แม้ว่าฮองเฮาจะไม่มีพระราชโอรส แต่ด้วยตำแหน่งฐานะอันสูงส่ง ผู้ใดก็ไม่อาจล่วงเกินได้ ต่อไปไม่ว่าองค์ชายพระองค์ไหนจะขึ้นสืบต่อราชบัลลังก์ พระนางก็ยังคงดำรงฐานะไทเฮา เบื้องหน้าที่พระนางไร้พระราชโอรสก็เป็การหลีกห่างจากาการแย่งชิงอำนาจของเหล่าองค์ชาย แต่ไม่ว่าผู้ใดจะอัญเชิญพระนางขึ้นเป็ไทเฮา จวนติ้งกั๋วกงก็จะยังคงปลอดภัยไร้ข้อกังขา
แต่สิ่งเหล่านี้เป็เพียงสิ่งที่กล่าวขวัญกันเบื้องหน้าเท่านั้น ส่วนรายละเอียดแท้จริงเป็เช่นไร กลับไม่มีใครรู้ชัด สตรีที่ไร้บุตรในวังหลังถือเป็จุดอ่อน เหมือนเช่นไทเฮาพระองค์ปัจจุบัน แม้ว่าจะทรงได้รับเกียรติยกย่องขึ้นเป็ไทเฮา แต่เนื่องจากไม่มีพระราชโอรสให้พึ่งพา จึงไม่มีอำนาจในการควบคุมวังหลัง ได้แต่หันหน้าเข้าหาธรรมะ สวดมนต์ไหว้พระให้จิตใจสงบ
โม่เสวี่ยถงมุ่นคิ้วเล็กน้อย คำพูดของหลิงิเยี่ยนส่อเจตนายั่วยุหาเื่อย่างเห็นได้ชัด ตนเองเพิ่งเข้ามาเมืองหลวงจะไปล่วงเกินนางได้อย่างไร วันนี้ก็เพิ่งมาร่วมงานเลี้ยงเข้าสังคมเป็ครั้งแรก อีกทั้งยังเป็งานที่จัดขึ้นในวังหลวง หากมีเื่ปะทะคารมกับหลิงิเยี่ยนก็อาจถูกคนจ้องจับผิดได้ และในเวลาเดียวกันก็อาจตกเป็ที่ครหาว่ามีจิตใจคับแคบ นิสัยอวดดีและหยิ่งทะนง
หากมีเื่ไปถึงพระเนตรพระกรรณของฮองเฮาล่ะก็ ย่อมไม่เป็ผลดีต่อตนเอง แต่หากอดทนไม่ตอบโต้ ผู้คนก็จะรู้สึกว่านางเป็คนขี้ขลาดตาขาว อ่อนแอรังแกง่าย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนยากแก่การตัดสินใจทั้งสิ้น จะต้องมีบางอย่างที่ทำให้หลิงิเยี่ยนผู้ซึ่งไม่เคยความแค้นใดกับนาง ทำเื่เช่นนี้ออกมาได้ นางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็พบเงาร่างที่คุ้นเคยสวมอาภรณ์สีชมพูยืนอยู่ตรงูเาจำลองซึ่งอยู่ไม่ไกล
โม่เสวี่ยิ่ปรากฏตัวแล้ว!
