่ยวหรั่นประหลาดใจอยู่บ้าง
...
[1] ซีซือคือหนึ่งในสี่ของยอดหญิงงามล่มเมือง นางมีโรคประจำตัวมักรู้สึกแน่นหน้าอกโดยไม่รู้สาเหตุ ต้องทำท่ากุมอกแล้วห่อตัวจึงความเ็ปจึงค่อยบรรเทา ท่วงท่าของนางงดงามตรึงตา แลดูน่ารักน่าสงสาร แม้จะกุมอกนิ่วหน้าก็ไม่อาจบั่นทอนความงามลงได้
[2] ปลาทอดราดน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน เป็อาหารเจียงซูสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือใต้
[3] หัวสิงโตน้ำแดง คือหมูสับปั้นเป็ก้อนกลมขนาดใหญ่กว่าลูกชิ้นเอาลงไปทอดราดน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน
