จิ่งเซียงเป็คนสุดท้ายในกลุ่ม สี่คนที่จับฉลาก หมายเลขที่จับได้คือยี่สิบหก
แต่ว่าความสนใจของทุกคนนั้นอยู่ที่เหยียนเฟิงเกอ คนผู้นี้จับได้หมายเลขห้าสิบเอ็ด คนรอบข้างที่อยากดูเื่สนุกก็รีบทยอยถามคนที่เหลือว่าจับได้หมายเลขอะไร เมื่อรู้ว่าหวางฮวายเหล่ยก็จับได้หมายเลขห้าสิบเอ็ดเหมือนกัน เหยียนเฟิงเกอตอนนี้ก็กำลังร้อนรน อ๋าวหรานถูกคนผู้นี้เรียกไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา เหยียนเฟิงเกออดสาดสายตาไปทางหวางฮวายเหล่ยไม่ได้ เป็สายตาที่แหลมคมรุนแรงยิ่ง ทำให้หวางฮวายเหล่ยใจนตัวสั่น
คนผู้นี้เคยสู้กับจิ่งฝาน วรยุทธ์นั้น...เพลงกระบี่นั้น...เขาสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน อย่าว่าแต่จะสู้เขาได้เลย แค่ยืนหยัดให้ได้สักกระบวนท่าก็ยากแล้ว ในใจหวางฮวายเหล่ยร่ำไห้ไม่หยุด หรือจะถูกคัดออกั้แ่รอบแรก? เช่นนั้นตำแหน่งนายน้อยในกลุ่มตระกูลอันดับหนึ่งของเขานี่ก็คงพูดยากแล้ว
หลัวฉี่เห็นสีหน้าของเขาทนทุกข์จึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “เ้าเคยเจอคนผู้นี้หรือ? เหตุใดสีหน้าถึงเป็ทุกข์เช่นนี้”
หวางฮวายเหล่ยรู้ว่าควรพูดไปเสียั้แ่ตอนนี้ยังดีกว่าเอาแต่ปิดบัง แล้วสุดท้ายไปถูกผู้อื่นจัดการในชั่วพริบตาในการประลอง ดังนั้นจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “ไม่เพียงแค่เจอกันเท่านั้น ข้ายังเคยเห็นเขาต่อสู้มาแล้ว แข็งแกร่งเป็อย่างยิ่ง!”
เขาพูดสองสามคำสุดท้ายอย่างหนักแน่นเป็พิเศษ แสดงออกอย่างรุนแรงว่าเหยียนเฟิงเกอแข็งแกร่งเพียงใด ก็นับว่าช่วยรักษาหน้าตัวเองเอาไว้ได้บ้าง ไม่ใช่เพราะข้าอ่อนแอ แต่เป็เขาที่แข็งแกร่งเกินไป
พวกหลัวฉี่อดส่งเสียงดังอาออกมาไม่ได้ “จริงหรือ?”
หวางฮวายเหล่ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เซี่ยเหวินเอ่อประหลาดใจยิ่ง “คนที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน? เขามาจากไหนกัน”
เื่นี้หวางฮวายเหล่ยก็ไม่รู้แล้ว ั้แ่วันนั้นที่ประลองเสร็จ เขาก็ไปหาจิ่งฝานเพื่อสืบความลับ แต่ไปๆ มาๆ ก็พูดแต่เื่ไร้สาระเต็มไปหมด ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะสนใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจในตัวเหยียนเฟิงเกอมากขนาดนั้น ตอนนี้จู่ๆ ก็ถูกถามจึงทำให้งงไปเหมือนกัน
แต่ว่าต่อให้เขาจะรู้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนที่เหยียนเฟิงเกอออกไปฝึกฝนที่โลกภายนอกนั้นก็ไม่เคยบอกชื่อแซ่ ปกติมักจะเป็คนที่พอสู้ตรงนี้เสร็จก็รีบหมุนตัวไปที่อื่นต่อ ไม่เคยรั้งอยู่ หรือต่อให้สู้กับผู้อื่น เขาก็ยังสู้ได้โดยไร้เสียงพูดใดๆ ไม่เหมือนพวกลูกหลานคนมีตระกูลที่ส่งคำท้าให้ผู้อื่นก็เพื่อจะสร้างชื่อให้กับตัวเอง แต่เขานั้นกลับไม่สนใจชื่อเสียงใดๆ้าเพียงแค่ความก้าวหน้าเท่านั้น
