ลั่วหยิ่งหัวเราะ “เหนียงเหนียงเป็ผู้สูงส่ง กระหม่อมเลื่อมใส หากไม่มีเื่อื่นแล้ว กระหม่อมทูลลา”
มองส่งลั่วหยิ่งออกไป องค์หญิงหลานซินประหลาดใจอย่างที่สุด นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ นางออกเงินออกแรงช่วยชาวบ้านผู้อพยพั้แ่เมื่อใดกัน ซ้ำยังกลายเป็แบบอย่างของคนในตำหนักในในชั่วพริบตา?
แต่ ใครจะสนเล่า
ยากยิ่งนักที่ฝ่าาจะชื่นชมนางเช่นนี้ นางอ้อนวอนร้องขอยังไม่ได้เลย อีกอย่างหนึ่งชาวบ้านผู้อพยพล้วนได้รับการช่วยเหลือหมดแล้วมิใช่หรือ
ไม่มีเื่อะไรของนางแล้ว
นางไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่กลับได้รับคำชื่นชมว่าเป็ผู้ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัย ใต้หล้านี้ยังมีเื่ดีกว่านี้อีกหรือ
ขณะที่กำลังจินตนาการอย่างสวยหรูนั้น เฉินหลงจู๊ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากขึ้น เขาหันไปถวายบังคมองค์หญิงหลานซิน “เหนียงเหนียงทำเื่ดีเช่นนี้ออกมา ยังไม่ประสงค์จะเอ่ยนาม ไม่ขอรับความชอบ กระหม่อมเลื่อมใสยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงหลานซินปิดปากหัวเราะ “ที่ไหนกัน เื่เล็กแค่นี้ ไม่คู่ควรจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ เดิมทีเปิ่นกงไม่ปรารถนาให้เื่นี้เป็เื่เอิกเกริก”
เฉินหลงจู๊ชื่นชม “แคว้นหนานเยียนมีองค์หญิงเช่นพระองค์ นับเป็วาสนาของราษฎรแคว้นหนานเยียนพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ยินคำสรรเสริญเยินยอของอีกฝ่ายแล้ว องค์หญิงหลานซินรู้สึกพึงพอใจ จากนั้นได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นอีกว่า “แต่เวลานี้ชาวบ้านผู้อพยพของแคว้นหนานเยียนมีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ทองคำที่ท่านทิ้งไว้หนึ่งพันตำลึงนั้นร่อยหรอลงทุกวัน คนที่ท่านส่งไปได้กำชับว่า หากเงินทองไม่พอให้เข้าวังมาเพื่อขอรับเงินเพิ่มจากท่านได้ พระองค์เห็นว่า พระองค์จะ...”
รอยยิ้มบนริมฝีปากขององค์หญิงหลานซินแข็งค้าง “ตามที่เ้าเห็น ยังต้องใช้เงินอีกเท่าใด?”
เฉินหลงจู๊ยื่นนิ้วมือออกมาสามนิ้วแล้วพูดด้วยดวงตายิบหยี “อย่างน้อยยัง้าอีกสามพันตำลึงทองพ่ะย่ะค่ะ”
“สามพันตำลึง...ทอง?” องค์หญิงหลานซินปากกระตุก
เฉินหลงจู๊ถาม “เหนียงเหนียงมีปัญหาขัดข้องอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหลานซินหลั่งเืในใจ ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
ฝ่าาได้ตรัสชื่นชมแล้ว นางยังมีทางให้ถอยอีกหรือ
นางพลันบังเกิดความสงสัย นางถูกผู้อื่นลอบคิดบัญชีแล้วใช่หรือไม่
ดูไปแล้วเป็เื่ที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองด้านและชื่อเสียง แต่ถึงกับต้องให้นางออก เงินเป็จำนวนสามพันตำลึงทอง สิ่งที่ต้องแลกมานั้นมันมากเกินไปหรือไม่!
นางมีเงิน แต่นางมิใช่คลังทองนี่นา!
“ใช่แล้ว เ้ายังจำลักษณะของนางกำนัลคนนั้นที่เปิ่นกงส่งไปได้หรือไม่ หน้าตาอย่างไร?”
นางอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่ขุดหลุมรอให้นางะโลงไป!
เฉินหลงจู๊ประหลาดใจอยู่บ้างแต่ยังคงตอบตามความเป็จริง “แม่นางท่านนั้นมีรูปโฉมงดงาม และมีบุคลิกดียิ่งยวด ดูแล้วไม่เหมือนนางกำนัล แต่กลับเหมือนผู้ส่งศักดิ์ที่ออกคำสั่งจนเคยชิน”
ม่านตาขององค์หญิงหลานซินหดแคบลง มือทั้งคู่กำเป็หมัด “เฟิ่งเฉี่ยน ต้องเป็นางแน่ๆ!”
