หลงเซี่ยวอวี่ตัดบทคำพูดกุ่ยเม่ยอย่างเ็า น้ำเสียงเย็นเยียบเจือไปด้วยความไม่พอใจสายหนึ่ง “เื่ไม่สำคัญที่ไม่เกี่ยวข้องมิต้องพูด!”
“ขอรับ” กุ่ยเม่ยตอบรับอย่างนอบน้อม ปิดปากอย่างเชื่อฟังโดยพลัน
หลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้พูดว่ามิต้องพูดเื่ใด กุ่ยเม่ยย่อมรู้ว่าเป็เื่ใด เพราะตอนท้ายได้พูดถึงคนไม่สำคัญที่ไร้ความเกี่ยวข้องเข้า
ระยะนี้กุ่ยเม่ยค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา นอกจากหวางเฟยผู้เหมือนปริศนาผู้นั้นที่นายท่านสนใจเล็กน้อยแล้ว เื่ของสตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง นายท่านก็ยังไม่แม้แต่จะฟัง
ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าจะพูดเื่ขององค์หญิงอันหย่า แต่เป็หลังจากที่หวางเฟยพบกับองค์หญิงอันหย่าก็ไม่มีความสุขเลยต่างหาก
การกระทำทุกอย่าง คำพูดทั้งหมดของหวางเฟยและองค์หญิงอันหย่าในห้องโถงวันนี้ เขาล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน เข้าใจได้พริบตาเดียว และหลังจากที่หวางเฟยหลอกคนพวกนั้น ก็ดูเหมือนอารมณ์จะไม่เลวเลย
ทว่าเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ หลังจากองค์หญิงอันหย่าออกไปจากจวน หวางเฟยก็เหม่อมองไปทางที่องค์หญิงอันหย่าจากไป สีหน้าก็หมองลงในทันใด ดูเหมือนไม่ยินดีแล้ว
ยามนี้นายท่านไม่อยากฟัง เขาอยากพูดอีกก็ไม่สามารถพูดมากได้แล้ว พวกเขาเป็ลูกน้องย่อมมิอาจไปคาดเดาความคิดนายท่านได้
คำพูดของนายท่าน เขาย่อมต้องเชื่อฟังและทำตาม สิ่งนี้กลายเป็นิสัยของพวกเขาไปแล้ว ราวกับมีนิสัยนี้ติดตัวมาั้แ่เกิด มิใช่สิ่งฝึกฝนได้ในวันสองวัน
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยไม่ได้เปิดปากอีก ยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลงเซี่ยวอวี่จึงถามขึ้นอย่างเรียบเฉย “นิกายกู่ตู๋มิได้เร้นกายไปพร้อมกับการตายของเ้านิกายเหลิ่งหนานจือ?”
“ในหมู่คนทั่วไปลือกันเช่นนี้ ส่วนรายละเอียดนั้นจะเป็การเร้นกายจริงหรือไม่ก็มิอาจรู้ อย่างไรนิกายกู่ตู๋ในวันนี้ก็มิได้เหมือนวันวาน อำนาจในยามนี้ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากอยากหวนคืนต้องกลายเป็หนูตามท้องถนนเป็แน่ ไร้ซึ่งหนทางจะยืนหยัดในแผ่นดินใหญ่ได้ หลายปีมานี้พวกเขาเพียงหลบซ่อนอยู่ในความมืด ไร้หนทางสืบหารายละเอียดที่ตั้ง และกู่ควบคุมใจตามที่ข้าน้อยหามาได้ มีเพียงคนของนิกายกู่ตู๋เท่านั้นที่มีความสามารถเพาะพันธุ์ออกมา” กุ่ยหยิ่งตอบตามความจริง