เพราะว่าสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าตัวเองจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่ข้างหลังยังมีตระกูลอ๋าวที่ค่อนข้างอ่อนแอ เขาสามารถไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่ตระกูลอ๋าวทำเช่นนั้นไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะสู้กับใคร ไม่ว่าแพ้หรือชนะ เขาล้วนไม่เปิดเผยชื่อแซ่ ไม่บอกตระกูล จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่พวกคนใจแคบหาทางโจมตีกลับในที่มืด เขาสามารถหนีได้ แต่ตระกูลอ๋าวทั้งตระกูลคงหนีไม่รอด คงจะถูกคนทำร้ายสาหัสอย่างไร้หนทางขัดขืนแล้ว
เหยียนเฟิงเกอที่ไร้ชื่อเสียงนี้ดึงดูดให้พวกหลัวฉี่แอบสังเกตอยู่เงียบๆ ถ้าพูดกันตามจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร หวางฮวายเหล่ยเป็เช่นไรนั้นพวกเขาต่างรู้ดี วรยุทธ์แมวสามขานั่นทำได้แค่ชนะพวกเด็กใหม่ในตระกูลเขาที่ยอมอ่อนข้อให้ก็เท่านั้น ที่หวางฮวายเหล่ยสามารถเป็ที่กล่าวขวัญรวมกับพวกเขาที่เป็ยอดฝีมือที่มีชื่อั้แ่ยังเยาว์ได้นั้น...พูดตามตรงแล้วก็เป็เพราะชาติตระกูลและนิสัยเ้าชู้ของเขานั่นเอง สาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจเกรงว่าคงเป็เพราะเขายังไม่เคยเห็นโลก แค่มีผู้ใดสักคนที่เก่งกาจกว่า เขาก็คิดไปแล้วว่าคนผู้นั้นร้ายกาจ
สรุปแล้วไม่ว่าจะอย่างไร คนผู้นี้ที่ 'ร้ายกาจ' ในสายตาของหวางฮวายเหล่ยก็ได้ประลองั้แ่รอบแรกๆ ประจวบเหมาะกับที่จะได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของเขา แน่นอนก็ล้วนคาดหวังว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าฮวางหวายเหล่ยอยู่สักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรให้ดู
จิ่งจื่อจับได้หมายเลขสามสิบสาม ตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอว่าคู่ต่อสู้ของเขาเป็ใคร
คนทั้งสี่จับเสร็จก็เริ่มมองไปทั่ว...อ๋าวหรานยังไม่มา ตอนนี้จิ่งเซียงยิ่งมาก็ยิ่งสงบนิ่งไม่ไหวแล้ว ท่าทางร้อนรนอย่างที่สุด
เหยียนเฟิงเกอบีบแท่งไม้ในมือ “ข้าไปตามหาเขาเอง”
จิ่งเซียงตัดบทเขา “ข้าไปเอง นี่เป็บ้านข้า ข้าย่อมคุ้นทาง!”
จิ่งจื่อกลอกตา “ไปอะไรกัน เขามาแล้ว”
พวกเขาได้ยินก็รีบมองตามสายตาเขาไป แล้วก็เห็นอ๋าวหรานกำลังวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นพวกเขาก็ยังยิ้มโบกมือทักทายให้
ไม่รอให้อ๋าวหรานเดินเข้ามาใกล้ จิ่งเซียงก็รีบพุ่งไปหาแล้วตีไปที่ไหล่ของอ๋าวหรานหนึ่งฝ่ามือ พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เ้าหายไปไหนมา เหตุใดถึงเพิ่งมา พวกเราล้วนคิดไปว่าเ้าถูกหวางฮวายเหล่ยวางแผนฆ่าเสียแล้ว”
อ๋าวหรานแยกเขี้ยวยิ้ม ยายเด็กนี่โหดจริงๆ “ข้าติดธุระนิดหน่อย ไม่มีอะไร ต่อให้หวางฮวายเหล่ยจะไร้สมองสักแค่ไหนก็ไม่มีทางทำเื่แบบนั้นหรอก”
พูดจบก็ดูแท่งไม้ที่นางถืออยู่ในมือ “พวกเ้าจับกันเสร็จแล้วหรือ?”
