นับั้แ่มู่หรูเฟิง บิดาของนางเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ท่านปู่ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลและปกป้องนางให้ปลอดภัยและมีความสุขไปตลอดชีวิต
แม้ว่าเขาจะเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง หากไม่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ก็จะทำให้ราชวงศ์เกิดความสงสัยและไม่พอใจเอาได้
ในตระกูลมู่ ดูเหมือนว่าท่านปู่มู่จะเป็เพียงคนเดียวที่ห่วงใยนางจากใจจริง
มู่เทียนอินอมยิ้ม รู้สึกซาบซึ้งใจ
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นมู่สุ่ยล้มเหลว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนต่อจากนั้นเลย
เมื่อยอดฝีมือคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์พ่ายแพ้ ฮ่องเต้เย่และเหล่าขุนนางต่างรู้สึกอับอายจนไม่อาจเงยหน้ามองใครได้
“ดูเหมือนว่าเหล่ายอดฝีมือจะไม่มีโอกาสได้สัตว์อสูรตัวนี้เลยสักคน อสรพิษเขมือบนภาตัวนี้ยากที่จะควบคุมมาโดยตลอด บางทีอาจกำลังรอคนที่วาสนาต้องกันอยู่ก็เป็ได้”
ซู่หลิงมองไปที่ฮ่องเต้เย่ซึ่งมีใบหน้าแดงก่ำ เสียงของเขาเ็าและสงบนิ่ง โดยไม่มีทีท่าเยาะเย้ยแม้แต่น้อย
ทว่ายิ่งเขาใจกว้างมากเท่าไหร่ ฮ่องเต้เย่ก็ยิ่งรู้สึกอับอายจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้
“เสด็จพ่อ เอ๋อร์เฉินคิดว่าการฝึกสัตว์นั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีพลังยุทธ์เท่านั้น หากแต่ต้องเข้าใจกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายใหญ่เย่เทียนอวี้เฝ้าดูมาเป็เวลานาน จนกระทั่งยามนี้จึงลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยความเคารพ
“เนื่องจากสัตว์อสูรตัวนี้มีสติปัญญา จึงน่าจะรอคนที่วาสนาต้องกันตามที่องค์ฮ่องเต้ใหญ่กล่าวไว้ เช่นนั้น ลองให้เอ๋อร์เฉินและคนอื่นๆ ลองดูได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เหตุใดฮ่องเต้เย่จะไม่หวังให้บุตรชายของตนสามารถปราบอสรพิษเขมือบนภาได้ล่ะ?
ให้บรรดายอดฝีมือได้ชิมลาง เป็เพราะทุกฝ่ายต่างหมายปองมัน
แม้ว่าเขาจะเป็ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจจะเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของราษฎรได้
อีกประการหนึ่งคือให้บรรดายอดฝีมือจากทุกฝ่ายได้ทดสอบดู
ไม่คิดว่าอสรพิษเขมือบนภาจะทรงพลังถึงเพียงนี้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ตัวได้ ไม่ต้องพูดถึงเหล่าผู้เยาว์ที่ยังไม่มีประสบการณ์มากพอเลย
“สิ่งที่องค์รัชทายาทพูดเป็ความจริง อสรพิษเขมือบนภามีสติปัญญาสูงส่ง มักจะเลือกเ้านายของตัวเอง ที่นี่ล้วนมีแต่คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถจากแคว้นมู่สุ่ย จะลองดูสักครั้งก็ย่อมได้”
ขณะที่ฮ่องเต้เย่กำลังจะปฏิเสธคำขอขององค์รัชทายาท ทว่าบุรุษรูปงามในชุดขาวก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างแ่เบา
จนเทียนเฟิงผู้ยืนอยู่ข้างกายก็อดสงสัยไม่ได้
นายน้อยกำลังพูดถึงเื่อะไร? อสรพิษเขมือบนภาเลือกเ้านายของตัวเองได้ั้แ่เมื่อไหร่?
ไม่ใช่ว่าต้องใช้พลังยุทธ์ที่เหนือกว่าถึงจะทำให้ยอมจำนนได้หรอกหรือ?
