“ข้าไม่เป็ไร ขอบใจเ้าที่ห่วงใยข้า!”
ขณะที่ชิงเซียงมองเย่เฟิง ดวงตาคู่งามพลันหวั่นไหวเล็กน้อย ซึ่งระหว่างทางมาที่นี่นางก็ได้ทราบสาเหตุจากปากขององครักษ์หญิงสองคนนั้น
“ควรจะเป็ข้า หากไม่ใช่เพราะข้า เ้าจะทนทุกข์เยี่ยงนี้ได้อย่างไรเล่า?” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม แต่ขณะที่เขามองสาวงามตรงหน้าที่ดูซีดเซียวก็เกิดรู้สึกเวทนาขึ้นมา แต่ในเมื่อชิงเซียงได้รับความช่วยเหลือ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
“ผู้าุโ ท่านรับปากกับข้าเื่หนึ่งได้หรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถามขณะหันไปมองเทียนเซียง
“ว่ามา” เทียนเซียงกล่าว
“หลังจากข้าไปจากเทียนเซียงหลิน หวังว่าผู้าุโจะดูแลสหายทั้งสองของข้า ชิงเซียงและหลันเซียงให้ดี” เย่เฟิงกล่าวเช่นนั้น เขามิอาจรั้งอยู่ที่เทียนเซียงหลินได้นาน แต่เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็เพราะเฉินเซียง ทำให้เย่เฟิงกังวลใจมากเมื่อเขากำลังจะออกไปจากที่นี่
“ชิงเซียงและหลันเซียงคือศิษย์เทียนเซียงหลิน ข้าย่อมมีหน้าที่ดูแลพวกนางสองคน ไยใต้เท้ากล่าวเช่นนี้เล่า?” เทียนเซียงกล่าวพลางยิ้ม ในความเป็จริง ด้วยความฉลาดหลักแหลมของเทียนเซียง นางย่อมคาดเดาในสิ่งที่เย่เฟิงกล่าวได้ไม่ยาก แม้ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง
“ศัตรูเปิดเผยไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูซ่อนเร้น ข้าไม่อยากให้ผู้ใดลอบทำร้ายสหายทั้งสองของข้า หากข้าพบเห็น ไม่ว่าเ้าเป็ใคร เก่งกาจแค่ไหน ตราบใดที่ล้ำเส้นบรรทัดล่างของข้า ข้าจะให้นางชดใช้เป็สองเท่า!” เย่เฟิงกล่าวกับเทียนเซียง นาทีนี้กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างชายหนุ่มเปลี่ยนไปน่าหวาดกลัว ทำให้เทียนเซียงตะลึงเล็กน้อย และอดเหลือบมองเฉินเซียงแวบหนึ่งไม่ได้ ซึ่งเห็นชัดว่าเย่เฟิงเอ่ยถึงเฉินเซียง
ผู้คนมองเย่เฟิงด้วยดวงตาไหววูบ เวลานี้เย่เฟิงดูน่ากลัวเป็อย่างมาก ทำให้พวกนางใจเต้นระส่ำ
“ตกลง ข้ารับปากเ้า” เทียนเซียงกล่าว
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากเ้าสำนักเทียนเซียงหลิน สุดท้ายเย่เฟิงก็ช่วยชิงเซียงออกจากคุกได้สำเร็จ นอกจากเฉินเซียงแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายเขา อีกอย่างพร์และพลังต่อสู้ของเย่เฟิงก็ได้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับผู้คน บุกด่านทั้งสามและสร้างสถิติใหม่ในด่านที่สองในรอบ 500 ปีด้วยตบะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ต่อมาเอาชนะข้ามหกระดับในศึกเป็ตาย มิหนำซ้ำยังสังหารซวนหยวนจวิ้นผู้เป็ศิษย์สายตรงแห่งสำนักซวนหยวน