จิ่งจื่อที่อยู่อีกด้านพยักหน้าแล้วเร่งว่า “ใช่แล้ว เ้าก็รีบไป มีธุระอะไรถึงติดอยู่นานขนาดนี้?”
อ๋าวหรานแย้มยิ้ม กำหมัดชกไหล่เขา แล้วจึงเดินไปทางกล่องไม้
เมื่อจับเลข อ๋าวหรานก็กำไว้ในมือ หาได้สนใจหวางฮวายเหล่ยและสายตาอีกคู่ที่ดูเหมือนจะเป็ของทางเต๋อรั่วไม่ แล้วจึงเดินไปยังที่พวกจิ่งฝานอยู่ แค่เงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่งเซิ้งยืนอยู่ที่ไกลๆ โบกแท่งไม้ในมือ ยักคิ้วแล้วชูนิ้วกลางใส่อ๋าวหราน
อ๋าวหรานพยายามนิ่งเงียบแล้วเพ่งมองแท่งไม้บนมือของจิ่งเซิ้ง...เจ็ดสิบแปด เหมือนกับของตัวเองเด๊ะๆ จริงๆ ด้วย
ไม่สนการท้าทายของจิ่งเซิ้งอีก อ๋าวหรานก้มหน้าแล้วลากพวกจิ่งฝานเดินไปยังหลืบมุม
พวกจิ่งเซียงงุนงง อ๋าวหรานเห็นคนรอบตัวไม่เยอะแล้วจึงรีบถามจิ่งฝาน “เ้าจับได้หมายเลขอะไร”
จิ่งฝานไม่พูด กลับส่งแท่งไม้ในมือไปให้เขาแทน อ๋าวหรานมองดู...หนึ่งร้อยสิบสอง ค่อนข้างค่อนไปทางอันดับท้ายๆ
จิ่งจื่อมีสีหน้าสงสัย “มีอันใดหรือ?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า หาได้คืนแท่งไม้ให้จิ่งฝานไม่ แต่กลับส่งของตัวเองไปให้เขา “พวกเราสองคนแลกกันเถิด”
จิ่งฝานไม่รับ “เพราะเหตุใด?”
อ๋าวหรานยัดแท่งไม้ใส่ในมือเขา “จะเพราะเหตุใดทำไมเยอะแยะ? รีบรับไป”
จิ่งฝานขมวดคิ้ว มองแท่งไม้ในมือ อ๋าวหรานทำเป็มองไม่เห็น ตบแขนเขาเบาๆ แล้วพูดอีกว่า “ช่วยข้าสักเื่ได้หรือไม่”
จิ่งฝานเงยหน้าขึ้น ใบหน้างดงามโดดเด่นที่น้อยนักจะมีบนโลกนี้ปรากฏแววสงสัยขึ้นมา ดวงตาดำมืดราวกับยามค่ำคืนจ้องมองอ๋าวหราน “เื่อะไร?”