ั้แ่กุ่ยหยิ่งสืบหาได้ว่ากู่ควบคุมใจออกมาจากนิกายกู่ตู๋ เขาก็ยากจะเชื่อนัก หลังผ่านการตรวจสอบโดยละเอียดจึงได้มั่นใจ แต่เขาก็ยังแปลกใจอยู่ดี ฮองเฮาดูเหมือนจะมิได้ธรรมดาอย่างที่พวกเขาคิดไว้
นิกายกู่ตู๋เป็หนึ่งในสามนิกายทรงอำนาจแห่งแผ่นดินใหญ่ิเยว่ แม้นิกายกู่ตู๋จะด้อยด้านพลังคน แต่พวกเขาเพาะเลี้ยงกู่พิษนานาพันธุ์ ให้แก่ผู้ที่้าใช้งาน หลังจากนั้นจึงยืนหยัดได้อย่างมั่นคงบนแผ่นดินใหญ่ิเยว่
นิกายกู่ตู๋เพียงอาศัยสิ่งมีชีวิตจำพวกหนอน อำนาจก็ยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นนิกายกู่ตู๋จึงเป็อันดับหนึ่งในบรรดาสามนิกาย
แรกเริ่มนั้นหนอนกู่แพร่หลายไปในราชวงศ์ของแต่ละแคว้น กลายเป็เครื่องมือสำคัญในการแย่งชิงบัลลังก์ หนอนกู่บางชนิดแพร่พันธุ์ได้เร็ว ท้ายที่สุดเพียงกระจายออกไปก็มิอาจควบคุมได้ หนึ่งแพร่สิบ สิบแพร่ร้อย
ต่อมาหนอนกู่ได้แพร่หลายไปในหมู่ราษฎร ก่อให้เกิดอันตรายต่อราษฎร ทำให้ราษฎรมิอาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ผู้คนก่นด่าโกรธแค้น จิตใจไม่สงบสุข หวาดกลัวจนหลีกหนีจากหนอนกู่ให้ไกล
ล้วนกล่าวว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็สิ่งที่ทำร้ายจิตใจประชาชนที่สุด ไหนเลยจะรู้ว่ายามนั้นสิ่งที่ทำร้ายประชาชนที่สุดคือหนอนกู่นานาพันธุ์ที่แพร่หลายไปในหมู่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า ต่อมาด้วยเหตุนี้นิกายกู่ตู๋จึงถูกคนทั้งโลกเรียกว่าอำนาจมืด
ใจประชามิอาจสูญเสีย เจตนาราษฎรมิอาจละเลย
การแพร่หลายของหนอนกู่อันตราย และกลายเป็เื่ที่น่าปวดศีรษะที่สุดของแต่ละแคว้น ท้ายที่สุดพวกเขาจึงมีบัญชาว่า พิษกู่ถูกลงความเห็นว่าเป็สิ่งต้องห้ามในแต่ละแคว้น ผู้ที่ทุกคน ไม่ถามเหตุผล ไม่สนมูลเหตุ ฆ่าไม่เว้น
เพราะหนอนกู่เป็สิ่งต้องห้ามสำหรับทุกแคว้น อิทธิพลของนิกายกู่ตู๋ที่พึ่งพาหนอนกู่ สุดท้ายก็มิอาจสร้างขึ้นมาได้ในเมืองหลวง
ไม่มีการพึ่งพาของราชวงศ์ อิทธิพลนิกายกู่ตู๋จึงค่อยๆ ตกต่ำลง สุดท้ายภายใต้การตามล่าของอีกสองนิกาย เ้านิกายกู่ตู๋เหลิ่งหนานจือไร้ทางเลือกได้แต่โดดหน้าผาหมื่นจั้งฆ่าตัวตาย จากนั้นเพราะการจบชีวิตของเ้านิกาย คนนิกายกู่ตู๋จึงกระสานซ่านเซ็น ภายหลังพวกเขาลอบเร้นอยู่ในใต้หล้า
ต่อมาสิ่งเช่นหนอนกู่นี้ก็เกือบจะไม่ปรากฏบนแผ่นดินใหญ่ิเยว่อีก ท้ายที่สุดแล้วหนอนที่น่าสะพรึงกลัวก็กลายเป็ข่าวลือไกลจนเกินเอื้อม
“ในเมื่อออกมาจากนิกายกู่ตู๋ ดูท่ากู่ควบคุมใจก็มิใช่ธรรมดา” หลงเซี่ยวอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
ดวงตาของเขายังปิดอยู่เช่นเดิม ในคำพูดเฉยชาก็มิอาจฟังอารมณ์ใดๆ จากด้านในได้ ราวกับว่าเขากำลังพูดเื่ปกติธรรมดา