ริมฝีปากผลิยิ้มงดงามอ่อนโยน ตั้งสมาธิแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่สาวทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลยเ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหนูผู้นี้รู้จักข้าได้อย่างไร มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ทุกคนต่างหันไปมองหลิงิเยี่ยนอย่างนึกแคลงใจ แม้ว่าพวกนางจะคาดเดาได้ว่าสตรีผู้นี้คือบุตรีภรรยาเอกผู้ไร้ปัญญาความสามารถของจวนโม่ผู้นั้น แต่เหตุใดหลิงิเยี่ยนจึงมั่นใจว่าใช่ั้แ่แรกเห็น ฟังจากคุณหนูสามผู้นี้กล่าวมา เห็นชัดว่าไม่รู้จักกับหลิงิเยี่ยนมาก่อน เช่นนั้นนางรู้ว่าสตรีผู้นี้คือคุณหนูสามโม่มาจากที่ใดเล่า
เพิ่งมาร่วมงานเลี้ยงครั้งแรกก็ถูกผู้อื่นเข้ามาเขม่น หลิงิเยี่ยนขึ้นชื่อลือชาเื่ความเย่อหยิ่งจองหองชอบหาเื่คนโดยไร้เหตุผลอยู่แล้ว จึงเริ่มมีบางคนมองโม่เสวี่ยถงอย่างเห็นใจที่อยู่ดีๆ ก็ถูกผู้อื่นเข้ามาหาเื่
คุณหนูสามโม่ผู้นี้ถูกคนหมายหัวเล่นงานเข้าแล้ว!
“นึกว่าไม่มีใครรู้จักเ้าจริงๆ หรือ คุณหนูใหญ่โม่เป็คนบอกข้าเองว่าเ้าเป็น้องสาวบุตรภรรยาเอกของนาง หรือว่าจะไม่ยอมรับ?” หลิงิเยี่ยนเชิดหน้าอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงเยาะหยัน ั้แ่รู้ว่าสตรีผู้นี้คือคุณหนูสามสกุลโม่ ผู้ซึ่งไปสะกิดถูกแผลเก่าของตนขึ้นมา ทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงไปถอนหมั้นนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คิดแล้วก็คับแค้นใจเหมือนถูกไฟเผา
เื่นางสั่งให้รถม้าพุ่งชนคนก็ผ่านไปนานแล้ว จวนติ้งกั๋วกงก็พยายามปิดให้เื่นี้ให้เงียบเชียบมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากโหยวเยวี่ยเฉิงได้พบกับเหตุการณ์รถม้าของคุณหนูสามโม่พุ่งชนคนที่หน้าประตูเมือง ก็ให้คนมาถอนหมั้นนางถึงจวนติ้งกั๋วกง ด้วยเหตุผลนี้จะไม่ให้สตรีที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างหลิงิเยี่ยนแค้นใจจนแทบกระอักได้อย่างไร
นางหลงรักโหยวเยวี่ยเฉิงมาั้แ่เล็ก มีสถานะเป็คู่หมั้นของเขามานานแล้ว คอยตามติดอยู่ข้างกายตลอดเวลา ่ก่อนเนื่องจากใช้อำนาจสั่งให้รถพุ่งชนคน จึงถูกโหยวเยวี่ยเฉิงตั้งแง่รังเกียจ วันที่เขาออกไปเที่ยวนอกเมืองก็ไม่ได้พานางไปด้วย หลังจากกลับมาแล้วก็มายกเลิกการแต่งงานระหว่างสองตระกูลอย่างไม่เกรงใจ วันนี้หลิงิเยี่ยนจึงมาด้วยความแค้นแน่นอก
ตั้งใจจะมาคิดบัญชีกับโม่เสวี่ยถงโดยตรง หากไม่ใช่รถม้าของสตรีผู้นี้ไปชนคน มีหรือที่โหยวเยวี่ยเฉิงจะคิดถึงเื่ราวครั้งก่อน จนตัดสินใจทำเื่โหดร้ายเช่นนี้ ความผิดทั้งหมดล้วนมาจากสตรีผู้นี้คนเดียว ตนเองจะปล่อยนางไปง่ายๆ ได้อย่างไร
