ครั้นได้รับการนวดคลึงอยู่ครู่หนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก เนื่องจากวันนี้เป็วันเทศกาลไหว้บ่ะจ่าง และนางตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมแต่เช้า จึงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่บนเตียงนานนัก เมื่อรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นแล้ว นางก็รีบลุกจากเตียง
ทั้งสองแต่งกายสะอาดสะอ้านพอประมาณ ต่างถือของขวัญติดไม้ติดมือมุ่งหน้าไปยังบ้านเดิมของอันซิ่วเอ๋อร์
แต่แล้วเมื่อเดินไปได้เพียงครึ่งทาง ก็เผอิญพบกับอันหรงเหอเข้าพอดี เมื่ออันหรงเหอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์และจางเจิ้นอัน ก็มีท่าทีลังเลคล้ายอยากจะหลบเลี่ยง ทว่าพอสบสายตากับอันซิ่วเอ๋อร์เข้า เขาก็จำต้องเดินเข้ามาหาทั้งสองแต่โดยดี ก้มศีรษะเรียกขาน
"ท่านอา ท่านอาจารย์"
"เหตุใดพอเห็นพวกเราสองคนแล้วจึงคิดจะหลบหน้ากันเล่า"
อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นมือไปลูบจุกผมเล็กๆ บนศีรษะของอันหรงเหอเบาๆ ถามว่า "ท่านอาของเ้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ"
"ไม่ใช่ขอรับ" อันหรงเหอมีสีหน้ากระดากอาย บิดกายเล็กน้อยด้วยความขวยเขิน กล่าวว่า "ท่านอา ท่านทั้งสองกำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ"
"ก็กลับบ้านน่ะสิ" อันซิ่วเอ๋อร์เหลือบมองอันหรงเหอแวบหนึ่ง กล่าวว่า "แล้วเ้ารีบร้อนจะไปที่ใดกัน"
"ข้ากำลังจะไปเตรียมดูแข่งเรือัขอรับ กะว่าจะไปจับจองที่ทางดีๆ เสียหน่อย" อันหรงเหอตอบ คราวนี้สีหน้าดูสดใสขึ้น ในที่สุดเขาก็กระตือรือร้นกล่าวต่อ "ท่านอา ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านทั้งสองไม่ไปชมการแข่งเรือัด้วยกันเล่า วันนี้ท่านอาสองก็ลงแข่งด้วยนะขอรับ"
"พวกเราก็จะไปเดี๋ยวนี้แหละ เอาเช่นนี้ ของเหล่านี้เ้าช่วยถือกลับไปให้ข้าที่บ้านก่อน ข้ากับท่านอาเขยของเ้าจะไปจับจองที่ทางรอ" อันซิ่วเอ๋อร์เองก็นึกถึงเื่การแข่งเรือัขึ้นมาพอดี นางจึงยื่นสิ่งของในมือส่งให้อันหรงเหอ ส่วนตนเองก็ควงแขนจางเจิ้นอันมุ่งหน้าไปยังริมแม่น้ำทันที
อันหรงเหอมองสิ่งของในมือตนเอง เบะปากเล็กน้อย ทว่าก็ยังคงรีบวิ่งนำหน้ามุ่งตรงไปยังบ้านแต่โดยดี
จางเจิ้นอันเคาะศีรษะอันซิ่วเอ๋อร์เบาๆ กล่าวว่า "เ้ารังแกเด็ก"
"ไม่ได้รังแกเสียหน่อย เด็กๆ ก็ต้องใช้สอยกันบ้าง" อันซิ่วเอ๋อร์แย้มรอยยิ้ม นางจูงมือจางเจิ้นอันมุ่งหน้าไปยังริมน้ำ
สถานที่จัดการแข่งเรือัอยู่ไม่ไกลนัก เป็บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน อันซิ่วเอ๋อร์จูงมือจางเจิ้นอันไปถึง ก็พบว่า ณ ที่นั้นมีผู้คนมาชุมนุมกันมากมายแล้ว ผืนน้ำบริเวณนั้นค่อนข้างกว้างขวาง ผู้ใหญ่บ้านได้ให้คนช่วยกันยกลำเรือยาวสองลำมาวางลงในแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านที่เตรียมจะลงแข่งต่างก็ถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อกั๊ก โพกผ้าบนศีรษะ แล้วทยอยะโลงไปในเรือ