แต่ว่าจะธรรมดาหรือไม่ธรรมดาก็มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้
ในเมื่อเื่นี้พัวพันไปถึงนิกายกู่ตู๋ เื่ราวจึงมิได้ง่ายดายเพียงนั้นแล้ว
หลายปีมานี้หลงเซี่ยวอวี่ทำเป็มองไม่เห็นเื่ที่ฮองเฮาทำ ย่อมรู้ว่าเื้ัฮองเฮานั้นมีอำนาจมากน้อยเท่าใด ขอเพียงไม่ถูกเส้นต่ำสุด เขาล้วนปล่อยให้นางเต้นระริก ส่วนตนเองยืนรับชมอยู่ข้างๆ
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฮองเฮาจะไปพัวพันกับอำนาจมืดที่เร้นกายมานานปี
ฮองเฮาช่างทำได้ทุกอย่างนัก กล้าใช้พิษประเภทนี้ทำร้ายคน ก็ต้องมีความกล้าที่จะรับผิดชอบ เื่นี้้าสืบหาก็มิง่าย แต่หากสืบสาวออกมา เช่นนั้นฮองเฮาก็หลีกหนีสถานการณ์นี้ไปได้ไม่ไกล
“นายท่าน ข้าน้อยยังมีอีกเื่หนึ่งที่ประหลาดใจ ในเมื่อกู่ควบคุมใจผู้ไม่สันทัดด้านกู่จะมองไม่ออก เหตุใดหวางเฟยจึงสามารถมองออกได้ หรือว่าหวางเฟยจะเลี้ยงกู่ขอรับ?” กุ่ยหยิ่งที่อดกลั้นมานานก็ยังถามข้อสงสัยในใจออกมา
ไม่ว่านายท่านจะรู้ไม่รู้อันใด เขาก็ยังถามด้วยความประหลาดใจยิ่ง สองสามวันนี้เขาล้วนถูกข้อสงสัยนี้จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
คราที่แล้วหวางเฟยหลับใหลไป เขากับกุ่ยเม่ยต่างก็ออกไปปฏิบัติภารกิจ จึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าหวางเฟยมองกู่ออกได้อย่างไร เขาคิดว่านายท่านอยู่ในที่เกิดเหตุคงจะรู้กระมัง
กุ่ยเม่ยได้ยินวาจาของกุ่ยหยิ่งก็ตระหนกเงียบๆ
หากเป็ดั่งที่กุ่ยหยิ่งคิดจริง หวางเฟยผู้นี้ของพวกเขาจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติไปแล้ว ความรู้การแพทย์ ความรู้ด้านยาพิษ ความรู้ด้านกู่ เชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่าง ไทเฮาเลือกคนอย่างไรกันแน่ เลือกสตรีร้ายกาจให้แต่งกับฉีอ๋อง
เพียงแต่หวางเฟยซ่อนคมไว้ลึกจนเกินไป ยามปกติก็แสดงออกธรรมดายิ่งนัก ทำให้คนมองไม่ออกว่าเป็มิตรหรือศัตรู ดูจากท่าทางครั้งก่อนๆ ที่หวางเฟยมีต่อสตรีในวังสองสามคนนั้น หวางเฟยคงไม่ใช่คนของพวกนาง
แม้หวางเฟยจะไม่ธรรมดา แต่การแสดงออกกลับปกตินัก ยามปกติก็ปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ในจวนอ๋องสุภาพอ่อนโยนนัก หวังว่าหวางเฟยจะปกติเช่นนี้ต่อไป คนของจวนอ๋องมีความประทับใจต่อหวางเฟยผู้นี้ดียิ่งนัก พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะมีวันที่ความประทับใจต่อหวางเฟยเปลี่ยนแปลงไป
ครู่หนึ่ง ดวงตาดำมืดของหลงเซี่ยวอวี่ก็เปิดออก ยกมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจ น้ำเสียงอ่อนโยนทว่าเจือความเย็นเยียบแฝงไปด้วยแววแห่งการค้นหา “เปิ่นหวางก็ยิ่งสงสัยความลับทั้งหมดบนตัวนางนัก”