“พี่หญิงใหญ่ให้เ้ามาหาเื่ แล้วยังบอกว่าข้าอยู่ที่นี่? เป็ไปไม่หรอก นางไม่ใช่คนแบบนั้น” โม่เสวี่ยถงแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจความมาดร้ายที่เผยชัดอยู่ในคำพูดของหลิงิเยี่ยน แสดงสีหน้าหวาดหวั่นและหันหลบไปกัดริมฝีปาก ดวงตาราวกับคลุมด้วยม่านหมอก ละม้ายคนที่ถูกให้ร้ายแต่ตนเองไม่อยากเชื่อว่าเป็เช่นนั้น
“ทำไม กลัวว่าพี่สาวจะมาแฉเื่ของเ้าล่ะสิ กลัวขึ้นมาแล้วใช่ไหม พี่สาวเ้า ข้าเป็คนพาเข้าวังมาเอง เพื่อฉีกหน้ากากจอมปลอมของเ้าออกอย่างไรเล่า ดูซิว่าต่อไปยังกล้าคนชนตายแล้วยังไม่รับผิดชอบอีกไหม นึกว่าเมืองหลวงไม่มีกฎหมายหรือไร”
เมื่อเห็นนางมีท่าทางขลาดกลัว หลิงิเยี่ยนก็ยิ่งลำพองใจ เชิดหน้าขึ้นอย่างพึงพอใจราวกับมาทวงถามหาความยุติธรรม โดยลืมไปว่าแท้จริงแล้วตนเองต่างหากที่เป็คนชนคนตาย
พอคำกล่าวนี้หลุดออกมาจากปาก สายตาของทุกคนล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน
โม่เสวี่ยิ่ที่ซุ่มสังเกตการณ์อยู่ขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคือง ลอบด่าในความโง่งมของหลิงิเยี่ยนอยู่ในใจ ไปพูดกับผู้อื่นเช่นนั้นก็เท่ากับเป็การชี้ชัดว่านางมีความคิดไม่ดีต่อน้องสาวบุตรภรรยาเอก จึงแล่นมาถึงวังหลวงเพื่อทำลายชื่อเสียงโดยไม่สนใจความเป็พี่น้อง แม้น้องสาวบุตรภรรยาเอกจะมีความผิด ก็ไม่ใช่เื่ที่พี่สาวบุตรอนุภรรยาจะยกขึ้นมาว่ากล่าวได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะผิดจริง แทนที่จะปิดประตูแก้ไขปัญหากันเองภายในบ้าน กลับวิ่งแจ้นมาเปิดโปงให้อับอายขายหน้าผู้คน เสียหน้ากันทั้งจวนโม่ การกระทำเช่นนี้ไหนเลยจะสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของสตรีใจกว้าง รู้จักกาลเทศะที่ตนเองเพียรรักษามาโดยตลอด ยิ่งเห็นสายตาเคลือบแคลงใจของโหยวเยวี่ยเฉิงยามที่หันมามองตนเอง ในใจก็ยิ่งขุ่นเคืองจนอยากจะเข้าไปฉีกปากเหม็นๆ ของหลิงิเยี่ยนให้ขาดเป็ชิ้นๆ
โหยวเยวี่ยเฉิงเป็ผู้ใด ิกั๋วกงซื่อจื่อ! แตกต่างจากสถานะเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อของซือหม่าหลิงอวิ๋นโดยสิ้นเชิง เขาเป็คนในตระกูลสูงศักดิ์อย่างแท้จริง มิใช่คนที่เหลือเพียงชื่อตำแหน่งปะหน้าไว้เท่านั้น ระหว่างพวกเขาสองคนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เมฆกับโคลนตม ิกั๋วกงซื่อจื่อผู้องอาจหล่อเหลาผู้นี้ต่างหากเล่า ที่เป็เป้าหมายของโม่เสวี่ยิ่มาั้แ่ต้น แต่มีหลิงิเยี่ยนคอยขวางอยู่ นางจึงไม่กล้าทำอะไรเกินเลย ได้แต่แอบทอดสะพานแสดงให้เขาเห็นถึงความนุ่มนวลอ่อนโยน แต่นางก็แน่ใจว่าทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงเกิดความรู้สึกดีกับตนเองได้
แต่หลังจากเกิดเื่ที่หน้าประตูเมืองคราวก่อน นางกลับรู้สึกได้ชัดเจนว่าโหยวเยวี่ยเฉิงเริ่มมึนตึงกับนาง
ยามนี้นางไม่อาจให้ปากเหม็นเน่าของหลิงิเยี่ยนมาทำลายชื่อเสียงของตนได้อีก
