ตอนที่เ่ิูหันกายจากไปนั้นเอง เด็กน้อยผู้ตกอยู่ในภวังค์มาตลอดพลันรู้สึกถึงบางสิ่ง มือเล็กผอมแห้งยื่นออกมา คล้ายจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงหล่นลงแน่นิ่ง หยาดน้ำตาหลั่งไหลจากดวงหน้า
“พี่ชิงหยู อย่าไปนะ...”
คำพูดเบาบางเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น
แผ่นหลังของเ่ิูหายลับไปนอกเรือนไม้ในที่สุด
ตุ๊กตาหมีขาวตัวเล็กซึ่งอิงกับมือนางมาตลอดพลันเฉหล่นลงบนตัวนาง ราวกับกรงเล็บตะครุบทั้งภพไว้ นางสุดจะรู้ว่าเอาพลังจากไหนมาจับตุ๊กตาจากแผงลอยนี้ได้ นิ้วทั้งห้ากดเป็รอยบนตัวหมีตัวเล็ก
หวังเจี้ยนหรูคิดจะนำตุ๊กตาออกมา
แต่ตอนนั้นเอง ที่ริ้วลายแดงฉานซึ่งพันรอบร่างนวลนางพลันลุกลามตามเรียวแขนเหมือนเถาวัลย์คลั่ง พันรอบภายในของหมีตัวเล็ก พริบตาเดียว ผิวเนื้อสีขาวพลันเปลี่ยนเป็แดงเข้ม ดวงตาเทาๆ ใสไร้ิญญา กลับแวววาวด้วยกลิ่นอายแห่งคาวเื
...
...
เดินตามทางที่เดินมา จนมาถึงปลายของหออันเดียวดายนี้
บนผนังวับวาวด้วยอักขระสีเงินประกาย เ่ิูก้าวผ่านมันมา
กลับมาเจอทางเดินอิฐสีเทาแสนสงบดังตามคาด จอมยุทธ์ชุดดำคนเดิมยังคงรออยู่ เมื่อมองเห็นเ่ิูเดินออกมา เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับอย่างเงียบงัน นำทางโดยไม่พูดอะไรเช่นเดิม
เ่ิูเดินตามหลังไป
ใจของเขายุ่งเหยิง อารมณ์ตกต่ำ ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ
ศึกบนนภาซึ่งสั่นะเืทั้งลู่ิกลับมาปรากฏบนสมองของเ่ิูอีกครั้ง เขาพลันนึกถึงผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ควบคุมเมฆาดำทั้งเวหาคนนั้น ตามข้อมูลที่ได้มา ผู้แข็งแกร่งเมฆาดำเหมือนจะเป็คนของนครอันธการ มาตามหาเด็กน้อย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หวังเจี้ยนหรูถึงไม่อยากให้นางตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างเห็นได้ชัด
เื่นี้ มีความลับมากเกินไปแล้ว
เ่ิูยังมีเื่มากมายที่คิดปะติดปะต่อไม่ได้
แต่ไม่รู้เพราะอะไรเช่นกัน เมื่อคิดถึงว่านางอยู่ในความดูแลของหวังเจี้ยนหรู เขากลับวางใจ วางใจเป็อย่างมาก เหมือนกับว่าหากจะมีใครสักคนบนโลกนี้ที่ไตร่ตรองเพื่อเสี่ยวจวินจริงๆ มิใช่คิดโลภมากอยากซ่อนความลับอะไรไว้ คนๆ นั้นย่อมต้องเป็หวังเจี้ยนหรู
ก้าวผ่านทางเดินอันยาวไกล
เหมือนผ่านไปอีกโลก
ที่สุดก็มาถึงโถงด้านนอกของแดนม่านหมอก
พอถึงยามนี้ คนที่มาหาความสุขสำราญในแดนม่านหมอกก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประตูใหญ่มีคนเดินเข้ามาติดต่อกัน และเหล่าจอมยุทธ์คุ้มครองที่ร่ำสุราดื่มด่ำกับอาหารก็จัดการมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย พวกเขานั่งพักผ่อนอยู่บนม้านั่ง คอยเปิดเปลือกตามองคนที่เข้ามาเป็บางครั้ง แววตาสอดส่อง ไม่ปล่อยให้คนที่ไม่ควรเปล่อยได้ลอยนวล