แม้ว่าพวกเขาจะสงสัย ทว่าเทียนเฟิงและหลิงอวิ๋นก็ยังคงไม่พูดอะไร
การตัดสินใจทุกอย่างที่นายน้อยได้ทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่าในเวลานั้นจะดูไม่สมเหตุสมผล ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่เคยผิดพลาดเลย
เพียงฮ่องเต้ใหญ่เอ่ยปาก ฮ่องเต้เย่ก็ไม่อาจหักหน้าเขาได้
แม้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะดุร้ายจนยากจะฝึกฝน ทว่าสุดท้ายก็ยังถูกขังอยู่ในกรง
“เช่นนั้นทุกคนก็จงลองดู แต่ต้องระวังตัวให้ดีด้วย”
ฮ่องเต้เย่ไม่ได้คาดหวังว่าเหล่าบุตรหลานจะมีผลงานที่น่าทึ่งอะไร
ฮ่องเต้ใหญ่เอ่ยปากแล้ว ทำได้เพียงทำตามเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนอวี้และคนอื่น ๆ ต่างกระตือรือร้นที่จะทดลอง
ทว่าอสรพิษเขมือบนภาจะเลือกเ้านายเองได้อย่างไร และด้วยพลังยุทธ์ของเด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ย่อมไม่อาจควบคุมมันได้
เหล่าองค์ชายที่มีความปรารถนาสูงส่งต่างก็พ่ายแพ้ไปอย่างไม่น่าแปลกใจ
ในภายหลัง ทุกคนจึงต่างทำไปตามหน้าที่ โดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
เมื่อถึงคราวของมู่เทียนอิน ทุกคนรู้ดีว่านางร่างกายไม่แข็งแรง จึงรอคอยให้นางถอนตัว
"ข้าก็จะลองดู"
อย่างไรก็ตาม นางกลับค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
มู่เยียนเอ๋อร์และมู่หลิงเซียนต่างตกตะลึง ราวกับไม่เคยรู้จักนางมาก่อน
คนขี้โรคผู้นี้บอกว่าอยากลองทำดูงั้นหรือ?
ไม่เพียงแต่พวกนาง เย่เชี่ยนอี เซียวโม่และบุตรหลานตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ต่างมองด้วยสายตาเยาะเย้ย
พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว แล้วคนธรรมดาที่ร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งจะยังฝันว่าจะพิชิตสัตว์อสูรตัวนี้ได้อย่างไร?
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะนาง
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรักษามารยาท ไม่อาจพูดจาเสียดสี
พวกเขาจึงต่างคนต่างดื่ม ต่างหัวเราะและพูดคุย ไม่มีใครสนใจเื่ราวที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
“อินเอ๋อร์!”
หากมีใครสักคนที่สนใจก็คงมีเพียงท่านปู่มู่เท่านั้น
ที่ได้แต่ยืนมองหลานสาวที่ร่างกายอ่อนแอเดินเข้าไปหาอสรพิษเขมือบนภา
แม้ว่าจะถูกแยกจากกันด้วยซี่กรง ทว่าเขาก็ยังคงกังวลใจ
เพราะความกดดันของอสูรร้ายนั้นรุนแรงเกินกว่าคนธรรมดาจะทนไหว
“ท่านปู่ อินเอ๋อร์เพียงอยากเปิดโลกทัศน์สักหน่อยเ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็ห่วง”
มู่เทียนอินยิ้มจาง แล้วก้าวเดินต่อไปไม่หยุด
ท่านปู่มู่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินตามหลังนางไปอย่างเงียบๆ
“เยว่เยา”
มู่เทียนอินรู้มานานแล้วว่าไม่มีใครสามารถพิชิตอสรพิษเขมือบนภาได้
คนปากมากรอบข้าง ร้องะโออกมาั้แ่แรกแล้ว
นางเห็นความปรารถนาอันแรงกล้าในสายตาของเย่เทียนอวี้และคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน เพียงรอคอยอย่างอดทน แล้วอสรพิษเขมือบนภาจะเข้ามาหาเอง
“เราจำเป็ต้องปราบสัตว์อสูรตัวนี้หรือไม่?”