“เอ๊ะ... ข้างล่างนั่นคุณหนูสามของพวกเราใช่หรือไม่ เกิดเื่อะไรขึ้น มีใครรังแกคุณหนูสามหรือเปล่า” นางแสร้งดึงโม่จิ่นเข้ามาถามอย่างร้อนใจ ทำเป็ไม่เห็นสายตาเคลือบแคลงสงสัยของโหยวเยวี่ยเฉิงที่มองอยู่ด้านข้าง
“เป็คุณหนูสามเ้าค่ะ ดูเหมือนว่าคุณหนูหลิงจะไปพูดอะไรบางอย่างกับนาง คนมุงดูเยอะมาก บ่าวก็เห็นไม่ชัดเ้าค่ะ” โม่จิ่นหัวไวรีบเขย่งเท้ามองแล้วตอบกลับ
“คุณหนูหลิงิเยี่ยนหรือ ไม่ใช่ว่านางไปหาเื่รังแกคนอีกแล้วนะ” คำกล่าวนี้เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวล
“แน่นอนเลยเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเรารีบไปเถอะ อย่าให้ผู้อื่นมารังแกน้องสามได้” โม่เสวี่ยิ่ลากโม่จิ่นเดินลงไปข้างล่าง อารามรีบร้อนเกินไป ชายกระโปรงจึงไปเกี่ยวกับชะง่อนหินูเาจำลอง เสียหลักยืนไม่อยู่ล้มไปด้านข้าง โหยวเยวี่ยเฉิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางมาตลอดจึงเอื้อมมือมาช่วยประคองไว้ ความเคลือบแคลงในดวงตาหายไป เอ่ยถามด้วยความใส่ใจ “ไยต้องรีบร้อน เป็อย่างไรบ้าง”
โม่เสวี่ยิ่หน้าแดงเถือก คิดจะลุกขึ้นยืนให้มั่นคง แต่ใครจะรู้นางขยับตัวเร็วเกินไป ทำให้ข้อเท้าพลิก ทั้งร่างจึงโถมเข้าสู่อ้อมอกของโหยวเยวี่ยเฉิงโดยไม่ตั้งใจ
“ข้าไม่เป็ไร” ใบหน้าเห่อร้อนแดงจัดราวกับผลตำลึงสุก ท่าทางอยากจะลุกขึ้นยืนจนมือเท้าแทบจะพันกัน แต่ไร้เรี่ยวแรงชวนให้คนรู้สึกสงสาร
“เ้าไม่ต้องใจร้อน น้องสาวของเ้ามิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ถึงเข้าไปช่วยนางหนนี้ ไม่แน่ว่ายิ่งช่วยกลับยิ่งยุ่งไปใหญ่” ใบหน้าของโหยวเยวี่ยเฉิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่เห็นได้ยากยิ่ง
“น้องหญิงสามเพิ่งมาถึง สภาพจิตใจก็ไม่ค่อยดีนัก ข้ากลัวว่านางจะถูกรังแก” โม่เสวี่ยิ่อายจนหน้าแดงก่ำพยายามชี้แจง ั์ตาอ่อนโยนเผยให้เห็นความร้อนใจ ท่าทางหวาดวิตกของนางทำให้คนรู้สึกสงสาร
“เ้ากลัวนางถูกรังแก ดูจากท่าทางของนางแล้ว ถูกผู้อื่นรังแกบ้างก็ไม่เลวนักหรอก” โหยวเยวี่ยเฉิงแค่นเสียงเย็น ประคองนางให้ยืนอย่างมั่นคง พวกเขาอยู่ด้านข้างของูเาหินจำลอง ความเคลื่อนไหวเมื่อครู่ก็รวดเร็วคงไม่มีใครสังเกตมาทางนี้
โหยวเหวี่ยเฉิงรู้สึกไม่ถูกชะตากับโม่เสวี่ยถงเป็อย่างมาก หลักๆ ก็เนื่องมาจากนางทำให้เขาคิดถึงเื่รถม้าของหลิงิเยี่ยนชนคนตาย แม้ว่าตอนนั้นจะมั่นใจว่ามีคนปรักปรำนาง แต่เปลือกไข่ไม่มีรอยร้าวแมลงวันย่อมไม่ไต่ตอม ไม่แน่ว่าปรกตินางอาจเป็คนเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็เลยชักนำมาสู่หายนะฉากนี้
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยิ่ที่ดูอ่อนแอเปราะบาง คิดแต่จะออกไปปกป้องน้องสาวของตนเองให้ได้ จึงพานคิดไปว่าคุณหนูสามสกุลโม่ผู้นี้อาจเป็คนชอบก่อเื่ ไม่แน่ว่าอาจเป็สตรีเย่อหยิ่งจองหอง ไร้มารยาทประเภทเดียวกับหลิงิเยี่ยนก็เป็ได้ ก็ดี ร้ายกับร้ายมาเจอกัน คงจะได้ชมละครสนุกกันล่ะคราวนี้!