จอมยุทธ์ชุดดำเดินกลับไปที่ม้านั่ง กระดกเหล้าดื่มอึกยาว แล้วเอ่ยชวนหัวกับสหายด้วยกัน
เ่ิูยังเดินต่อไปไม่หยุด เขาออกมาจากประตูใหญ่ของแดนม่านหมอก
ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้ม ปุยหิมะซึ่งลมพัดพามากขึ้นทุกทีๆ หิมะที่เริ่มตกั้แ่สามวันก่อนไม่มีวี่แววจะหยุดเลย ทุกมุมถนนมีแต่กองหิมะหนาๆ ซ้อนเป็ตั้ง เมืองกวางขาวปกคลุมด้วยสีขาวกว้างใหญ่ไพศาล
เ่ิูสวมเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าอีกหน เขาก้มหน้าแล้วเดินอย่างเชื่องช้า
หากไม่มีเื่เหนือความคาดหมายใดเกิดขึ้น จากวันนี้ต่อไป สำนักกวางขาวคงไม่มีหัวหน้าหมวดหวังเยี่ยนอีกแล้ว นั่นก็หมายความว่าหลังเวินหว่านจากไป สหายที่เ่ิูสนิทชิดเชื้อก็ได้หายไปจากชีวิตเขาอีกคนแล้ว
นี่ทำให้เ่ิูต้องคิดถึงสิ่งที่ตนจะเผชิญต่อไปอย่างเสียไม่ได้
สำนักกวางขาวกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างลับๆ พาให้เขานึกอยากจากลาขึ้นมา
หากไปจากสำนักกวางขาว แล้วยังไงต่อ?
เ่ิูคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิดเดียว
เขาเดินช้าๆ คิดไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
พลันใบหูก็ได้เย็นเสียงฝีเท้าและเกราะเหล็กเสียดสีกันดังมาเป็หมู่ เสียงเสียดสีกระแทกกันของโลหะสั่นๆ แสบแก้วหูนักยามหิมะโปรย เสียงโอดครวญขลาดกลัวดังแว่วมา เ่ิูเงยหน้าเห็นระยะห่างออกไปห้าสิบกว่าเมตร หมู่ทหารติดอาวุธชุดดำเหมือนน้ำทมิฬไหลบ่า ตัดแหวกเส้นทางซึ่งทับถมด้วยหิมะ ปรี่เข้ามาด้วยความเร็ว
“ทหารประจำการเขตทักษิณ ‘กรมบรรพตทมิฬ’!”
เ่ิูใเล็กน้อย
เหมือนกับกรมทหารสอดแนมของเขตอุดร กรมบรรพตทมิฬเองก็เป็หนึ่งในทหารชั้นเอกแห่งเมืองลู่ิ สังกัดกองพลทิศทักษิณ หลายวันมานี้บรรยากาศในเมืองประหลาดจิตนัก จึงมีทหารบรรพตทมิฬคอยลาดตระเวนอยู่บ้าง คอยรักษาความเรียบร้อยในเมืองบ้าง ทว่าทหารพวกนี้หาใช่หน่วยลาดตระเวนธรรมดาไม่ ออกปฏิบัติการทีหนึ่งต้องอย่างต่ำพันคน ติดอาวุธครบเครื่อง ภายในทัพยังมีทหารม้า อาจารย์กระบวนอักขระในอาภรณ์ดำยาว ไหนจะเสื้อเกราะอักขระที่สวมแล้วบินได้ คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวศัตรูจากเบื้องล่าง
ท่าทีเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ
เ่ิูใจเต้น เขาแวบเข้าข้างทางอย่างเงียบเชียบ หลีกทางให้กองทหารที่แผดเสียงก้องเหาะและวิ่งผ่านไป
เขามองทิศทางที่กรมบรรพตทมิฬควบม้าศึกไป
“ทางไปแดนม่านหมอก...”