พูดจบ เขาะโขึ้นไปในอากาศ เหาะขึ้นไปยอดศาลา ยืนไพล่มือดั่งเทพราตรี ราวกับมาโปรดสรรพสัตว์ ั์ตาดำขลับลุ่มลึกทอดมองไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันไร้จุดสิ้นสุด ผู้ใดก็ล้วนมองความคิดในดวงตาของเขาไม่ออก
คำพูดของหลงเซี่ยวอวี่มีสองความหมาย ทั้งตอบคำถามกุ่ยหยิ่ง บอกว่าเขาก็สงสัยมากเช่นกันว่ามู่จื่อหลิงเลี้ยงกู่ได้หรือไม่ และพูดว่าความสงสัยใคร่รู้ที่เขามีต่อมู่จื่อหลิงมิได้มีเพียงแค่นี้
กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยได้ยินคำพูดนี้ก็พูดไม่ออก แม้จะคุ้นชินกับระยะนี้เื่ที่หลงเซี่ยวอวี่มอบหมายให้พวกเขาสืบหาล้วนเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับมู่จื่อหลิง
พวกเขาเพียงเคยคิดง่ายๆ ว่าหลงเซี่ยวอวี่อยากรู้ว่ามู่จื่อหลิงเป็คนของไทเฮาหรือไม่
ดูแล้วยามนี้คงมิได้ง่ายดายเพียงนั้นแล้ว กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยอยู่กับหลงเซี่ยวอวี่มาหลายปีเพียงนี้ ย่อมเข้าใจบางส่วน
ดูจากยามนี้แล้วฉีอ๋องของพวกเขาเหมือนจะสนใจสตรีผู้หนึ่งเข้าแล้วจริงๆ ทั้งยังมิใช่ง่ายดายเลย พวกเขาล้วนเฝ้ารอว่าพวกเขาจะมีนายหญิงที่แท้จริง
ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ท้องนภาจะมีฝนโลหิตตกหรือไม่นะ?
ทว่าเหตุใดนายท่านจึงไม่ทราบว่าหวางเฟยมองกู่ควบคุมใจออกได้อย่างไร? วันนั้นนายท่านก็อยู่ในที่เกิดเหตุมิใช่หรือ หรือหวางเฟยจะมิได้พูด?
หากหวางเฟยไม่พูด จากนิสัยของนายท่านแล้ว เขาไม่มีทางไปถามหวางเฟยด้วยตนเอง แต่เล่อเทียนไม่เหมือนกัน ต่อให้นายท่านไม่ถาม เล่อเทียนก็จะเป็ฝ่ายถามหวางเฟยก่อน เล่อเทียนจะไม่ได้ถามด้วยเหตุใด?
หากกุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยรู้ว่าวันนั้นเล่อเทียนปากมากไปถามคำถามที่ไม่ควรถามเข้าจนหนีกระเจิดกระเจิง ลืมเื่นี้ไปเสียสนิท ไม่รู้ว่าพวกเขาจะวิ่งไปหวดเล่อเทียนสักยกหรือไม่
แล้ววันนั้นก็เป็เพราะฉีหวางเฟยไปตอบคำถามน่ารำคาญของเล่อเทียน ทำให้ฉีอ๋องอารมณ์ไม่ดี
สุดท้ายเป็เพราะคำถามโง่งมเช่น ‘เพราะเหตุใด’ ของฉีหวางเฟย ฉีอ๋องก็จากไปด้วยอารมณ์แปลกประหลาด ย่อมไม่ทราบเช่นกัน ไม่รู้ว่าหลังจากที่กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยทราบการกระทำอันแปลกประหลาดของฉีอ๋องเข้า คงคิดว่าฝนโลหิตกำลังจะตกลงมา
หลงเซี่ยวอวี่ย้ายสายตาไปยังทิศทางตำหนักอวี่หาน หลังผ่านไปนาน จึงพูดอย่างไร้อารมณ์ด้วยความเ็า “ทางฮองเฮาจับตาดูต่อไป เื่อื่นมิต้องสืบแล้ว”
หลังจากทิ้งท้ายอย่างเย็นเยียบ หลงเซี่ยวอวี่จึงตะกายขึ้นไปในอากาศ ทางนั้นมันเป็......