ยามนั้นจึงเดินค่อยๆ เดินไปเป็เพื่อนโม่เสวี่ยิ่
เขาไม่อนาทร โม่เสวี่ยิ่ก็ย่อมไม่ร้อนใจ บิดผ้าเช็ดหน้าเดินตามอย่างเอียงอายอยู่ด้านหลัง ดูคล้ายกับภรรยาตัวน้อยเดินตามหลังสามีเยี่ยงนั้น
บนหอสูงไม่ไกลจากที่นั่น แสงตะเกียงสว่างไสว ชายหนุ่มรูปงามล้ำเลิศสวมอาภรณ์สีม่วงยืนพิงราวกั้น ริมฝีปากไม่ดูใกล้เคียงกับรอยยิ้ม สายตาทอดมองไปที่โหยวเยวี่ยเฉิงและโม่เสวี่ยิ่ที่กำลังเดินลงจากูเาหินจำลองอย่างช้าๆ แล้วเลื่อนสายตากลับมามองโม่เสวี่ยถงที่ถูกผู้คนรุมล้อมอยู่ในที่แห่งนั้น มุมปากพลันกระดกสูงขึ้น
นิ้วมือที่เกาะอยู่บนราวกั้นยกขึ้นเล็กน้อย แล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ!
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้” องครักษ์เงารีบเข้ามาถามอย่างนอบน้อม
“ไปเอาตัวชายชราผู้นั้นมา แล้วพาลงไปข้างล่าง” เฟิงเจวี๋ยหร่านยกมือขึ้นเล็กน้อยด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พอได้สติคืนมาก็รีบหมุนตัวเดินลิ่วลงจากหอสูง
จะว่าไปแล้วองครักษ์ก็ไม่ค่อยเข้าใจองค์ชายของตนเท่าใดนัก ชายชราผู้นั้นถูกพาตัวมาตั้งหลายวันแล้ว เื่นั้นสำหรับเซวียนอ๋องแล้วไม่ถือว่าเป็เื่ใหญ่ ก็แค่คนคนหนึ่งที่ไปหลอกลวงผู้อื่นที่หน้าประตูเมืองเท่านั้นเอง เื่เล็กน้อยประเภทนี้องค์ชายเคยสนใจที่ไหน ปรกติเห็นแล้วก็หัวเราะเป็เื่ขบขัน แต่ครั้งนี้ไฉนจึงให้ไปพาตัวคนมา ทั้งยังสอบสวนด้วยตนเองอีก
ตาแก่นั่นก็ไม่ใช่คนปากแข็งเท่าไร แค่เห็นองค์ชายก็รีบสารภาพจนหมดเปลือกแทบไม่ต้องง้างปาก!