เย่เฟิงซักถามเฉินเซียงผู้าุโขั้นยุทธ์เทวะในตำหนักเทียนเซียง ทั้งยังซัดเฉินเซียงกระเด็นในศึกปะทะอีก เขาได้สร้างเื่ราวที่น่ามหัศจรรย์หลายอย่างที่เทียนเซียงหลิน แม้กระทั่งผ่านไปหลายปีก็ยังคงเป็ที่จดจำของเหล่าผู้คน
ขณะนั้น ณ ห้องแห่งหนึ่งในเทียนเซียงหลิน กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย การตกแต่งสวยงดงาม ดูแล้วเป็ห้องของผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งห้องนี้เป็ห้องของชิงเซียง และเวลานี้ยังมีสามเงาร่าง หญิงสองชายหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ
เย่เฟิงนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านซ้ายด้านขวาคือหลันเซียงและชิงเซียง ในเวลานี้ชิงเซียงดูสะอาดสะอ้าน เปลี่ยนชุดเป็สีเขียว าแตามร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้ว ทั้งยังมีผ้าคลุมไหลสีเขียว นางดูสวยงามเป็พิเศษ
“ศิษย์พี่ ครั้งนี้โชคดีที่เย่เฟิงอยู่ไม่ไกล จึงมาที่เทียนเซียงหลินเพื่อช่วยท่านได้” หลันเซียงกล่าวพลางยิ้ม สีหน้ากังวลก็จางหายไปแล้ว กระทั่งดวงตาสีฟ้าคู่นั้นยังกลับมาสดใสเช่นเดิม
“อืม” ชิงเซียงพยักหน้า จากนั้นนางมองเย่เฟิงโดยไม่ตั้งใจ แต่ไร้ซึ่งความเ็าเฉกเช่นแต่ก่อน
ทั้งสามคนพูดคุยกัน หลันเซียงดูมีชีวิตชีวาจนผิดปกติ ทั้งยังเล่าเื่ที่เย่เฟิงบุกด่านให้ชิงเซียงฟัง ทำให้ชิงเซียงตาสั่นไหวชั่ววูบ บางครั้งยังเผลอยกมือป้องปากตัวเองด้วยความประหลาดใจ บางทีหลันเซียงอาจคึกคักมากเกินไป ชิงเซียงราวกับอยู่ในเื่นั้นจริง ๆ ทำให้นางเลื่อมใสศรัทธาเย่เฟิงมากขึ้น
“ศิษย์พี่ ชายผู้นี้เก่งมาก เขาคือจูโหวแห่งอาณาจักรจ้าว ปกครองเก้าเขต ครั้งนี้เขาช่วยศิษย์พี่อีกครั้งแล้ว ท่านไม่พิจารณายกระดับความสัมพันธ์กับเขาไปอีกก้าวหรือ?”
หลังจากหลันเซียงเล่าเื่ที่เย่เฟิงบุกด่านเสร็จสิ้น นางยิ้มกว้างด้วยความอบอุ่นก่อนกล่าวเช่นนั้นกับชิงเซียง ทำให้ชิงเซียงหน้าแดงระเรื่อ นางจะไม่รู้ความหมายของหลันเซียงได้อย่างไร จึงอดเหลือบมองไปที่หลันเซียงไม่ได้ ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์น้องอย่าพูดจาเหลวไหลสิ”
“ข้าพูดจาเหลวไหลตรงไหน พวกท่านสองคนเหมาะสมกันมาก อีกอย่างข้ารู้ว่า ท่านสนใจเขามาตลอด เพียงแต่ไม่ยอมเอ่ยปากเท่านั้นเอง นับั้แ่เราสามคนแยกกันที่ทะเลสาบมรกตเมื่อคราวก่อน ทุกครั้งที่ศิษย์พี่พบเขา แววตาจะเปลี่ยนไปจากเดิม แล้วยังจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ อีกหรือ?” หลันเซียงกล่าวยิ้ม พร้อมกับมองชิงเซียงและเย่เฟิงไปมาไม่หยุด เมื่อหลันเซียงเอ่ยถึงชิงเซียงและเย่เฟิงก็อดตื่นเต้นไม่ได้
ชิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงกว่าเดิม เมื่อเอ่ยถึงทะเลสาบมรกต ภาพที่น่าอับอายที่เกิดขึ้นในถ้ำแห่งนั้นก็ปรากฏในหัวของชิงเซียง