อ๋าวหราน “ส่งคนไปสืบเื่ของคนที่ชื่อหวาหวาจิ่วผู้นี้ได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาที่ลึกล้ำไร้ก้นบึ้งคู่นั้นก็ราวกับจะสั่นสะท้านน้อยๆ
พวกเหยียนเฟิงเกอทั้งสามถูกการกระทำของอ๋าวหรานทำให้งุนงงแล้ว มีสีหน้าสับสน เพียงได้ยินเขาพูดชื่อประหลาดๆ ออกมา จิ่งจื่อก็ถึงกับขมวดคิ้ว “หวาหวาจิ่ว1? นี่เป็คนหรือ? แน่ใจหรือไม่ว่าไม่ใช่สุราอะไรสักอย่าง?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “น่าจะเป็คน ชื่อก็น่าจะเป็เสียงนี้ แต่เป็อักษรตัวใดข้าก็ไม่แน่ใจ เ้าลองส่งคนไปสืบดูหน่อยเถิด”
จิ่งฝานไม่ได้รู้สึกสับสนงุนงงเหมือนผู้อื่น แล้วก็ราวกับจะไม่แปลกใจกับคำขอร้องที่จู่ๆ ก็มาของอ๋าวหราน สีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับไปเรียบๆ ประโยคหนึ่งว่า “ได้ ข้าจะไปออกคำสั่งให้”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป ทุกคนมองไม่เห็นสีหน้าของเขา กลับรู้สึกเพียงแค่ว่าแผ่นหลังเขาดูแข็งค้างไปเล็กน้อย แต่ก็ราวกับจะดูผิดไป
จิ่งฝานก้าวไปอย่างมั่นคง แต่มือที่วางอยู่ตรงบริเวณท้องกลับบีบแท่งไม้เล็กๆ ในมือนั้นอย่างรุนแรง ความแหลมคมของเหลี่ยมไม้กดลึกลงไปในเนื้อจนมือแดงฉานไปหมด ราวกับจะบาดลงไปจนเนื้อปริเืออก
เทียบกับมือนั่นที่แอบซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ดวงตาคู่นั้นยิ่งลึกล้ำมองไม่ชัดเจน ทั้งที่เป็แค่ดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้น แต่กลับแฝงไปด้วยความโหดร้าย มึนงงจนทำอะไรไม่ถูก อีกทั้งที่เยอะยิ่งกว่าน่าจะเป็อารมณ์ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
ผู้คุ้มกันของจิ่งฝานแอบซ่อนอยู่ในที่มืด ห่างไปไม่ไกล ลูกหลานจากตระกูลต่างๆ ไม่ว่าตระกูลเล็กหรือใหญ่ล้วนพาผู้คุ้มกันมาด้วยคนหนึ่ง หรือต่อให้จะพามาสักสามถึงห้าคนก็ไม่ใช่ปัญหา เื่นี้ทุกคนต่างกระจ่างชัดในใจโดยไม่ต้องพูดออกมาอีกทั้งล้วนเข้าอกเข้าใจดี ถึงแม้จิ่งฝานจะอยู่ในบ้านตัวเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อีกทั้งต่อให้ข้างกายเขาจะไม่มีผู้คุ้มกันติดตามก็ต้องมีพ่อบ้านหรือเด็กรับใช้คนสองคนติดตาม รอรับคำสั่งต่างๆ ของเขาตลอดเวลา
จิ่งฝานปิดบังสีในดวงตา โบกมือลวกๆ เรียกผู้คุ้มกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาของผู้คน เพราะยิ่งทำแบบเปิดเผยเช่นนี้กลับยิ่งไม่ดึงดูดสายตาของคน
จิ่งเซียงตั้งใจจะถามอ๋าวหรานอีกว่าเหตุใดต้องแลกแท่งไม้กับพี่ชายนาง แต่กลับถูกจิ่งเหวินซานบนเวทีขัดจังหวะเข้า คนผู้นี้เคลื่อนย้ายกำลังภายในแล้วพูดเสียงดังกังวาน แต่ไม่ใช่การะโอย่างเปลืองแรง “ทุกท่าน ยังมีคนที่ยังไม่จับฉลากอีกหรือไม่?”
ฝูงคนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่ตอบ คนที่เฝ้าอยู่หลังกล่องไม้จึงตอบแทนว่า “เรียนนายท่าน กล่องว่างเปล่าแล้ว ไม่มีแท่งไม้เหลือแล้ว”
จิ่งเหวินซานพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญหลานที่จับได้ลำดับที่หนึ่งถึงสิบห้าก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว”
เมื่อคำพูดของจิ่งเหวินซานจบลงก็เป็เฉินเปิ่นฉีที่ออกมาเป็คนแรก แล้วจึงค่อยๆ ทยอยออกมากันเรื่อยๆ ลูกหลานรุ่นเยาว์ก้าวออกมาข้างหน้าสามสิบคน คนที่เหลือก็ค่อยๆ ถอยหลังไปเพื่อให้คนทั้งสามสิบคนนี้โดดเด่นขึ้น
พวกอ๋าวหรานมองออกไป ในที่นี้ที่พวกเขารู้จักก็มีแค่เฉินเปิ่นฉีกับเจียงซิวที่ใช้มีดผู้นั้น
อ๋าวหรานมองเห็นเฉินเปิ่นฉีก็รีบกำชับเหยียนเฟิงเกอว่า “มองเห็นคนตรงกลางที่ใส่ชุดยาวสีกรมท่าหรือไม่?”