เสื้อกั๊กผู้ลงแข่งเรือัของหมู่บ้านชิงสุ่ยมีสองสีคือสีแดงและสีน้ำเงิน เมื่อเหล่าชายฉกรรจ์สวมเสื้อกั๊กและโพกผ้าบนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูคึกคักสมเป็งานเทศกาลขึ้นมาทันที
"หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย"
มีเสียงผู้คนดังมาจากด้านหลัง อันซิ่วเอ๋อร์กำลังกวาดสายตามองหาเงาร่างของอันเถี่ยมู่ท่ามกลางฝูงชนอยู่ จึงไม่ได้ทันระวังความเคลื่อนไหวด้านหลัง จางเจิ้นอันยื่นมือไปดึงตัวอันซิ่วเอ๋อร์เข้ามา อันซิ่วเอ๋อร์จึงเพิ่งรู้สึกตัว รีบหลีกทางให้ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่กำลังแบกกลองใบใหญ่เดินผ่านไป
ผู้ใหญ่บ้านบัญชาให้ชาวบ้านสองคนวางกลองใบใหญ่นั้นลงบนพื้นที่ราบเรียบแห่งหนึ่ง จากนั้นตนเองก็ถือไม้ตีกลองขึ้นมา ลองตีลงไปบนหน้ากลองสองสามที เสียงกลอง "ตุ้ม ตุ้ม" ดังกระหึ่มก้องไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ
จางเจิ้นอันแอบจับมืออันซิ่วเอ๋อร์ไว้ ก้มลงมองเห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของนางแล้ว ในแววตาคมกริบของเขาก็พลันเจือรอยยิ้มบางเบา
"ท่านพี่รอง!"
ในที่สุดอันซิ่วเอ๋อร์ก็มองเห็นอันเถี่ยมู่ท่ามกลางฝูงชน นางโบกมือให้เขาอย่างดีใจ อันเถี่ยมู่เองก็เห็นนาง จึงโบกมือตอบกลับมา อันซิ่วเอ๋อร์จึงะโสุดเสียง "ท่านพี่รอง สู้ๆ นะเ้าคะ ต้องได้ที่หนึ่งให้ได้!"
อันเถี่ยมู่พยักหน้ารับคำอันซิ่วเอ๋อร์ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาลงปรับไม้พายในมือตนเองให้เข้าที่ เพราะเสียงะโของอันซิ่วเอ๋อร์เมื่อครู่ ทำให้ต่งซื่อและอันหรงเหอที่อยู่ไม่ไกลมองเห็นนาง พวกเขาจึงเดินเข้ามาหานางด้วยความยินดี ต่งซื่อเอ่ยทักทายก่อน
"ซิ่วเอ๋อร์"
"พี่สะใภ้รอง"
อันซิ่วเอ๋อร์ก็ทักทายนางกลับ พลางลูบศีรษะของต้ายาและเอ้อร์ยาที่ยืนอยู่ข้างกายนาง แต่แล้วนางก็สังเกตเห็นว่าอันหรงเหอกลับยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ จึงเอ่ยถาม "หรงเหอ เ้าเป็อะไรไป ่นี้ไม่สนิทกับอาแล้วรึ หรือว่าเป็เพราะเมื่อครู่อาใช้ให้เ้าถือของกลับไป เ้าเลยโกรธอาเสียแล้ว"
"ไม่ใช่ขอรับ" อันหรงเหอสั่นศีรษะ แล้วจึงยอมขยับเข้ามาใกล้ ในตอนนั้นเอง อันซิ่วเอ๋อร์ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางเหลือบมองจางเจิ้นอันแวบหนึ่ง แล้วกล่าว "อ้อ ข้ารู้แล้ว หรือว่าเป็เพราะท่านอาเขยของเ้าตำหนิเ้าในห้องเรียน"
อันหรงเหอไม่ได้เอ่ยคำใด แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็พอจะเดาได้กระจ่างใจ นางจึงกล่าวว่า "ในห้องเรียน เขาคือท่านอาจารย์ แต่พอกลับมาบ้าน เขาก็คือท่านอาเขยของเ้า เ้าไม่ต้องกลัวเขาหรอก"
"ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย" อันหรงเหอปฏิเสธเสียงแข็ง ทว่าสีหน้าของเขากลับดูผ่อนคลายลงมาก เมื่อหันไปเห็นจางเจิ้นอัน เขาก็เรียกขานอย่างนอบน้อมว่า "ท่านอาเขย"
