นางเย่กล่าว “พวกเด็กสาวที่ซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำกับซวี่ซวีต่างเห็นกันหมด เ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ!”
เมิ่งอู่มองออกไปข้างนอกก่อนกล่าว “อ้อ เช่นนั้นพวกนางอยู่ที่ใด เหตุไฉนถึงไม่มาเป็พยานให้เมิ่งซวี่ซวีเล่า?”
นางเย่สำลัก หัวหน้าหมู่บ้านจึงขอให้คนไปเชิญเด็กสาวที่ซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำวันนี้มาสอบถามข้อเท็จจริง
โดยธรรมชาติแล้วเด็กสาวเ่าั้ย่อมไม่มา ผู้ที่เดินทางมาไม่กี่คนล้วนเป็ผู้ปกครองของพวกนาง
ยามอยู่ริมแม่น้ำ เมิ่งอู่พูดถึงเื่ราวของเมิ่งซวี่ซวีอย่างออกรสออกชาติใกล้เคียงความจริงมาก ทั้งยังเอ่ยถึงหวังสี่ซุ่น เด็กสาวในหมู่บ้านเ่าั้จึงประหวั่นพรั่นพรึงจนมิกล้ากลับถูกเป็ผิด หากภายหลังเมิ่งอู่คิดแก้แค้นโดยพูดจาเหลวไหลไปทั่วหมู่บ้าน แล้วพวกนางยังจะรักษาชื่อเสียงไว้ได้อีกหรือ?
ดังนั้นเมื่อถูกถาม พวกนางจึงเล่าเื่ราวทั้งหมดให้ผู้ปกครองฟังตามจริง ผู้ปกครองจึงอธิบายเื่ราวเ่าั้ที่นี่อีกครั้ง
ปรากฏว่าเมิ่งซวี่ซวีด่าทอเมิ่งอู่อยู่ริมแม่น้ำ นางโมโหโกรธาจนตัวสั่นก่อนรีบพุ่งเข้าไปจะทุบตีเมิ่งอู่ เป็ผลให้นางพลัดตกน้ำเองโดยไม่ทันระวัง
ชาวบ้านต่างพากันมองเมิ่งอู่ด้วยสายตาหลากหลาย
นางเย่หาได้ตื่นตระหนกไม่ นางหรี่ตามองเมิ่งอู่อย่างเหี้ยมโหด เอ่ยว่า “แต่หลังจากนั้นเ้าก็ไล่คนที่ซักผ้าอยู่แถวนั้นไปหมด เ้าคิดแก้แค้นจึงกดซวี่ซวีลงน้ำ ไม่ยอมให้นางขึ้นมา!”
เช่นนั้นเื่ราวต่อจากนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้แล้ว
เมิ่งอู่ยกมุมปากนิดๆ ขึ้นข้างหนึ่ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ต่อจากนั้นข้าก็ซักผ้าของตนเองอย่างสงบสุข บังเอิญท่านลุงหลิวจูงวัวผ่านมา เขาเป็พยานให้ข้าได้”
หัวหน้าหมู่บ้านจึงสั่งให้คนไปสอบถามลุงหลิว ปรากฏว่าเป็อย่างนั้นจริง
หากคิดจะทำให้คนจมน้ำตายจริงๆ ไหนเลยจะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ แต่ยามที่เมิ่งอู่ทักทายลุงหลิว นางกลับมีท่าทางสงบนิ่งสบายๆ บนผิวน้ำมีเพียงเสื้อผ้าลอยอยู่
พวกชาวบ้านกล่าว “ข้าว่านะเื่นี้ช่างมันเถิด เหล่าเด็กสาวทะเลาะกัน พูดจาไม่ดีใส่กันก็เป็เื่ธรรมดา อย่าเอาจริงเอาจังเกินไป มิเช่นนั้นจะทำลายมิตรภาพระหว่างกัน”
ยิ่งกว่านั้นชาวบ้านหลายคนรับงานจากช่างไม้หลี่ ต้องมาช่วยสร้างเรือนให้ครอบครัวของเมิ่งอู่ เมื่อสร้างเรือนก็มีอาหารให้กิน มิหนำซ้ำยังได้รับเหรียญทองแดงทุกวัน แน่นอนว่ายามนี้ย่อมต้องเข้าข้างเมิ่งอู่
นางเย่เห็นว่าเื่นี้ไม่สำเร็จ นางก็มิได้ตระหนก กลับเหลือบมองเสื้อผ้าที่ตากอยู่หน้าเรือนของเมิ่งอู่ก่อนกล่าว “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะไม่เอาความเื่นี้แล้ว แต่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเ้าคะ หากสตรีในหมู่บ้านนี้ไม่รักษาจรรยาของสตรี ลักขโมย ค้าประเวณี ประพฤติตนเสื่อมเสีย สมควรลงโทษเช่นไร?”