ห้องทรงพระอักษร
ลั่วหยิ่งกลับมารายงาน “ทูลฝ่าา เฉินหลงจู๊กลับออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ซ้ำยังนำทองคำจำนวนสามพันตำลึงไปด้วย ดูท่าแล้วครั้งนี้หลานเฟยเหนียงเหนียงลงทุนครั้งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”
ไม่ได้รับการตอบสนอง เขาเงยหน้าขึ้นมองไป เห็นเพียงในมือของฝ่าามีเหอเปาใบหนึ่ง สายตาเหม่อลอยไปไกลเนิ่นนาน เขาจึงเก็บปากเก็บเสียงถอยออกไปเงียบๆ
เซวียนหยวนเช่อนั่งอยู่หน้าโต๊ะมองเหอเปาในมือ ปากพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “แม้มิอาจอยู่ร่วมกัน แต่หัวใจสื่อถึงกัน...”
เขากำมือเป็หมัดด้วยความรู้สึกเ็ปในใจ “ในเมื่อตัดสินใจจะจากไปอย่างใจจืดใจดำแล้ว ยังจะให้ของพวกนี้ไว้ทำไม ในเมื่อ้าไป เหตุใดยังต้องทำเื่เ่าั้? เฉียนเฉี่ยน ในใจของเ้า เจิ้นนับเป็อะไร?”
ในหัวของเขาพลันมีคำพูดของเฟิ่งเฉี่ยนดังขึ้น “เื่ที่สาม ท่านต้องรับปากข้าว่าจะดูแลตัวเองให้ดี! ร่างกายของท่านมิได้ทำมาด้วยเหล็กกล้า ราชกิจทำอย่างไรก็ทำไม่หมด เวลาสมควรพักผ่อนต้องพักผ่อน อย่าได้ฝืนร่างกายให้เหน็ดเหนื่อยเกินไปเป็อันขาด! ยังมีอีก ต้องกินอาหารให้ตรงเวลา และต้องกินอาหารที่ห้องครัวเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ อย่ารอให้อาหารเย็นแล้วค่อยกิน จะทำให้ปวดท้องได้! หากอารมณ์ไม่ดีให้ระบายออกมา อย่าเก็บอัดเอาไว้ โมโหบ่อยๆ ไม่ดีต่อตับ! ลั่วหยิ่งเป็คนไว้ใจได้ ท่านมีเื่อันใดก็พูดกับเขา อย่าเอาเื่ทุกเื่มาเก็บอัดเอาไว้ในใจ ใช้ความคิดมากเกินไปไม่ดีต่อม้าม! ยังมี...”
เขาหัวเราะเสียงขื่น “ที่แท้ เวลานั้นเ้าก็บอกลาเจิ้นแล้ว เจิ้นกลับไม่รู้เลย...”
เขานั่งอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ั้แ่ยามเย็นจนพระอาทิตย์ตกดิน กระทั่งพระจันทร์ปรากฏตัวขึ้น...
และไม่รู้ว่านั่งอยู่ที่นั่นนานเท่าใด ไท่จื่อน้อยวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เขาตรงเข้ามาหาเซวียนหยวนเช่อ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ไปที่ใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดพวกเขาต่างบอกว่าเสด็จแม่ไปจากวังหลวงแล้ว เสด็จแม่นางไม่้าเย่เอ๋อร์แล้วใช่หรือไม่?”
กระบอกตาของเขาแดงก่ำ น้ำตาหยดแหมะๆ ท่าทางของเ้าตัวเล็กช่างน่าสงสาร เขาเห็นแล้วปวดใจนัก
ั์ตาดำขลับของเซวียนหยวนเช่อเคร่งลง คนในวังหลวงว่างถึงขั้นซุบซิบเื่นี้ ถึงเวลาต้องจัดระเบียบแล้ว
เขาก้มหน้าลงด้วยแววตาอ่อนโยน ยื่นมือออกไปกวาดร่างของไท่จื่อน้อยขึ้นมานั่งบนตัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนว่า “อย่าไปฟังคำพูดเลอะเทอะเหลวไหลของพวกเขา! เป็เสด็จพ่อเองที่ให้เสด็จแม่ของเ้าไปปฏิบัติภารกิจลับสุดยอด นางจึงจากไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง รอเมื่อนางปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้วย่อมกลับมาเอง”
ไท่จื่อน้อยน้ำตาไหลพราก “เป็ภารกิจลับอันใดพ่ะย่ะค่ะ? จะมีอันตรายหรือไม่?”
ปลายนิ้วของเซวียนหยวนเช่อลูบไล้ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของไท่จื่อน้อยเพื่อเช็ดน้ำตาให้เขา พร้อมทั้งส่ายหน้า “ไม่มีอันตราย!”
ไท่จื่อน้อยจ้องมองเขา ััได้ถึงพลังอันไร้ขอบเขตในแววตามุ่งมั่นนั้นแล้วในที่สุดก็วางใจลงได้ เขาครุ่นคิดแล้วถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเสด็จแม่จะกลับมาเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ?”