"อืม ดีมาก" จางเจิ้นอันเลียนแบบท่าทีของอันซิ่วเอ๋อร์ ตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้อันหรงเหอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
อันซิ่วเอ๋อร์นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบหันไปกล่าวกับจางเจิ้นอัน "จริงสิเ้าคะ สร้อยข้อมือเบญจมงคลที่ข้าถักไว้ ท่านได้นำติดมาด้วยหรือไม่"
"ไม่ได้นำมา" จางเจิ้นอันสั่นศีรษะ
"เช่นนั้นท่านก็กลับไปเอามาให้ข้าหน่อยเถิด พวกเด็กๆ พวกนี้ชอบดูเื่สนุกกันทั้งนั้น เดี๋ยวพอถึงเวลาแข่งจริง จะต้องพากันวิ่งมาที่ริมน้ำหมู่บ้านเราแน่ๆ ท่านรีบกลับไปนำมาเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะมอบให้หรงเหอ เพื่อให้เขาช่วยนำไปแจกจ่ายให้เพื่อนๆ" อันซิ่วเอ๋อร์รีบสั่ง
จางเจิ้นอันพยักหน้ารับคำ แล้วค่อยๆ เบียดฝูงชนเดินจากไป อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทีไม่เร่งรีบของเขาก็ะโไล่หลัง "ท่านรีบหน่อยนะเ้าคะ อีกเดี๋ยวการแข่งก็จะเริ่มแล้ว!"
"วางใจเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับ" จางเจิ้นอันหันกลับมามองอันซิ่วเอ๋อร์แวบหนึ่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเบียดฝูงชนออกไปเร็วขึ้น
เงาร่างสูงของเขาถูกฝูงชนบดบังหายไปอย่างรวดเร็ว อันซิ่วเอ๋อร์มองตามจนสุดสายตา จากนั้นจึงหันกลับมาพูดคุยสัพเพเหระกับต่งซื่อต่อไป
"ท่านอาให้ท่านอาเขยกลับไปนำสิ่งใดมาหรือขอรับ" อันหรงเหอเอ่ยถามขึ้น
"ท่านอาเขยของเ้าตั้งใจจะมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเ้าน่ะสิ ข้าก็เลยให้เขากลับไปนำมา ให้เ้าช่วยนำไปมอบให้แก่สหายร่วมสำนักของพวกเ้าด้วย"
อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้ม เอื้อมมือไปแตะศีรษะเขาเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองยังแม่น้ำอีกครั้ง
"ของขวัญอันใดหรือขอรับ" อันหรงเหอดูท่าทางอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก
"สร้อยข้อมือเบญจมงคลน่ะสิ" อันซิ่วเอ๋อร์แย้มรอยยิ้ม ลูบศีรษะเขาอีกครั้ง จากนั้นก็หันความสนใจไปยังแม่น้ำต่อไป
ฝีพายในแม่น้ำเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว เรือแต่ละลำมีฝีพายสิบคนต่างเข้าประจำที่เรียบร้อย ผู้ใหญ่บ้านถือไม้ตีกลองคอยให้จังหวะอยู่เรื่อยๆ ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปเมื่อได้ยินเสียงกลองก็รีบเดินทางมุ่งหน้ามาสมทบ
เทศกาลไหว้บ่ะจ่างถือเป็เทศกาลสำคัญในสายตาของชาวบ้าน อีกทั้งยังมีการแข่งเรือัอันน่าตื่นเต้น ชาวบ้านที่ชื่นชอบความครึกครื้นทั้งหลายต่างก็ละวางงานในมือ รีบรุดมุ่งหน้ามายังริมน้ำ ไม่นานนัก ริมฝั่งแม่น้ำก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณทำเลดีที่พวกอันซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ ยิ่งเบียดเสียดไปด้วยผู้คนจนแทบไม่มีที่ยืน