เ่ิูพลันรู้ความนัย
และแทบจะเวลาเดียวกัน พสุธาแห่งลู่ิก็สั่นะเืเลือนลั่น เหมือนมีพลังน่ากลัวกำลังจะะเิออกมาจากใต้ดิน ตามมาด้วยลำแสงสีส้มเหลืองฉาดฉายสู่ท้องนภา ดุจดาวตกแวววาวขีดท้องฟ้า ยืดหางคมยาวไกล จากนั้นก็รวมตัวอยู่กลางเวหา กลายเป็ม่านกำบังดั่งร่างแหั์ปกคลุมทั้งนครไว้ใต้อาณัติ!
“นี่มัน...หรือว่าจะเป็ ไพฑูรย์ปฐีล้านปม?”
เ่ิูตระหนก
เล่าสืบต่อกันมาว่าใต้เมืองลู่ิแอบซ่อนกระบวนอักขระตัดขาดอันแข็งแกร่งเป็ที่สุด เพียงจุดประกายเท่านั้น ไม่เพียงจะตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ยังบังคับไม่ให้คนภายในหนีออกไป นามไพฑูรย์ปฐีล้านปม ไม่เคยถูกจุดประกายโดยผู้ถือสิทธิ์เลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดหลายสิบปี เพราะทุกครั้งที่จุดประกาย เท่ากับล้างผลาญพลังปราณใต้หล้ามหาศาลเกินไป
ไม่นึกเลยว่าวันนี้ กระบวนในตำนานจะถูกจุดประกายแล้วจริงๆ
และเมื่อมันทำงาน ม่านควันปราณจำนวนมากก็พุ่งเสียดฟ้า เสียงกัมปนาทเมื่อร่างผู้แข็งแกร่งซึ่งมีเปลวแสงพลังเป็ประกายทั่วร่าง ปรากฏกายขึ้นทั่วทุกสารทิศ ตรงสู่ทิศแดนม่านหมอกฉับไว แวดล้อมแดนม่านหมอกไว้ทั้งสี่ด้าน
ฟากฟ้ายามหิมะพรำ คนหลายร้อยยืนจังก้าแน่นขนัด
คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็ผู้แข็งแกร่งระดับอาณาน้ำพุิญญาขึ้นไป มีชื่อเสียงเป็ที่รู้จักในลู่ิกันทั้งสิ้น
พริบตาเดียวคนทั้งหมดก็ลงมือตามคาด
พลังปราณอันน่ากลัวสนั่นม้วนใต้หล้าไว้ ผู้แข็งแกร่งอาณาเนื้อฟ้าลงมือพร้อมกัน กายลอยกลางอากาศ สภาพการณ์อันยิ่งใหญ่ และสง่างามเช่นนี้ไม่ได้เกิดในลู่ิมานานมากแล้ว ร่างกายเบ่งบานไอปราณอันแวววาว เหมือนดวงตะวันสว่างโรจน์ยามฟ้าใส ชวนให้คนไม่อาจมองข้าม
ทั้งนครฮือฮากันยกใหญ่
เหล่าคนที่ดำเนินชีวิตประจำวันกันอยู่ถูกภาพที่บุกมากะทันหันนั่นทำให้ใกลัวจนหมด
คนนับไม่ถ้วนมองเบื้องฟ้าอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าเกิดเื่ใดขึ้นบนนั้น
“สำนักเ้าเมืองจับกุมหญิงมารอับแสง คนที่ไม่เกี่ยวข้องรีบออกให้ห่างจากแดนม่านหมอกพันเมตรขึ้นไป มิเช่นนั้นแล้ว จะต้องโทษสมรู้ร่วมคิด” เสียงตวาดดั่งฟ้าผ่า เคร่งครัดและกำแหงหาใดปานดังจากเวหา ส่งเสียงสะท้อนไปทั่ว
ผู้คนโกยอ้าวกันจ้าละหวั่น
เ่ิูสีหน้าเปลี่ยน สิ่งที่เขากะเกณฑ์ไว้ก่อนหน้าเกินขึ้นจริงเสียแล้ว
มาเร็วเสียจริง
เด็กน้อยกำลังอยู่ในภวังค์สิ้นสติ หวังเจี้ยนหรูแม้พลังจะกล้าแกร่ง แต่นางคนเดียวจะต่อกรกับระดับสูงของทั้งเมืองนี้ได้หรือ?
