ขณะที่เย่เฟิงโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง จ้าวอี้เปยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาต่างหากที่เฝ้ารอสังหารซือถูฉางเตามากกว่าใคร น่าเสียดายที่เขาไม่อาจรับมือคนทั้งสี่ได้ด้วยตัวคนเดียว จึงทำได้เพียงพึ่งพาความแข็งแกร่งของเย่เฟิง ในเมื่อตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามถูกสังหารไปแล้วสองคน เย่เฟิงเองก็กำลังปะทะกับเ้าคนตัวเตี้ยร่างท้วมนั่น เป็โอกาสให้จ้าวอี้เปยเผชิญหน้ากับซือถูฉางเตาตามลำพัง ซึ่งจ้าวอี้เปยมั่นใจมากว่าจะสามารถสังหารศัตรูได้
แม้ระดับพลังสิบปีของเขาจะห่างชั้นจากระดับวรยุทธ์สี่สิบปีของอีกฝ่ายมาก แต่จ้าวอี้เป้ยเป็ผู้ฝึกพลังิญญา เมื่อเทียบกับผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไป ระดับพลังของผู้ฝึกพลังิญญาจะแข็งแกร่งกว่ามาก
“เมื่อก่อนเวลาพวกแกเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันนี้บ้างไหม?”
เย่เฟิงชี้กระบี่เล่มยาวในมือไปทางชายร่างท้วมพร้อมกับถามเสียงเรียบ เขาไม่ชายตามองชายอีกคนที่ถูกไฟแผดเผาอยู่ด้านข้างเลยสักนิด ราวกับเป็เพียงกองไฟธรรมดาไม่มีค่าควรมอง
ชายร่างท้วมมองร่างเพื่อนที่ถูกไฟคลอกจนตายพร้อมกับหันไปมองชายคนแรกที่ถูกตัดหัว จากนั้นหันไปมองเย่เฟิงอย่างมาดร้ายพลางลอบกลืนน้ำลาย “วิหารดาบ์ไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่...”
เย่เฟิงยิ้มเยาะ แม้แต่ของวิเศษของสำนักอันดับหนึ่งอย่างตำหนักไท่จี๋ยังตกอยู่ในมือเขา เขายังจะต้องกลัววิหารดาบ์อยู่อีกเหรอ? หากว่ากันตามจริง ทางวิหารดาบ์แข็งแกร่งกว่าสำนักอิ่นเซียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็ตระกูลหลงหรือตำหนักไท่จี๋ วิหารดาบ์ก็ไม่มีอะไรที่สามารถเทียบเคียงอีกฝ่ายได้เลย
แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่คิดนำมันมาใส่ใจด้วยซ้ำ เขาขยับฝีเท้าพร้อมกระชับกระบี่ในมือเดินเขาไปหาอีกฝ่าย ชายร่างท้วมยังไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกกระบี่ของเย่เฟิงแทงตัดขั้วหัวใจจนตายไปเสียแล้ว
คนทั้งสี่ล้วนเป็ศิษย์ชั้นยอดของวิหารดาบ์กลับถูกเย่เฟิงสังหารไปแล้วถึงสามคน!
ตอนนี้เหลือซือถูฉางเตาเพียงคนเดียว อีกทั้งเขายังตกเป็เป้าหมายของจ้าวอี้เปย
“ตายซะเถอะ!”
จ้าวอี้เปยเริ่มเคลื่อนไหว ไม่ว่าอย่างไรซือถูฉางเตาก็ต้องตาย ต่อให้ต้องเปิดเผยสถานะผู้ฝึกพลังิญญาของตัวเอง เขาก็ไม่สนใจ
ทันใดนั้นร่างของเขาพลันสลายตัวราวกับเม็ดทราย ก่อนที่เม็ดทรายเ่าั้จะล้อมรอบตัวซือถูฉางเตาเอาไว้และหมุนลอยตัวเหมือนกับฝูงตั๊กแตน
ภาพนี้ทำให้ซือถูฉางเตาที่เหลือตัวคนเดียวหวาดกลัวจนแทบเสียสติ แย่แล้ว เย่เฟิงต้องเป็ตัวประหลาดแน่ เพียงครู่เดียวก็สามารถสังหารศิษย์ร่วมสำนักของเขาได้ถึงสามคน เด็กหนุ่มที่ความสามารถเก่งกาจถึงเพียงนี้ในประวัติศาสตร์นั้นไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นเป็ครั้งแรกทั้งยังไม่มีที่มาที่ไป? รวมถึงร่างที่สลายได้นี้อีก เขาทำมันได้อย่างไร?