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้า “เห็นแล้ว”
อ๋าวหราน “คนผู้นี้คือเฉินเปิ่นฉี เมื่อก่อนเคยบอกท่านแล้วว่าข้าโยนความผิดที่ฆ่าล้างตระกูลอ๋าวไปให้ตระกูลเฉิน ดังนั้นท่านต้องพยายามแสดงออกว่าโกรธแค้นเขาอย่างมากให้เหมือนกับว่าเห็นตระกูลทาง”
แค่พูดถึงตระกูลทาง ั์ตาของเหยียนเฟิงเกอก็ดำมืดลงอย่างมาก จิตสังหารพลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด แต่ว่าเขาก็ยังอดสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่อ๋าวหรานบอกไม่ได้ “เพราะเหตุใด?”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “เพราะว่าครั้งนี้ตระกูลทางก็ส่งคนมาด้วย...”
ยังพูดไม่ทันจบ เหยียนเฟิงเกอก็รีบหันศีรษะมาทันทีแล้วจ้องเขา ในแววตาค่อยๆ มีสีเืขึ้น อ๋าวหรานคิดแล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ เหยียนเฟิงเกอไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยง แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ว่าตระกูลทางก็มา คิดว่าพวกจิ่งเซียงก็คงไม่ได้บอกเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่สงบนิ่งเช่นนี้ ตอนนี้จึงทำได้เพียงพูดปลอบว่า “ท่านอดทนก่อน คนผู้นั้นที่มารอบนี้ จิ่งฝานยังไม่ใช่คู่มือ อีกทั้งตระกูลทางยังมีคนเช่นนี้อีกมาก ตอนนี้เราทำได้เพียงแอบซ่อนความสามารถของตัวเอง จะได้ไม่เป็ที่ดึงดูดสายตาจนเผลอสร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลจิ่งไปด้วย”
แค่ได้ยินว่าแม้แต่จิ่งฝานก็ยังสู้ไม่ได้ ดวงตาของเหยียนเฟิงเกอจึงมีแววแปลกประหลาด เช่นนั้นคนผู้นี้จะแข็งแกร่งไปถึงขั้นไหนกัน?
พูดตามจริง ตอนแรกอ๋าวหรานก็คิดจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหยียนเฟิงเกอไว้ แต่ภายหลังคิดว่าวิถีกระบี่ของเขาสองคนนั้นเหมือนกัน แม้แต่คนโง่งมก็ย่อมดูออกว่าทั้งสองมาจากสำนักเดียวกัน อีกอย่างคนเช่นเหยียนเฟิงเกอคงไม่มีทางยอมปกปิดตัวเองเป็เต่าหดหัวแน่
ตอนนี้อ๋าวหรานจึงทำได้เพียงบอกออกไปตรงๆ อย่างเปิดเผย ต้องพยายามทำให้เขาสงบไว้ก่อน
โชคดีที่เหยียนเฟิงเกอเองก็รู้ ต่อให้เขาจะไม่รักชีวิตแล้ว แต่เขาก็ยังต้องคอยปกป้องศิษย์น้องของเขาผู้นี้ แล้วยังมีตระกูลจิ่งอีก จะให้พวกเขาต้องมารับเคราะห์ด้วยไม่ได้ สำหรับการกำชับของอ๋าวหราน เขาจำเป็ต้องกัดฟันยอมรับ ทนเอาหน่อยแล้วกัน แก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย สักวันเขาจะต้องทำให้ตระกูลทางชดใช้ด้วยเืให้จงได้
เมื่อได้รับการพยักหน้าตกลงจากเหยียนเฟิงเกอ อ๋าวหรานก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง วันนี้เขาต้องแบ่งใจใช้ถึงสองทาง พักหนึ่งกังวลเื่นี้ อีกสักพักก็ต้องไปกังวลเื่นั้น
หวาหวาจิ่ว1 (娃娃酒)จิ่วแปลว่าสุรา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้