-
เป็เพราะเื่ในวันนี้ที่มู่จื่อหลิงโดนองค์หญิงอันหย่าปั่นหัวเข้าให้ ทำให้อารมณ์ไม่ดียิ่งนัก ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นมา เื่ถูกผู้อื่นปั่นหัวเป็คนโง่งมก็มิใช่เื่น่าเป็เกียรติตรงไหน ยิ่งคิดอารมณ์ก็ยิ่งพลุ่งพล่านยากสงบลง คิดว่านางฉลาดเฉลียวมาสองโลก โง่งมไป่หนึ่งได้อย่างไรกัน
ยามรับอาหาร นางกินข้าวอย่างมีแต่ใจไร้กำลัง ถือตะเกียบกดค้างอยู่ที่มุมปากพักใหญ่ ไม่ขยับเขยื้อนเป็เวลานาน
เสี่ยวหานเห็นมู่จื่อหลิงที่ยามนี้ตกอยู่ในภวังค์ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่าไร้แสง แล้วยังไม่ขยับตะเกียบอยู่นาน จึงกล่าวเตือน “นายน้อย...ถ้านายน้อยยังไม่กินอีกอาหารจะเย็นแล้วนะเ้าคะ”
มู่จื่อหลิงได้สติกลับมา ทำปากยื่น ถอนหายใจออกมายาวๆ “เสี่ยวหาน ข้ากินไม่ลงแล้ว เก็บไปเถิด”
“นายน้อย ท่านเป็อันใด วันนี้หลังจากพบองค์หญิงอันหย่าท่านก็ดูเหมือนไม่มีความสุข กลัวว่าองค์หญิงอันหย่าจะไปหาไทเฮาหรือเ้าคะ”
วันนี้นายน้อยก็อารมณ์ดีมาทั้งวันนี่นา ทั้งยังข่มขู่คุณหนูรองเสียจนกระวนกระวาย เหตุใดหลังองค์หญิงอันหย่าจากไปอารมณ์ของนายน้อยก็เปลี่ยนเป็ไม่ดีเสียเล่า
“ข้ากลับหวังว่าวันนี้น่าจะปล่อยพวกนางไปเร็วๆ เสียอีก” มู่จื่อหลิงวางตะเกียบลง ฟุบลงบนโต๊ะพูดบ่นสิ่งที่คิดในใจออกไป
หากนางมองความผิดปกติขององค์หญิงอันหย่าออกเร็วกว่านี้ นางคงหลีกไปให้ไกลโดยเร็ว หากหัวใจอันหย่าไม่เต้นเร็วเช่นนั้น นางคงดูสิ่งใดออกไปนานแล้ว
นางดึงดันจะยั่วโมโหองค์หญิงอันหย่าเพื่อความสนุกสนานอย่างโง่งม ผลคือยิ่งะโก็ยิ่งลึก ยามนี้นางจึงต้องมาจัดอารมณ์ไม่ดีนี้
“นายน้อย ท่าน...” เสี่ยวหานยังอยากถามสิ่งใดอยู่ หางตากลับเหลือบไปเห็นเงาร่างสูงใหญ่กำลังก้าวเท้ายาวๆ มาทางตำหนักอวี่หานได้จากไกลๆ
เสี่ยวหานเงยหน้ามองผู้ที่มาใหม่อย่างจริงจัง พลันหยุดคำพูดที่กำลังจะพูดต่อไป ในแวบแรกนั้นเกรงกลัวเสียจนแม้แต่คำพูดที่้าตักเตือนมู่จื่อหลิงก็ลืมไปจนสิ้น รีบร้อนเขย่าข้อศอกของนาง
มู่จื่อหลิงยังคงไม่ขยับเขยื้อนเช่นเดิม พูดเจือแววไม่พอใจ “เสี่ยวหาน ข้ากินไม่ลงจริงๆ ให้ข้าอยู่เงียบๆ สักครู่หนึ่ง”
มู่จื่อหลิงกล่าวจบก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา ขยับที่นั่งแล้วฟุบนอนต่ออย่างเกียจคร้าน ซึ่งขณะนี้คนด้านนอกก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“ท่าน...ท่านอ๋อง” ในที่สุดเสี่ยวหานก็เปิดปากอย่างตะกุกตะกัก