ผู้ใหญ่บ้านยกเขาสัตว์ขึ้นจรดริมฝีปาก เป่าสัญญาณเสียงดังขึ้นครั้งหนึ่ง เสียงนั้นโหยหวน ฟังแล้วให้ความรู้สึกโศกศัลย์อยู่บ้าง เสียงพูดคุยจอแจรอบข้างพลันเงียบลง ทุกคนต่างหันไปมองยังทิศทางของผู้ใหญ่บ้าน ตั้งใจฟังชายชราที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเริ่มอ่านบทกวีด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
"กลับมาเถิด กลับมาเถิด! เกรงร่างจักถูกทิ้งร้างกลางไพรสณฑ์…
ดวงิญญาเอ๋ย จงกลับคืนมา! ทิศอุดรนั้นไม่อาจพักพิงได้นาน…
…………
เกาหลานขวางกั้นไว้ เส้นทางนั้นค่อยห่างร้างไกล…
ผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล มีต้นซ่งสูงตระหง่านริมฝั่ง…
สุดสายตาพันลี้ ดวงใจปวดร้าวในวสันตฤดู…
ดวงิญญาเอ๋ย จงกลับคืนมา”
นี่คือบทกวี ‘ความเศร้าโศกแห่งเจียงหนาน’ [1]
ชายชราผู้นี้อ่านจบท่อนหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านก็จะตีกลองหนึ่งครั้ง บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างขรึมขลังและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อบทกวีไว้อาลัยนี้สิ้นสุดลง ผู้ใหญ่บ้านก็ตีกลองเสียงดังหนักแน่นอีกครั้ง มีชาวบ้านจุดธูปเทียน จุดประทัด จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็รัวกลองส่งสัญญาณอีกครั้ง พิธีรีตองอันยาวนานนี้จึงถือว่าสิ้นสุดลงเสียที ไม่ทันที่เขาจะต้องกล่าววาจาใดๆ เรือทั้งสองลำในแม่น้ำก็เริ่มเคลื่อนออกตัว แข่งขันชิงความเป็หนึ่งกันอย่างดุเดือดแล้ว
"เหตุใดท่านพี่จึงยังไม่มาอีก" อันซิ่วเอ๋อร์เกรงว่าเขาจะพลาดชมภาพการแข่งขันอันน่าตื่นเต้นนี้ จึงได้แต่ชะเง้อคอมองหาเขาอยู่ที่ริมฝั่ง
ฝูงชนส่วนใหญ่ได้วิ่งตามเรือไปยังท่าน้ำด้านล่างแล้ว มีเพียงอันซิ่วเอ๋อร์และครอบครัวพี่สะใภ้รองที่ยังคงรอคอยอยู่ตรงนั้น ในที่สุด นางก็เห็นจางเจิ้นอันถือห่อผ้าเล็กๆ เดินฝ่าผู้คนเข้ามา อันซิ่วเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะค้อนให้เขาเบาๆ พลางกล่าวว่า "เหตุใดท่านเพิ่งมาเล่าเ้าคะ"
นางรับห่อผ้ามา รีบวิ่งไปมอบให้แก่อันหรงเหอ จากนั้นก็วิ่งกลับมายังข้างกายจางเจิ้นอัน กล่าวว่า "ตอนนี้ผู้คนริมฝั่งแม่น้ำมากมายถึงเพียงนั้น พวกเราคงเบียดเข้าไปชมใกล้ๆ ไม่ได้แล้ว คงทำได้เพียงชมอยู่แถวนี้เท่านั้น"
"ไม่เป็ไร" จางเจิ้นอันไม่ได้ใส่ใจนัก การแข่งเรือพายในชนบทเช่นนี้ก็มีรสชาติไปอีกแบบ ทว่าเขาเคยเห็นภาพการแข่งเรือัอันยิ่งใหญ่ตระการตา เรือยาวที่ตกแต่งอย่างวิจิตรนับสิบลำเคลื่อนที่ไปในแม่น้ำพร้อมเพรียงกัน การแข่งขันเล็กๆ เช่นนี้จึงไม่อาจเทียบได้
ในยามนั้น เวลาที่เขาชมการแข่งเรือั ส่วนใหญ่ก็จะนั่งสบายอยู่บนเรือสำราญที่ตกแต่งอย่างงดงาม สายลมพัดเอื่อย ม่านแพรปลิวไสว จิบสุราสงหวงชั้นเลิศสองสามจอก ฟังเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมที่ดังแว่วมา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การต้องมายืนเบียดเสียดส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเช่นนี้ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ทว่าเมื่อเหลียวมองสตรีข้างกายที่กำลังจับจ้องไปยังแม่น้ำอย่างตื่นเต้นไม่วางตา เขาก็พลันรู้สึกว่าบรรยากาศที่เคยดูจืดชืดในสายตาตนนั้น กลับมีสีสันและน่าสนใจขึ้นมาอย่างประหลาด