เยว่เยาก็เป็ิญญาสัตว์อสูร
เมื่อสัตว์อสูรต่อกรกับสัตว์อสูรด้วยกัน จึงมีความรู้สึกชื่นชอบการแข่งขันและการเอาชนะฝังอยู่ในกระดูก
“ให้ข้าลองดูก่อน หากไม่ได้ผล เ้าก็ลงมือเสีย”
มู่เทียนอินส่ายหน้าและพูดเสียงเบา
เมื่อนางเดินไปถึงหน้ากรง อสรพิษเขมือบนภาเงยหน้าขึ้นสบตากับนางทันที
คนหนึ่งคนและงูหนึ่งตัวสบตากัน อสรพิษั์ที่ดูเหมือนจะมีสติปัญญาจ้องนางเขม็ง
ในเวลานี้ยังไม่มีใครสังเกตนาง
มู่เทียนอินยังคงเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งถึงระยะหนึ่งจั้ง
ไม่รู้ว่าใครเป็คนแรกที่เห็น แล้วกรีดร้องออกมาด้วยความใ
หลังจากนั้นก็มีผู้คนหันมามองมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนรู้ดีว่ามู่เทียนอินไม่สามารถฝึกฝนจิติญญาได้
นั่นหมายความว่านางเป็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ทว่าถึงกับต้านทานพลังของสัตว์อสูรได้
นี่ นี่... น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เมื่อนางอยู่ห่างจากอสรพิษเขมือบนภาเพียงห้าก้าว ทั้งห้องโถงก็เงียบลง
แม้แต่สีหน้าของฮ่องเต้เย่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ถึงเข้าใกล้ได้แล้วอย่างไร? ในเมื่อนางเป็เพียงคนไร้ประโยชน์จะทำพันธสัญญาได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว เข้าใกล้ได้แล้วอย่างไร หากมีความสามารถ...นางจะทำพันธสัญญา...อะไรน่ะ?!”
ใบหน้าของเหล่าหนุ่มสาวที่เยาะเย้ยมู่เทียนอินแดงก่ำขึ้น ผ่านไปนานพอสมควรจึงพยายามพูดออกมาได้เพียงไม่กี่ประโยค
อย่างไรก็ตาม คำพูดเย้ยหยันก็ต้องหยุดลงทันที!
ทุกคนต่างเห็นมู่เทียนอินวางมือลงบนหัวของอสรพิษเขมือบนภา
ร่างกายของคนธรรมดา... กลับกล้าััอสรพิษเขมือบนภา!
สิ่งที่ทำให้พวกเขาใยิ่งกว่านั้นคือนางพูดออกมาได้อย่างเฉยเมย
"สำรอกแก่นเื"
และอสรพิษั์ตัวนั้นแยกเขี้ยวและกำลังจะสำรอกแก่นเืออกมา
เย่ิเซวียนเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ
สตรีผู้นี้เป็เพียงคนธรรมดาสามัญ ผู้ที่มีพร์ที่สุดยังไม่สามารถทำได้ แล้วคนป่วยจะทำได้อย่างไรกัน!
บุตรหลานตระกูลอื่นๆ ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นกัน
แม้แต่ฮ่องเต้เย่ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ัก็ยังมองมาที่มู่เทียนอินด้วยความงงงวย
จนกระทั่งอสรพิษเขมือบนภาเงยหน้าขึ้นและสำรอกแก่นเืออกมา เขาจึงกลับมาได้สติอีกครั้ง
มู่เทียนอินเป็ทายาทของตระกูลมู่
ในกรณีนี้ อสรพิษเขมือบนภาจะไม่ตกอยู่ในมือของตระกูลมู่หรอกหรือ?
"ช้าก่อน"
ขณะที่อสรพิษเขมือบนภากำลังจะสำรอกแก่นเืออกมา มู่เทียนอินก็หันหลังกลับไปอย่างฉับพลัน
ใน่เวลาที่สำคัญเช่นนี้ สตรีผู้นี้จะสั่งให้หยุดก็หยุดเลยหรือ?