ครั้งนั้นชิงเซียงได้รับาเ็จากการถูกพิษของสัตว์อสูร สติเลอะเลือน จิตใจไม่อยู่กับตัว แต่เฝ้าหาเพียงบุรุษ และยากที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ทว่าเย่เฟิงได้รับผลประโยชน์จากมันไปมาก แม้เย่เฟิงจะทำเช่นนี้เพื่อช่วยชิงเซียงก็ตาม แต่กลับเห็นทุกส่วนของร่างชิงเซียง กระทั่งยังััในที่ที่ไม่ควรััอีกต่างหาก
แต่ในฐานะผู้หญิงบริสุทธิ์ เมื่อถูกผู้ชายเห็นเรือนร่าง ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แน่นอนว่าค่อนข้างจะเป็เื่ที่น่าอับอายอยู่พอควร นับั้แ่นี้ไปต่อให้ผ่านไปหลายปีก็เกรงว่าจะไม่มีทางทำให้ชิงเซียงลืมเลือนเื่นี้ลงได้
“หากเ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่สนใจเ้าแล้ว!” ชิงเซียงกล่าวพลางหน้าแดงระเรื่อ และยังไม่กล้าสบตามองเย่เฟิง
เย่เฟิงยิ้มจาง ๆ เขาจะไม่เข้าใจชิงเซียงได้อย่างไรว่าเหตุใดจึงมีท่าทีเช่นนี้
หลันเซียงเห็นท่าทางของชิงเซียงก็ขอความเมตตาทันที จากนั้นทั้งสองหยอกล้อกัน ก่อนจะหัวเราะกันไม่หยุด นี่ทำให้เย่เฟิงอดปาดเหงื่อไม่ได้และถึงกับพูดไม่ออก
เย่เฟิงรั้งอยู่ที่เทียนเซียงหลินหนึ่งวัน ก่อนจะเตรียมตัวจากไป ซึ่งที่นี่รับแต่ผู้หญิงเข้าสำนัก เย่เฟิงเป็ผู้ชายจึงไม่สะดวกที่จะอยู่ที่นี่ อีกอย่างที่เมืองโยวโจวยังมีอีกหลายเื่ที่รอให้เขาไปสะสาง ตอนที่เย่เฟิงจากไป เ้าสำนักเทียนเซียงหลินและผู้าุโแต่ละฝ่ายของเทียนเซียงหลินยังมาส่งเย่เฟิงที่ประตูสำนัก
เกรงว่าในใต้หล้านี้มีเพียงเย่เฟิงที่ได้เพลิดเพลินไปกับการถูกปฏิบัติเช่นนี้
ชิงเซียงและหลันเซียงมาถึงแล้วเช่นกัน พวกนางมองแผ่นหลังของเย่เฟิงด้วยสายตาผิดหวัง การจากลาครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด
ค่ายกลที่บันไดเทียนเซียงถูกปิดลงแล้ว เย่เฟิงจึงลงเขาได้อย่างราบรื่น หลังจากลงเขาก็เห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของเทียนเซียงหลินที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เย่เฟิงอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้ผ่านป่าไผ่หมื่นลี้ จนไปถึงที่ที่เขาและหลันเซียงมาถึงในตอนแรก จากนั้นเขากลับอาณาจักรจ้าวโดยอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ และไม่คิดจะไปที่อื่นในจักรวรรดิจิ่วโยว
อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งออกเดินทางแค่สิบกว่าลี้ก็รู้สึกว่ามีลมปราณอันแกร่งกล้าตรึงร่างเขา เขารู้สึกอึดอัดราวกับถูกจ้องมอง จากนั้นเย่เฟิงเดินทางไปสักพัก ก่อนจะหยุดในที่ที่มีคนน้อย เขาหันหลังกลับไป พร้อมกล่าวขึ้นว่า “ใครกันที่สะกดรอยตามข้ามา? เปิดเผยตัวออกมาซะ!”