"อืม เหตุใดเ้าไม่วิ่งตามไปชมเล่า" เมื่อได้สติกลับคืนมา จางเจิ้นอันก็เพิ่งสังเกตว่าเรือแข่งทั้งสองลำในแม่น้ำได้พายห่างออกไปไกลแล้ว
"ไม่เป็ไรเ้าค่ะ อย่างไรเสียอีกเดี๋ยวพวกเขาก็ต้องพายกลับมาทางนี้อยู่ดี ข้าี้เีวิ่งตามไปแล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่บนคันดินริมตลิ่ง พิงแอบอยู่กับต้นหลิวแก่ที่แผ่กิ่งก้านคดเคี้ยวไปมา กิ่งหลิวอ่อนช้อยที่ห้อยระย้าลงมาจากเหนือศีรษะของนาง กลับยิ่งขับเน้นให้นางดูงดงามอ่อนหวานราวกับภาพวาด
"จอมี้เี" จางเจิ้นอันเอ่ยหยอกนาง เห็นได้ชัดว่าเป็คำตำหนิ ทว่าน้ำเสียงที่กล่าวออกมาจากปากของเขากลับเจือความเอ็นดูอยู่หลายส่วน
"ไปกันเถอะ" จางเจิ้นอันพลันเดินเข้ามาจูงมือนาง
"ไปไหนหรือเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ยังตามไม่ทัน
"พวกเรามีเรือลำเล็กอยู่ไม่ใช่รึ พายเรือตามพวกเขาไปชมใกล้ๆ กันดีกว่า"
แววตาของจางเจิ้นอันทอประกายอบอุ่นอ่อนโยน เขากล่าวต่อ "พวกเรานั่งกินขนมจ้าง จิบสุราสงหวง ลอยเรือตามพวกเขาไปด้านหลัง ชมพวกเขาพายแข่งกันอย่างสุดกำลัง ไม่สนุกกว่าหรือ"
"แล้วท่านผู้ใหญ่บ้านจะไม่ว่าเอาหรือเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์เริ่มใจอ่อน ทว่าก็ยังเกรงว่าจะไปสร้างความวุ่นวายให้แก่การแข่งขัน
"ไม่ว่าหรอก" จางเจิ้นอันสั่นศีรษะ กล่าวว่า "พวกเราเพียงตามอยู่ด้านหลังพวกเขา ไม่ได้เข้าไปขวางทางแต่อย่างใด"
"เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างยินดี เดินตามจางเจิ้นอันไปยังท่าน้ำ่ที่ใกล้บ้านของตนเอง เมื่อไปถึงบริเวณที่จางเจิ้นอันจอดเรือไว้ ฝีพายเ่าั้ก็พายลับหายไปจากสายตาแล้ว จางเจิ้นอันไม่ได้ร้อนใจอันใด เขาค่อยๆ ปลดเชือกที่ผูกเรือออก แล้วเริ่มลงมือพายเรือ
บริเวณนี้กระแสลมสงบ น้ำไหลเอื่อย จางเจิ้นอันพายเรือด้วยความเร็วคงที่ เรือลำเล็กก็เบาและคล่องตัว ไม่นานนัก ก็เริ่มมองเห็นเงาร่างของเรือแข่งทั้งสองลำอยู่ไกลๆ อันซิ่วเอ๋อร์แย้มรอยยิ้ม หันไปมองจางเจิ้นอัน กล่าวว่า "พวกเราใกล้จะตามทันพวกเขาแล้วเ้าค่ะ"
"ใช่แล้ว" จางเจิ้นอันกล่าวพลางวางไม้พายลง กล่าวต่อ "แถวนี้แม่น้ำกว้างขวาง ปล่อยให้เรือลำนี้ล่องลอยไปตามกระแสน้ำเถิด พวกเราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า"
"ข้าไม่อยากดื่มสุราเท่าใดนัก แต่ว่าคราวนี้ข้าซื้อเหล้าสาโท [2] มาด้วย พอจะดื่มเป็เพื่อนท่านได้สักจอกเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์รีบบอกจางเจิ้นอันล่วงหน้า
เชิงอรรถ
[1] คัดลอกบางส่วนมาจากบทกวี ‘ชวีหยวน’ บทกวีเรียกขวัญเจาหุน ใช้ขับร้องเรียกขวัญในงานแข่งขันเรือัใน่เทศกาลไหว้บ่ะจ่าง
[2] เหล้าหวานหมักจากข้าว