เป็ิญญางั้นเหรอ?
ซือถูฉางเตาอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนั้น ก่อนหน้านี้เขาสังหารผู้คนไปมากมาย แน่นอนว่าเขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นจ้าวอี้เปยที่ไหน เหล่าญาติสนิทของคนที่เขาสังหารล้วนเป็เพียงคนธรรมดา ไม่มีทางตามหาเขาพบ หรือต่อให้หาเจอก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้
นี่ถือเป็ครั้งแรกที่คนที่เขาเคยสังหารตามมาแก้แค้น
ไม่มีเวลาให้ได้คิดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซือถูฉางเตารีบถอยตั้งหลัก ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะคว้าดาบเล่มยาวด้านหลังออกมาฟาดฟันกลุ่มทรายที่รายล้อมรอบกาย
ควับ!
เสียงแ่เบาจากการฟันผ่านอากาศ กลุ่มทรายแบ่งแยกเป็สองฝั่งก่อนเข้ามาล้อมตัวซือถูฉางเตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของจ้าวอี้เปยก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา
หอกกระดูกมวลพิษ! มวลอากาศโดยรอบก่อตัวขึ้นจนปรากฏเป็หอกกระดูกอยู่เหนือหัวด้านซ้ายมือ ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่ซือถูฉางเตา
“ดาบ์วายุคลั่ง!”
ภายในหัวของซือถูฉางเตาเคร่งเครียดจนไฝสามเม็ดข้างขมับถึงกับกระตุก เมื่อเขาใช้ดาบ์วายุคลั่งออกมาก็ก่อให้เกิดพายุหมุนขึ้นภายในห้อง สิ่งของภายในห้องลอยเคว้งไปมาพร้อมกับถูกคมดาบฟันจนแตกหักเป็ชิ้นๆ
หอกกระดูกมวลพิษของจ้าวอี้เปยถูกดาบ์วายุคลั่งดูดกลืนจนสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากระดับพลังของทั้งคู่ต่างกันมากเกินไป จึงเป็ธรรมดาที่หอกกระดูกมวลพิษของเขาจะใช้ไม่ได้ผล
หากจ้าวอี้เปยมีระดับพลังยี่สิบปี หอกกระดูกมวลพิษเมื่อครู่คงสามารถทำให้ซือถูฉางเตาาเ็สาหัสได้
ด้านตัวของจ้าวอี้เปยเองก็ไม่อาจหลบได้ทันเวลาจึงถูกดาบ์วายุคลั่งดึงดูดเข้าไปในพายุนั้นด้วย แต่เพราะร่างของเขาเกิดจากพลังิญญาจึงเป็เพียงสายลมที่พัดผ่านเข้าไปแล้วกลับออกมาเหมือนเดิม ก่อนที่ร่างเขาจะปรากฏขึ้นในระยะใกล้ๆ
เย่เฟิงที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างค้นพบว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่สามารถทำร้ายผู้ฝึกพลังิญญาได้ เพราะฉะนั้นจะมีคนเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะสามารถทำอันตรายพวกเขาได้ หากเย่เฟิงไม่ใช่ผู้ฝึกวิถีเซียน เขาก็ไม่อาจทำอะไรเหล่าผู้ฝึกพลังิญญาได้มากนัก มีเพียงผู้ฝึกที่บรรลุขั้นที่สองหรือเหนือชั้นกว่าเท่านั้นที่จะสามารถทำอันตรายผู้ฝึกพลังิญญาได้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกที่บรรลุขั้นที่สองทุกคนจะทำอันตรายผู้ฝึกพลังิญญาได้
อย่างน้อยครั้งก่อนผู้าุโหลี่เสวียนจากตำหนักไท่จี๋ก็ไม่อาจทำอะไรหลิงเฉินได้ เย่เฟิงคิดว่ามีเพียงเคล็ดวิชากระบี่สุริยคราสและเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทราเท่านั้น ที่มีพลังมากพอจนสามารถทำอันตรายผู้ฝึกพลังิญญาได้
สำหรับซือถูฉางเตาในตอนนี้หรือกระทั่งเหล่ายอดฝีมือในยุทธจักร การมีตัวตนของผู้ฝึกพลังิญญาอย่างจ้าวอี้เปยและหลิงเฉินเปรียบเสมือนฝันร้ายของพวกเขา!