แต่ว่า... นี่มันเกี่ยวอันใดกับองค์ชายด้วยเล่า
ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่อาจหาเหตุผลที่เชื่อมโยงกันได้ องค์ชายจับคนมาขังหลายวันขนาดนี้ ยังไม่เห็นจะพูดว่าอะไร ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเขาก็ไม่กล้าถาม ได้แต่คาดเดาไปว่าถึงเวลาจำเป็คงเรียกใช้งานเอง แม้ภายนอกองค์ชายของตนเองจะดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ทำสิ่งใดก็ดูเหมือนคนเรื่อยเฉื่อยไม่จริงจัง บทจะเอาแต่ใจก็ไม่บันยะบันยัง ถึงขั้นเคยแผลงฤทธิ์ต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแม้แต่ฝ่าาก็ยังหมดปัญญาจะจัดการ แต่ตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายน่ากลัวเพียงใด มีแต่คนสนิทรับใช้ใกล้ชิดเช่นพวกเขาเท่านั้นที่รู้
“พี่หญิงใหญ่จะว่าร้ายข้าเช่นนั้นได้อย่างไร คุณหนูหลิงอย่ามากล่าวหากันผิดๆ ข้ากับนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา ย่อมไม่มีทางทำเื่เช่นนี้แน่” คำพูดของโม่เสวี่ยถงดูเหมือนจะแก้ตัวให้โม่เสวี่ยิ่ แต่คนฟังกลับยิ่งเกิดความแคลงใจต่อโม่เสวี่ยิ่มากขึ้น
เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นของตนเอง หลิงิเยี่ยนจึงกล่าวเสริมอย่างมาดมั่น “พี่สาวของเ้าเพิ่งจะบอกกับข้าเองว่า ท่าทางที่เ้าแสดงออกล้วนเป็การเสแสร้งทั้งสิ้น ให้ข้าระมัดระวังตัวหน่อย ความใจกว้าง นุ่มนวลอ่อนโยนอะไรล้วนเป็เื่หลอกลวงทั้งเพ”
ยิ่งเห็นใบหน้างดงามเฉิดฉันประดับด้วยดวงตาหวานซึ้งเป็ประกายราวกับหยดน้ำของโม่เสวี่ยถง หลิงิเยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกขัดตาและอิจฉาริษยา สตรีผู้นี้ถือดีอย่างไรชนคนแล้วกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนเองชนคนตายถูกโหยวเยวี่ยเฉิงถอนหมั้น โหยวเยวี่ยเฉิงมิใช่ว่าชมชอบสตรีที่ผดุงความยุติธรรมหรอกหรือ วันนี้นางจะพิสูจน์ตนเองให้เห็นสักครา
“พี่สาวของข้าไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น...” โม่เสวี่ยถงยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่รุมล้อม ดวงตาเผยแววหวาดกลัว ม่านน้ำตาปกคลุมรอบดวงตาดูอ่อนแอเปราะบางจนทำให้คนรู้สึกสงสาร กัดริมฝีปากกล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอึกสะอื้น แต่ก็ยังยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมรับ ทำให้คนยิ่งเห็นใจนางมากขึ้น และรู้สึกว่าคุณหนูหลิงผู้นี้ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้อื่น
“คุณหนูหลิง น้องหญิงสามของข้าไปล่วงเกินท่านตอนไหน หากนางมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ให้ข้าชดใช้ความผิดแทนนางได้หรือไม่” น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานปรากฏขึ้นจากด้านหลังกลุ่มคน ฝูงชนต่างเคลื่อนตัวเปิดทางให้ โม่เสวี่ยิ่ในชุดกระโปรงยาวสีชมพูปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน วันนี้นางบรรจงแต่งหน้ามาอย่างพิถีพิถัน ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนที่สั่งตัดมาเป็พิเศษ แพรพลิ้วลิ่วลมขับร่างระหงให้ดูงดงามอ่อนหวาน ดวงตาดั่งภาพวาด เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกดีได้
จะแสดงเป็พี่สาวแสนดีที่รักน้องสาวทั้งที หากโม่เสวี่ยิ่ไม่ปรากฏตัวออกมา ก็คงทำให้ผู้คนระแวงสงสัยแล้ว!