สิ่งที่น่าหดหู่ใจที่สุดคือเ้าอสรพิษเขมือบนภา
แก่นเืขึ้นมาถึงปากของมันแล้ว นางกลับบังคับให้มันต้องกลืนกลับลงคอไป
“ฝ่าา เทียนอินไม่สามารถฝึกฝนจิติญญาได้และเป็เพียงคนธรรมดา หากทำพันธสัญญากับอสรพิษเขมือบนภาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลใดตามมา ดังนั้นจึงอยากขอความอนุเคราะห์จากฝ่าาให้เทียนอินพักอยู่ในพระราชวังสักระยะหนึ่งหลังจากทำสัญญาเสร็จสิ้นแล้วเพคะ”
มู่เทียนอินยิ้มหวาน สายตาจับจ้องไปอย่างมีเสน่ห์
ขอถามสักหน่อยว่าในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าสัตว์ร้ายโบราณ แล้วยังคงนิ่งสงบได้เช่นนี้บ้าง
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง ฮ่องเต้เย่และเหล่ายอดฝีมือต่างก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาจึงลืมเื่นี้ไปชั่วขณะ
ทั่วทั้งแคว้นมู่สุ่ย ยังไม่มีคนธรรมดาคนใดเคยทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรมาก่อน
ไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรที่ทรงพลังและดุร้ายอย่างอสรพิษเขมือบนภาเลย
แม้แต่สัตว์อสูรธรรมดา คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่อาจรับมือไหว
หากนางทำพันธสัญญาไปแล้วเกิดปัญหาขึ้นจะทำอย่างไร?
ทว่าอสรพิษเขมือบนภาตัวนี้เป็ของกำนัลที่ฮ่องเต้หลิงเทียนมอบให้แก่แคว้นมู่สุ่ยต่อหน้าสาธารณชน
ก่อนหน้านี้บรรดายอดฝีมือและบุตรหลานรุ่นหลังต่างพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง จนต้องรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่ง
ไม่ง่ายนักที่จะพบคนที่สามารถปราบอสรพิษเขมือบนภาให้เชื่องได้ ทว่ากลับเป็เพียงคนธรรมดา
ดวงตาของฮ่องเต้เย่แสดงถึงอารมณ์ซับซ้อน
อสรพิษเขมือบนภามีค่ามากเสียจนเขาไม่อยากยกให้ใคร
ทว่าเนื่องจากสายตาของทุกคน เขาจึงจำใจต้องยอม
“แคว้นมู่สุ่ยเต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถดังที่คาดไว้! ไม่คาดคิดว่าเด็กสาวที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนจะสามารถพิชิตสัตว์ร้ายตัวนี้ได้”
ในเวลานี้ บุคคลในชุดขาวที่กำลังยืนชมอยู่ด้านข้างก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“อสรพิษเขมือบนภาเป็ของกำนัลจากเปิ่นจุน จะมีเหตุผลอันใดที่ของกำนัลจะไปทำร้ายเ้าของได้ คืนนี้ เปิ่นจุนจะคอยปกป้องคุณหนูมู่เอง”
สองประโยคที่ดูเรียบง่าย ทว่าหินหนึ่งก้อนก่อเกิดระลอกคลื่นนับพัน1
ฮ่องเต้เย่และเหล่าขุนนางรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
ดีใจที่อุปสรรคเื่สัญญาจบลงไปเสียที ทว่าสิ่งล้ำค่าเช่นนี้กลับต้องตกไปอยู่ในมือคนขี้โรคจากตระกูลมู่เช่นนั้นหรือ
เหล่าคุณหนูจากตระกูลใหญ่ก็ไม่สงบสุขเช่นกัน
คนขี้โรคที่ปกติไม่มีอะไรน่าสนใจ คืนนี้ไม่เพียงทำพันธสัญญากับอสรพิษเขมือบนภาได้เท่านั้น แต่ทั้งยังได้รับความเมตตาจากองค์ฮ่องเต้ใหญ่ผู้เ็าอีกด้วย?
มู่เยียนเอ๋อร์และมู่หลิงเซียนโกรธมากจนแทบกระอักเื
ทั้งสองคิดว่าหากนางไม่ตายตกก็คงจะถูกถลกหนัง ทว่าไม่คิดว่าเื่จะกลับกลายเป็เช่นนี้
“ฮ่องเต้ใหญ่พูดถูกต้องแล้ว บุตรสาวตระกูลมู่ เจิ้นอนุญาตตามที่เ้าร้องขอ!”