หลังจากดาบ์วายุคลั่งจบลง ซือถูฉางเตาก็พบว่าข้าวของทุกอย่างภายในห้องถูกทำลายจนหมด แม้แต่กำแพงยังทะลุเป็รูใหญ่ ชายหญิงที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ห้องด้านข้างใจนวิ่งหนีเตลิด แต่เย่เฟิงและเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นยังคงยืนอย่างนิ่งสงบ ทั้งยังไม่ได้รับาเ็ใดๆ เลยแม้แต่น้อย นี่มันช่างประหลาดเกินไปแล้ว
“แกเป็พวกภูตผีอะไรแบบนี้หรือเปล่า?”
ซือถูฉางเตาหวาดกลัวจนขาทั้งสองข้างสั่นเทา เขามองจ้าวอี้เปยพร้อมถามเสียงสั่น
“แกคิดว่าไงล่ะ?”
จ้าวอี้เปยไม่ยินดียินร้ายกับคำถามนี้ เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงความเศร้าใจได้ ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็ผู้ฝึกพลังิญญา ที่โลกเทวะผู้ฝึกพลังิญญาและผู้ฝึกวิถีเซียนมีสถานะเท่าเทียมกัน แต่บนโลกนี้ ผู้ฝึกพลังิญญาก็เปรียบเสมือนพวกภูตผี
เขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็ดวงิญญา แต่ด้วยความช่วยเหลือของเย่เฟิง ทำให้เขากลายเป็ิญญาดวงหนึ่งที่มีความคิดเป็ของตัวเองก็แค่นั้น
ด้วยความคิดนี้จะทำให้เขาสามารถแก้แค้นศัตรูคู่อาฆาตเมื่อสิบปีก่อนได้ ณ จุดนี้เขารู้สึกขอบคุณเย่เฟิงมาก! หากไม่ใช่เพราะเย่เฟิง ต่อให้ดวงิญญาเขายังอยู่บนโลกก็ไม่อาจแก้แค้นศัตรูของตัวเองได้
“ได้เวลาส่งแกลงนรกแล้ว”
จ้าวอี้เปยรู้ว่าการต่อสู้นี้ไม่ควรยืดเยื้อเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจดึงดูดความสนใจจากผู้คนในยุทธจักรที่อยู่ในละแวกนี้แล้วจะกลายเป็เื่ยุ่งยาก
จิตใจของเขาเหี้ยมขึ้น ทันใดนั้นร่างิญญาก็สลายตัวกระจายเป็หมอกควัน หลงเหลือเพียงความว่างเปล่า จากนั้นหอกกระดูกมวลพิษหลายอันก็พุ่งใส่ซือถูฉางเตาจากทุกทิศทาง ทำให้ซือถูจางเตาถึงกับขนลุกเกรียว
ดาบ์วายุคลั่งที่เพิ่งใช้ออกไปเมื่อครู่ ทำให้พลังในร่างเขาเหลืออยู่ไม่มากนัก
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือใจของเขาที่กำลังหวาดหวั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของจ้าวอี้เปยอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าควรจะรับมืออย่างไรจึงเหวี่ยงดาบในมือออกไปถึงสองครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งมันสามารถปัดป้องหอกกระดูกมวลพิษสองอันที่พุ่งเข้ามา แต่หอกกระดูกมวลพิษที่เหลือก็แทงลึกเข้าไปภายในร่างกายของเขา
พอหอกกระดูกมวลพิษพุ่งใส่ร่างเป้าหมายได้ มวลพิษที่ก่อตัวจากอากาศก็ซึมลึกเข้าสู่ร่างของซือถูฉางเตาทันที กลิ่นอายความตายแพร่กระจายไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานพลังชีวิตของเขาก็ลดลงจนหายใจแ่!
“อ๊าก—”
ซือถูฉางเตากรีดร้องทันทีที่ถูกลูกไฟสีขาวพุ่งเข้ามาแผดเผาร่างจนกลายเป็เถ้าถ่าน
“มีคนมา รีบไปกันเถอะ”
เย่เฟิงกล่าวเสียงขรึมก่อนปล่อยลูกไฟอีกหลายลูกเพื่อเผาซากศพที่เหลือให้ภายในห้องดูสะอาดขึ้น ทิ้งไว้เพียงข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มห้อง