วรรณารีสะดุ้งตื่นใน่หัวรุ่งพร้อมกับอาการหอบถี่และเหงื่อผุดซึมเต็มตัวคล้ายกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักมาก็ไม่ปาน
หญิงสาวค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างลำบากก่อนจะกระเถิบไปนั่งพิงกำแพงห้องอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ตื่นแล้วก็รีบลุก ตอนนี้ตีห้าแล้ว เดี๋ยวไม่ทันรถ” เสียงแหบของหญิงสูงวัยดังขึ้นที่หน้าห้อง
วรรณารีตอบกลับไปเสียงเบา “ขอล้างหน้าแปรงฟันสิบนาทีนะป้า” ว่าแล้วเธอก็เดินไปคว้าอุปกรณ์ล้างหน้าที่ใส่ขันไว้ตรงมุมห้องและเดินออกไปหลังบ้านเพื่อชำระล้างตัวเอง
สายเห็นใบหน้าซีดเผือดอย่างคนที่นอนหลับไม่สนิทของเธอก็ได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองเช่นกัน
-----
ใน่เวลาหกโมงเช้าเช่นนี้อาจดูเช้าตรู่สำหรับใครหลาย ๆ คน แต่ไม่ใช่สำหรับกลุ่มคนหลายสิบชีวิตที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางูเาขยะกองมหึมาของจังหวัดสมุทรปราการ
ผู้คนหลายสิบคนเหล่านี้ต่างสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด รวมถึงใบหน้าของตนเองที่ปิดจนเกือบมิดเหลือแค่ดวงตาเท่านั้น
พวกเขาทั้งหลายต่างถือกระสอบฟางไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือไม้แหลมสำหรับคุ้ยเขี่ยบรรดาขยะที่ทับถมกันอยู่เพื่อหาสมบัติเอาไปขายแลกเศษเงินสำหรับประทังชีวิต
“ไหวหรือเปล่าวรรณ ท้องตั้งหกเดือนแล้ว วันนี้ก็ร้อนด้วย” เสียงถามอย่างเห็นใจดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ไหวพี่” วรรณารีหันใบหน้าที่มีแต่เหงื่อมาตอบสมร เพื่อนร่วมอาชีพที่ใจดีคนหนึ่ง
“เหงื่อเต็มเชียว เขาบอกคนท้องจะร้อนกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ไปนั่งพักสักสิบนาทีเถอะ ให้เหงื่อแห้งก่อนแล้วค่อยมาทำต่อ วันนี้มีขยะมาลงเยอะยังไงก็ไม่มีคนแย่งไปหมดหรอก”
วรรณารีพยักหน้าน้อย ๆ เพราะรู้สึกถึงสภาพร่างกายที่เริ่มทนไม่ไหวเช่นกัน เธอหิ้วกระสอบฟางส่วนของตนขึ้นมาและปลีกตัวมานั่งพักที่ข้างพงหญ้าสูง ระหว่างนั่งพักสายตาเธอก็มองไปรอบ ๆ ูเาขยะที่กลายเป็แหล่งรายได้แหล่งเดียวของเธออย่างสะท้อนใจไปด้วย
หญิงสาวมองนิ่งไปทีู่เาขยะเบื้องหน้า แต่ใจนั้นกลับเหม่อลอยคิดถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน
เธอวิ่งออกจากบ้านที่เคยเป็เรือนหอของตัวเองด้วยใจที่แตกสลาย
ระหว่างนั่งรถเมล์ไปอย่างไร้จุดหมาย สายตาก็เหลือบไปเห็นบึงขนาดใหญ่ข้างทาง เธอรีบลงจากรถและมุ่งไปที่บึงกว้างแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล
ในเมื่อชีวิตนี้มันยากนักก็ไม่จำเป็ต้องใช้ชีวิตให้ยุ่งยากอีกต่อไป!
ขณะที่ร่างกายกำลังจมมิดลงก้นบึงวรรณารีก็รู้สึกถึงแรงฉุดและกระชากร่างของเธอให้พ้นจากผิวน้ำ แม้จะดิ้นรนขัดขืนสักเพียงใดแต่ก็ไม่อาจทานแรงของคนที่ทำงานหนักมาโดยตลอดอย่างสายได้ เธอจึงโดนลากขึ้นบนบกและไปโรงพยาบาลอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด
แต่แล้วก็เหมือนโดนฟ้าผ่า ผลตรวจร่างกายของเธอนั้นพบว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว
วรรณารีเรียกร้องให้เอาเด็กออกอย่างไม่ลังเล
ฉาด!
‘เวลาสนุก เธอกับผู้ชายก็สนุกกันสองคนโดยที่เด็กมันไม่ได้ร่วมรับรู้ด้วย แล้วพอมาเวลาแบบนี้กลับผลักให้เด็กมารับกรรมในสิ่งที่พ่อกับแม่ก่อไว้ มันใช้ได้ที่ไหน สำนึกความเป็คนมีบ้างไหม ถึงตอนนี้เด็กมันจะโตแค่ถั่วเขียวแต่มันก็คือคนคนหนึ่ง เธอจะใจั์ทำลายชีวิตคนคนหนึ่งไม่ให้เกิดมาได้ลงคอเชียวหรือ’
เพราะแรงตบและคำด่าของสายในวันนั้นทำให้วรรณารีสำนึกขึ้นได้ ใช่...เธอไม่ควรให้ลูกมารับกรรมแบบนี้
“แม่ขอโทษนะลูก แม่จะเลี้ยงดูหนูให้ดีที่สุด” วรรณารีก้มลงพูดกับครรภ์อายุหกเดือนของเธอ ขณะที่ดวงตายังคงหมองเศร้าอยู่ไม่รู้คลาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือราคาถูกของตัวเองมาเปิดดูข่าวการรับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นของพีรายุครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยใจที่เจ็บแปลบ
“ในเมื่อคิดจะตัดใจแล้วต้องตัดให้ขาด ไม่อย่างนั้นเราเองนั่นแหละจะลำบาก” เสียงแหบพร่าของสายดังขึ้น
วรรณารีเหลียวมองสายที่เดินมานั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับใช้หมวกฟางโบกพัดใบหน้าเพื่อคลายร้อนให้กับตัวเองไปด้วย
สายเหลียวมามอง “นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว อะไรควรตัดก็ให้ตัด มัวแต่เอาใจไปพัวพันกับเื่ที่ทำร้ายเรามันก็ยิ่งทำให้เราเ็ปมากขึ้น” สายนิ่งไปชั่วขณะก่อนพูดต่อ “ถ้าไม่อยากโดนคนมองว่าเป็บ้าแบบฉันก็ให้รีบตัดใจ”
“เอาเวลามาใส่ใจเื่ใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาดีกว่า” สายปรายตามองไปยัง่ท้องที่เริ่มนูนอย่างเห็นได้ชัดของวรรณารีก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปยังูเาขยะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
วรรณารีใช้มือลูบท้องของเธออย่างทะนุถนอม ใช่...เธอควรตัดขาดเื่เก่า ๆ ออกไปให้หมดเสียที แล้วมาทุ่มเทกับห่วงที่เธอรับมาอย่างเต็มใจห่วงนี้ดีกว่า