เซวียนหยวนเช่อเงียบงัน
ไท่จื่อน้อยสังเกตเหอเปาในมือของเขาจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ นี่มิใช่เหอเปาที่เสด็จแม่ปักหรือพ่ะย่ะค่ะ บทกวีสองประโยคนั้นเสด็จแม่ให้เย่เอ๋อร์เขียน แต่เย่เอ๋อร์ยังไม่รู้เลยว่าบทกวีสองประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร”
ดวงตาของเซวียนหยวนเช่อไหววูบ “ความหมายของมันก็คือ หัวใจของคนสองคนอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขากลับไม่อาจอยู่ใกล้กัน”
“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อน้อยไม่เข้าใจ “หรือหนึ่งในพวกเขามีคนล้มป่วย?”
เซวียนหยวนเช่อตะลึงงัน มองเขาอย่างประหลาดใจ
ไท่จื่อน้อยเอียงคอพูดอย่างไร้เดียงสา “แต่ต่อให้มีคนล้มป่วย อีกคนหนึ่งก็ยังไปเยี่ยมไปดูแลเขาได้นี่นา คนที่ป่วยย่อมต้องมีวันหาย ถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้อีก มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบแล้วพบว่าเสด็จพ่อไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ทั้งสิ้น ไท่จื่อน้อยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเสด็จพ่อใช้สายตาแปลกประหลาดมองเขา เขาจึงเกาศีรษะอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “เสด็จพ่อ ลูกพูดอะไรผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เ้าไม่ได้พูดผิด!” เซวียนหยวนเช่อลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นแหบพร่า “บนโลกนี้ นอกจากการเกิดและการตายแล้วไม่มีอะไรแยกคนสองคนที่รักกันออกจากกันได้!”
ดวงตาของเซวียนหยวนเช่อปรากฏให้เห็นแสงสว่างเจิดจ้า ราวกับแสงแรกที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรอันมืดมิด งดงามจนน่าตกตะลึง!
ไท่จื่อน้อยถามอีกว่า “เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็เป็เช่นนี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ริมฝีปากของเซวียนหยวนเช่อโค้งขึ้นเมื่อตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอน!”
เขาหันไปมองนอกหน้าต่าง ณ ขอบฟ้าปรากฏให้เห็นพระจันทร์ มันทระนงตนเช่นนั้น อยู่เบื้องบนสูงส่ง ไม่อาจแตะต้อง ทว่ากลับเงียบเหงา มันส่องแสงสว่างด้วยตัวของมันเอง และชื่นชมตัวเอง
เขาเองมิใช่เป็เช่นนี้หรือ?
อยู่อย่างไร้จุดหมายมาหลายปีเช่นนี้ พบคนที่ “มีใจสื่อถึงกัน” ได้อย่างมิง่ายดาย เขาจะปล่อยมือง่ายๆ ได้อย่างไร?
“เฉียนเฉี่ยน ต้องมีสักวัน เจิ้นจะทำให้เ้ากลับมาอยู่ข้างกายเจิ้นด้วยความเต็มใจ”
ราวกับมีเปลวไฟลุกพรึ่บในแววตาของเขา นั่นเป็การตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขา!
ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นในยามอู่ แสงแดดที่ส่องผ่านกิ่งไม้ใบหญ้าที่ซ้อนกัน กระทั่งมีแสงสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นสายหนึ่ง
ไม่ไกลออกไปนัก ชายหนุ่มสองสามคนที่ถือกระบี่อยู่ด้านหลัง พวกเขากำลังสนทนาและยิ้มหัวกัน ขณะที่ก้าวเดินเข้ามาในป่านั้นจึงทำลายความเงียบสงบลง
รถม้าหรูหราคันหนึ่งวิ่งผ่านด้านหลังพวกเขาไป ชายหนุ่มเ่าั้แยกออกเป็สองฝั่งเพื่อหลีกทางให้กับรถม้า ภายในป่าจึงบังเกิดเสียงสนทนาขึ้นอีกครั้ง
“ดูสิ เป็รถม้าของสกุลถังแห่งเมืองเทียนเซียง!”
“สกุลถังเป็ครอบครัวผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยเยียนของพวกเราเชียว พวกเขามีกิจการค้าอยู่ทั่วแผ่นดิน ร่ำรวยมหาศาล!”
“ครอบครัวมหาเศรษฐีทั้งสี่อันใด? หากเปรียบเทียบกับสกุลถังแล้ว สกุลหลันอันใด สกุลฉิน สกุลซู ล้วนถูกสลัดห่างออกไปหลายสายถนน!”
“ถูกต้อง สกุลถังนั้นเป็ครอบครัวมหาเศรษฐียิ่งกว่า นับเป็อันดับหนึ่งอันดับสองของซิงอวิ๋นตี้กั๋ว!”
“หากสามารถคบหาสมาคมกับสกุลถังได้ จะดีเพียงใด...”
“อย่าฝันกลางวันเลย! ผู้ที่คบหาสมาคมกับสกุลถัง หากมิใช่เชื้อพระวงศ์ ก็เป็พวกขุนนาง ชนชั้นสูง! อย่างเ้า! ไม่มีทาง!”
“ข้าแค่คิดก็ไม่ได้หรือ?”
“ฮ่าๆๆ...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้