“ฮ่า ๆ ๆ!!!”
ทันทีที่สิ้นเสียงเย่เฟิงก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น จู่ ๆ คลื่นเสียงนั้นกลายเป็พลังทำลายล้างไร้ลักษณ์ ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีเย่เฟิงทันที
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก เขาพลันเหวี่ยงหมัดเข้าโจมตี ซึ่งรังสีหมัดอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าหวาดกลัว ก่อนจะเข้าปะทะกับคลื่นเสียงนั้นในพริบตา ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น คลื่นทำลายล้างแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ ทุกสิ่งรอบข้างล้วนพังทลาย
เย่เฟิงตาส่องประกายเย็นเยือก จากนั้นเห็นห้วงอากาศใกล้ ๆ บิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏแสงสองดวง และค่อย ๆ กลายเป็เงาร่างมนุษย์สองคน
สองคนนี้เป็ชายชราหนึ่งเด็กหนึ่ง ชายชราดูมีอายุประมาณ 60 ปี ร่างผอมบาง ผมสีขาว หลังค่อมเล็กน้อยดูแล้วให้ความรู้สึกป่วยไข้ แต่ดวงตาคู่นั้นของชายชรากลับเปี่ยมกำลังวังชา สายตาของเขาประหนึ่งแม่น้ำลืมเลือน เมื่อคนธรรมดาเผชิญหน้ากับเขาก็มิอาจปิดบังความลับใด ๆ ได้ราวกับว่าสายตาของชายชราผู้นี้สามารถมองอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง
อาศัยเพียงเื่นี้ก็ทำให้เย่เฟิงตัดสินใจได้แล้ว ว่าชายชราผู้นี้ไม่ธรรมดา บางทีอาจเป็บุคคลอันตราย
นอกจากนี้ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายชายชรายังดูไร้ชีวิตชีวาราวกับสูญเสียจิติญญาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเย่เฟิงเห็นชายผู้นี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขารู้จักชายผู้นี้ ซึ่งก็คือหลิวหยางที่ถูกเขาทำลายตบะที่เทียนเซียงหลิน ไม่นึกว่าหลิวหยางจะปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังพาชายชราผู้นี้มาอีกด้วย ดูท่าจะมาเพื่อแก้แค้นเย่เฟิง
“หลิวหยาง คนที่เ้าว่าคือคนคนนี้หรือ?” ชายชราร่างผอมเอ่ยถามหลิวหยาง พร้อมเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยท่าทีดูแคลน
“ขอรับท่านอาจารย์ ที่เทียนเซียงหลินเขาเป็ฝ่ายหาเื่ข้าก่อน ซ้ำยังทำลายตบะข้าอีก ท่านอาจารย์ต้องแก้แค้นให้ข้านะขอรับ!” หลิวหยางกล่าวด้วยความอาฆาตแค้น ซึ่งเป็คนผู้นี้ที่ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตเยี่ยงคนไร้ค่านับต่อจากนี้ไป หลิวหยางจึงเกลียดเย่เฟิงเข้ากระดูกดำ จึงเชิญอาจารย์มาเพื่อฆ่าเย่เฟิง ดวงตาของเขาในเวลานั้นยังลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะที่อัดแน่นไปด้วยเพลิงแห่งความแค้น
“เ้าน่ะหรือทำลายตบะของศิษย์ข้า?”
ชายชราได้ยินคำพูดหลิวหยางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเย่เฟิงเช่นนั้น
“ที่เทียนเซียงหลิน เขาหาเื่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังเป็ฝ่ายลงมือทำร้ายข้าก่อน มิหนำซ้ำยังพยายามลอบสังหารข้าอีก ข้าทำลายตบะเขาก็ไม่มีอะไรผิดนี่?”
ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายเฉียบคมขณะกล่าวเสียงกร้าวเช่นนั้น แม้เผชิญหน้ากับอาจารย์ของหลิวหยางที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