หัวหน้าหมู่บ้านทำสีหน้าผดุงความยุติธรรม “แน่นอนว่าต้องลงโทษด้วยการจับถ่วงน้ำ”
นางเย่หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว “เมิ่งอู่ เ้าเข้าเมืองไปครั้งเดียว กลับมาจู่ๆ ก็มีเงินซื้อข้าวของ หนำซ้ำยังมีเงินสร้างเรือนใหม่ พวกเราไม่สนใจว่าเ้าทำเื่ไร้ยางอายอะไรในเมือง แต่เ้ากลับนำความโสมมมาสู่หมู่บ้าน ทำลายบรรยากาศในหมู่บ้าน พวกเราต้องจัดการ!”
เวลานี้นางเซี่ยหน้ามืดตาลาย ตะคอกใส่นางเย่ “เ้า… เ้าหมายความว่าอย่างไร! อาอู่เข้าเมืองแล้วอย่างไร เงินที่นางหามาได้ล้วนเป็เงินสะอาดบริสุทธิ์!”
นางเซี่ยยังไม่รู้ว่าคนปากมากในหมู่บ้านเอาเื่นี้ไปพูดต่ออย่างไร
ชาวบ้านส่วนใหญ่คิดแบบนี้ เป็เื่ธรรมดาที่นางเซี่ยกับบุตรสาวจะขัดสน หากพวกนางไม่อัตคัดขัดสน แน่นอนว่าต้องทำเื่ไม่ดีไม่งามบางอย่างเป็แน่
ท้ายที่สุดแล้วนางเซี่ยกับบุตรสาวล้วนเป็สตรี ชาวบ้านจึงคิดว่านอกจากรูปโฉมและเรือนร่างแล้ว สตรีจะใช้อันใดหาเงินเล่า?
นางเย่กล่าวเหน็บแนมนางเซี่ย “น้องสะใภ้ เ้ายังไม่รู้กระมังว่าทุกคนเขาพูดกันทั่วแล้วว่า เมิ่งอู่บ้านพวกเราเข้าเมืองไปขายเรือนร่างให้บุรุษในเมือง ถึงได้เงินสกปรกพวกนี้มา”
“เ้า!” นางเซี่ยเดือดดาลสุดขีดจนตัวสั่น ใบหน้าซีดเผือด แต่แววตากลับคมกริบ นางพูดอย่างดุดัน “ผู้ใดเป็คนพูด พวกเ้ารู้เื่อันใดบ้าง พวกเ้ามีสิทธิ์อะไรถึงพูดแบบนี้!”
เมิ่งอู่ดึงแขนนางเซี่ยเบาๆ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ท่านแม่ สนใจพวกเขาไปไย ข้าหาเงินมาได้อย่างไร ทำให้ครอบครัวของพวกเราดีขึ้นได้อย่างไร แล้วเกี่ยวอันใดกับผู้อื่นเล่า? หากผู้อื่นทนไม่ได้ที่เห็นพวกเรามีชีวิตที่ดีกว่า เลยใส่ร้ายป้ายสีสารพัดให้ชื่อเสียงด่างพร้อย เพื่อแสวงหาความสมดุลในใจตนเอง ก็ปล่อยพวกเขาไปเถิดเ้าค่ะ”
คนพวกนี้แสร้งทำเป็ขุ่นเคือง กล่าวหาอย่างชอบธรรมว่าเมิ่งอู่ว่าทำเื่ไร้ยางอาย แท้จริงแล้วในใจอิจฉาริษยามากเพียงใด เกลียดชังคนมีเงินหรือความไม่เท่าเทียมมากเพียงใด มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้แก่ใจตนเอง
นางเย่แค่นเสียง “ไม่ต้องพูดถึงเื่สกปรกพวกนั้นแล้ว นั่นมันอะไร?” นางยื่นมือออกไปแล้วชี้นิ้วไปที่เสื้อผ้าของเมิ่งอวิ๋นเซียวที่ตากอยู่ในลานเรือน “นั่นเป็เสื้อผ้าของบุรุษ!”
เมิ่งต้ากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ “นั่นเป็เสื้อผ้าของน้องชายรองของข้า น้องรองข้าไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว ผู้ใดใส่เสื้อผ้าของเขา?”
นางเซี่ยหน้าซีดเผือดลงทีละน้อย
นางเย่ยิ้มกล่าว “มีเพียงบุรุษเท่านั้นที่จะสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ เ้ายังยืนกรานอีกหรือว่าไม่ได้ซ่อนบุรุษไว้ในเรือน? ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าว่าเมิ่งอู่ปากแข็งนัก สู้เข้าไปค้นหาบุรุษที่อยู่ข้างในออกมาดีกว่า มีทั้งคนและหลักฐานครบถ้วน ดูสิว่านางจะเล่นลิ้นอย่างไร!”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยทั้งสีหน้าย่ำแย่ “เมิ่งอู่ เ้าจะมอบคนผู้นั้นออกมาเอง หรือจะให้ชาวบ้านเข้าไปค้น?”