“ข้าต้องกลับไป”
ปฏิกิริยาแรกของเ่ิูก็คือหันหลังกลับแล้วมุ่งตรงสู่แดนม่านหมอกแช่มช้าในทันที
บางทีอาจมีอันตรายได้ แต่เ่ิูไม่มีทางนั่งงอมืองอเท้า หรือนึกอุตริไม่คิดจะทำอะไรเลยแน่นอน
ทว่าเมื่อเดินมาไม่ถึงร้อยเมตร ก็มีพลทหารสวมเกราะดำของกรมบรรพตทมิฬยืนขึ้น คนที่เป็หัวหน้าสวมเกราะบังหน้า เสื้อเกราะแ่า สายตาส่งรังสีออกมาชัดเจน เขายกมือปราม “หยุด! เ้าเป็ใคร ทางนี้ไม่ต้อนรับ รีบกลับไปเร็วๆ”
เ่ิูหยุดฝีเท้า
“ฮึ ดูท่าทีลับๆ ล่อๆ ของเ้าแล้ว หรือจะกลายเป็สายสืบของหญิงมาร? เปิดเสื้อคลุมซิ!” พลทหารเกราะดำอีกคนกล้ำกรายเข้ามา
เ่ิูลังเลเล็กน้อย เขาตวัดมือยื่นในอากาศ กระบี่ฉ่าวชางซึ่งแช่อยู่ในน้ำพุิญญาตาที่สองสั่นไหวเล็กๆ จิตสังหารบังเกิด ลงมือในพริบตา...
ตอนนั้นเอง...
ฟิ้ว!
ไอดาบแวววาวพุ่งเสียดมาจากที่ไกลๆ
แสงดาบดั่งฟ้าแลบ ปิดบังอากาศธาตุซึ่งหิมะโปรยปราย แสงอันไร้ที่สิ้นสุดเติมเต็มพื้นที่แห่งใต้หล้า
ร่างหนึ่งลอยคว้างกลางนภา
หวังเจี้ยนหรู
เซียนกระบี่หญิงบันลือโลกผู้ผ่าเวหาและหันหลังให้หมู่มนุษย์
นางลงมือจนได้
บัดนั้นเองที่ความสว่างไสวแห่งใต้หล้าเหมือนจะถูกสีสันของดาบนี้ขโมยไปจนสิ้น
“วันนี้ข้าไม่ใคร่จะเปิดเทศกาลฆ่าสักเท่าใด กลับไปเสียเถอะ” น้ำเสียงของนางแม้จะเรียบสงบแต่ก็แฝงความเยือกเย็นเบาบางด้วย น้ำเสียงเป็เช่นเดียวกับกระบี่ มีพลังบางอย่างที่รังคนหวั่นกลัวนัก
“ฮ่าๆ หลงระเริง แค่อิสตรีอ่อนแอ ยังกล้ามาแส่เื่ของสองเผ่ากับนครอันธการอีก!”
เสียงอวดดีและพาลนักดังขึ้นมา ชายกำยำสวมเกราะที่เต็มไปด้วยแสงสีดำไหลเวียน เดินเข้ามาหาทีละก้าวๆ กลางอากาศ รอบกายพันด้วยคลื่นปราณอันน่ากลัว รอยคลื่นที่ตามองเห็นกระจายออกมาจากตัวเขา ด้านหลังมีนายกองอีกสิบคนเหยียบความว่างเปล่าด้วยเช่นกัน พวกนั้นคอยอารักขาเขาไว้ ดั่งเทพาเสด็จลงมาจาก์ เปลวชั่วสาดรังสีไปทั่ว
เขาคนนี้คือบุคคลอันดับหนึ่งของกองพลทิศทักษิณ แม่ทัพผู้นำกองพลเฉินจิ่วซิง
ในรั้วเมืองลู่ิแห่งนี้ เฉินจิ่วซิงเป็ผู้กุมอำนาจในกรมบรรพตทมิฬ เป็รองเพียงเ้าเมืองผู้เดียวเท่านั้น เป็ใหญ่เหนือคนร้อยล้าน เป็ผู้มีอำนาจที่แท้จริง คนโฉดผู้เป็ที่เกรงขามในนครมายี่สิบกว่าปี กล่าวกันว่าเป็พระญาติของราชวงศ์ พลังกล้าแกร่ง กระทืบเท้าทีเดียว ทั้งเมืองเป็ต้องสั่นสามรอบติด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้