ยามนี้ เมื่อฮ่องเต้ใหญ่ได้ตรัสสั่งด้วยพระองค์เองแล้ว ฮ่องเต้เย่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
"เป็พระมหากรุณาธิคุณเพคะฝ่าา"
มู่เทียนอินโค้งคำนับ พร้อมกับใจที่สับสนเล็กน้อย
นางร้องขอเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เกิดเื่ยุ่งยากและไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่านางเป็ผู้มีพลังิญญาแล้ว
เมื่อทำพันธสัญญากับอสรพิษเขมือบนภาแล้ว นางจะได้รับความช่วยเหลือมากมาย และอาจจะก้าวขึ้นสู่ขั้นสูงสุดได้เลยทีเดียว
ดังนั้น นางจึงอ้างตัวตนของ 'คนธรรมดา' เพื่อปกปิดเื่นี้
เหตุใดคนผู้นี้ถึงเข้ามาเข้ามาแทรกแซงล่ะ?
มู่เทียนอินไม่คิดว่าเขาจะเป็คนใจดีถึงเพียงนั้น
แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูสุภาพและเหมาะสม ทว่านางกลับรู้สึกถึงอันตรายแฝงอยู่
"ดำเนินการต่อได้"
ขณะที่มู่เทียนอินคิดฟุ้งซ่าน ทว่าก็ไม่ลืมเื่พันธสัญญา
เมื่อเห็นพูดจาไม่ใส่ใจถึงเพียงนี้ อสรพิษเขมือบนภาก็โกรธมากจนแทบจะกระอักเืออกมา!
มันมีสายเืของสัตว์ร้าย สตรีผู้นี้มีท่าทีต่อมันเช่นนี้ เหมาะสมอย่างนั้นหรือ?
แม้ในใจจะสบประมาท ทว่าศักยภาพที่ผิดปกติของสตรีผู้นี้ควบคู่ไปกับแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของเยว่เยา มันจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลย
“ด้วยเืของเ้า ข้าขอปฏิญาณ ณ ที่แห่งนี้ ผูกกันด้วยชะตา อยู่เคียงข้างกันไม่ว่าจะเป็หรือตาย”
มันสำรอกแก่นเืออกมา และผสานลงในฝ่ามือของมู่เทียนอิน
แก่นเืพร้อมด้วยพลังที่แข็งแกร่งได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างกาย
“อินเอ๋อร์ เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นด้วยตาตัวเองว่าหลานสาวปราบอสรพิษเขมือบนภาให้เชื่องได้ ท่านปู่มู่ก็ทั้งประหลาดใจและดีใจอย่างมาก
ทว่า ความภาคภูมิใจที่มีอยู่นั้นก็ถูกด้วยความกังวลเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ แค่้าพักผ่อน”
มู่เทียนอินรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่ไปทั่วร่างกายอย่างรุนแรง จึงเอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก
“ฝ่าา เทียนอินนาง...”
ผู้เฒ่ามู่เป็กังวล จึงรีบหันไปมองฮ่องเต้เย่
“ผู้เฒ่ามู่ ฝากเื่ของคุณหนูมู่ไว้กับเปิ่นจุนเถิด”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ซู่หลิงก็เดินมาอยู่ข้างกายมู่เทียนอินแล้ว ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ท่าทางที่สงบเยือกเย็นและทรงพลังนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อใจเขาโดยไม่รู้ตัว
ใช่แล้ว อสรพิษเขมือบนภาตัวนี้เป็สัตว์อสูรที่ฮ่องเต้ใหญ่นำมาจากหลิงเทียนกั๋ว
วิธีรับมือกับเื่นี้ พวกเขาย่อมรู้ดีที่สุด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ท่านปู่มู่จึงไม่ลังเลใจเลยที่จะปล่อยมือและมอบหลานสาวให้ไปกับเขา
ซู่หลิงประคองเอวของนางอย่างเปิดเผย
แม้ใบหน้าหยกที่งดงามจะยังคงเ็าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าท่าทางยังสง่างามและสุภาพ
ภาพที่สองคนยืนเคียงข้างกัน มีความรู้สึกใกล้ชิดกันอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าคุณหนูจากตระกูลใหญ่ต่างก็แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความเกลียดชัง
-------------------------------------
[1] หินหนึ่งก้อนก่อเกิดระลอกคลื่นนับพัน หมายความว่า การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยกลับสร้างผลกระทบมากมาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้