นางเซี่ยจับชายเสื้อของเมิ่งอู่ไว้แน่น เมิ่งอู่ตบมือนางเบาๆ อย่างปลอบประโลม ก่อนยิ้มกล่าว “ในห้องข้ามีบุรุษคนหนึ่งพำนักอยู่จริงเ้าค่ะ”
นางเย่กล่าวอย่างมีความสุข “พวกเ้าได้ยินแล้วนะ กระดาษมิอาจห่อไฟ นางยอมรับกับปากตนเองแล้ว! ยังไม่รีบจับนางแพศยากับชู้รักนี่ไปถ่วงน้ำด้วยกันอีก!”
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง ยังไม่รอให้หัวหน้าหมู่บ้านออกคำสั่ง ก็มีเสียงบุรุษทุ้มนุ่มน่าฟังมากดังขึ้นจากในห้อง ราวกับสายลมที่พัดผ่านพืชผลและใบไม้เขียวขจีในทุ่งนา พาให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นแจ่มใส เขาเอ่ย “ข้ากับอาอู่รักใคร่ชอบพอกัน สองใจผูกพัน หนึ่ง นางมิได้ลักลอบคบชู้กับข้า สอง นางก็มิได้ขายเรือนร่างให้ข้า กลับเป็ข้าที่ยอมมอบตนเองให้นาง เหตุใดจึงเรียกว่าลักขโมยและค้าประเวณีเล่า?”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้างนอก รวมถึงนางเซี่ยต่างตกตะลึงพรึงเพริด
มุมปากเมิ่งอู่เผยยิ้มโดยไม่ตั้งใจ นางพอใจกับความร่วมมือแบบนี้ของอินเหิงยิ่งยวด
นางเย่ะโถาม “เ้าเป็ผู้ใดกันแน่?”
อินเหิงกล่าวผ่านประตู “แน่นอนว่าข้าเป็สามีแต่งเข้าของอาอู่ หากสามีภรรยาพำนักอยู่ด้วยกันถือว่าผิดประเวณี เช่นนั้นเ้ากับเมิ่งต้าไม่เพียงอาศัยอยู่ด้วยกัน ยังให้กำเนิดบุตรธิดาด้วย มิใช่ว่ามีความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าหรือ?”
ปกติแล้วบุรุษที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงมักไม่ค่อยเต็มใจเอ่ยถึงเื่นี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่กล่าวอย่างมั่นใจและไม่ละอายใจ
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของนางเย่เปลี่ยนเป็เขียวสลับขาว
เป็ไปไม่ได้ที่อินเหิงจะหลบอยู่ในห้องตลอดเวลาโดยไม่มีคนพบเห็น ในเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว เมิ่งอู่จึงเดินไปเปิดประตูเรือนพลางกล่าวว่า “นี่คือเ้าบ่าวเด็กของข้า”
เมื่อประตูเรือนค่อยๆ เปิดออก ภาพภายในห้องก็ปรากฏขึ้นทีละน้อย
แสงสายัณห์สาดส่องเข้าไปในห้อง แสงสีทองส่องประกายอาบย้อมไปทั่วพาให้ห้องสว่างขึ้นโดยพลัน ค่อยๆ เผยให้เห็นบุรุษที่นั่งพิงผนังสวมชุดขาวราวหิมะและน้ำค้างแข็ง เรือนผมดุจหมึกควัน ดวงตาทั้งคู่อ่อนจางและเ็า
ชาวบ้านเงียบงันไปเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดส่งเสียงก่อน
ในสิบหลี่แปดหมู่บ้านไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นบุรุษรูปงามเลิศล้ำจนเลือนหายไปจากโลกมนุษย์เช่นนี้มาก่อน ดูคล้ายเขาเพียงรวบพัสตราภรณ์แล้วนั่งลง [1] ตามแต่ใจ ยิ่งคล้ายเซียนชุดขาวมาเยือนโลกนี้ สูงส่งและสง่างาม
ไม่นานก็มีคนได้สติกลับคืนมา เอ่ยถาม “เขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน เขาเป็ผู้ใด มาจากที่ใด?”
เมิ่งอู่กล่าว “เขาชื่อหวังสิง ตกลงมาจากฟ้า ข้าเก็บเขากลับมา เขาได้มอบตัวให้ข้าแล้ว มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
……….
[1] “เพียงรวบพัสตราภรณ์แล้วนั่งลง” เป็กลอนท่อนหนึ่งในบทกวี “ความฝันยามรุ่งอรุณ” ประพันธ์โดยหลี่ชิงจ้าว กวีหญิงสมัยราชวงศ์ซ่งใต้