โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรม ทั้งคู่ต่างก็ได้รับาเ็ที่ศีรษะเหมือนกันแต่เหอชูซานกลับต้องพันแผลรอบศีรษะเหมือนพวกแขกอินเดีย ในขณะที่ชย่าลิ่วอีทำเพียงแค่ติดพลาสเตอร์ วันรุ่งขึ้นเขามาเยี่ยมกองถ่ายโดยที่มีตัวอักษรเบี้ยวๆ เขียนอยู่บนพลาสเตอร์ว่า ‘ชย่า’ เหอชูซานรู้สึกว่ามันดูงี่เง่ามาก แต่บรรดาลูกน้องของเขากลับพร้อมใจกันชม “พี่ลิ่วอี! เท่มาก!”
ชย่าลิ่วอีนั่งไขว่ห้างบนโต๊ะ ใช้มือซ้ายจิ้มขนมจีบปลาขึ้นมาอย่างชำนาญ ก่อนเหลือบตามองเหอชูซานอย่างอดไม่ได้ “มองอะไร?!”
เหอชูซานจ้องมือขวาของเขาที่ถูกพันแผลเหมือนแขนมัมมี่ เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วรวบรวมความกล้าถามออกไปว่า “เจ็บไหมครับ?”
“แกถามว่าเจ็บไหมงั้นหรือ?! จะให้สับมือทิ้งไปเลยดีไหมล่ะ?! พูดอะไรไร้สาระ!”
“พี่สาวของพี่โอเคไหม?”
ชย่าลิ่วอีหยุดชะงัก สีหน้าเ็าขึ้นมาเล็กน้อย
“‘ซ้อใหญ่’ โอเคไหม?” เหอชูซานรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
ชย่าลิ่วอีคีบขนมจีบอีกชิ้น แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
เหอชูซานกลืนน้ำลายอีกครั้ง เมื่อสังเกตสีหน้าและท่าทางของชย่าลิ่วอีแล้ว เขาคิดว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่พอใจนัก แต่โอกาสที่จะะเิอารมณ์ใส่เขานั้นมีไม่มากเท่าไร เขาจึงรวบรวมความกล้าพูดต่อ “ขอบคุณสำหรับเมื่อวานนะครับ”
“ไอ้หนู” ในที่สุดชย่าลิ่วอีก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรำคาญ
เหอชูซานเบิกตากว้างรอฟังประโยคต่อไป
“อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ในเมื่อนายทำงานให้ฉัน นายก็คือลูกน้องของฉัน การดูแลพี่น้องเป็เื่ที่ฉันควรทำ พอนายเขียนบทเสร็จพวกเราก็จะไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันอีก ต่อให้นายตายอยู่ข้างถนนฉันก็จะไม่ชายตามอง ฉะนั้นตอนนี้หุบปากของนายซะ! ถ้าพูดพล่อยๆ อีกคำเดียวฉันจะตัดลิ้นของนายทิ้ง!”
“...” เหอชูซานรู้สึกว่าความจริงใจของเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
อันธพาลก็คืออันธพาล ต่อให้ช่วยชีวิตคุณไว้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะกลายเป็คนดี– เขาเพิ่งจะเข้าใจความจริงที่เรียบง่ายและเป็สากลนี้
ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรอีกแล้วหันไปจมอยู่กับการเขียนบทสนทนาด้วยความหดหู่ นางเอกผู้งดงามถูกมัดไว้บนแท่นสูง ร้องไห้บอกพระเอกที่กำลังต่อสู้จนเืไหลนองอยู่ด้านล่างว่า “อย่าสู้ต่ออีกเลย เพื่อฉันแล้วมันคุ้มค่าหรือ” พระเอกกระอักเืและพูดว่า “เพื่อเธอ ทุกอย่างมันคุ้มค่า”
“ไร้สาระ! คิดว่าเขาชอบเธอหรือ? เขาแค่ชอบการต่อสู้ต่างหาก!” – เหอชูซานสบถเงียบๆ ในใจเป็ครั้งแรกในชีวิต
ให้อภัยเขาเถอะ เขาเป็เหมือนกระดาษขาวสะอาดที่เผลอเข้ามาอยู่ในสถานที่สกปรกแบบนี้ได้ไม่กี่สัปดาห์ พอได้ยินได้ฟังอะไรมากๆ เข้าก็พลอยเสื่อมเสียตามไปบ้าง
……
หลังจากที่ชย่าเสี่ยวหม่านอาละวาดในกองถ่ายวันนั้น เธอก็พักงานไม่มายังกองถ่ายถึงหนึ่งสัปดาห์ น้ำเสียงของเธอที่ชย่าลิ่วอีได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เขาก็ยังไม่วางใจ วันนี้เขาจึงตั้งใจหาเวลาว่าง่บ่ายออกจากเมืองกำแพงเจียวหลงไปเยี่ยมเธอที่วิลล่าริมทะเลของชิงหลง
ชย่าเสี่ยวหม่านไม่คิดว่าเขาจะมา เธอไม่ได้แต่งหน้าและยังอยู่ในชุดนอนบางโปร่งแสง สีหน้าดูเศร้าสร้อยราวกับว่าลมทะเลสามารถพัดเธอให้ลอยหายไปได้ทุกเมื่อ
“แล้วพี่ใหญ่ล่ะ?” ชย่าลิ่วอีถาม
“ออกไปข้างนอกแล้ว” ชย่าเสี่ยวหม่านพูดแล้วพิงตัวเข้ากับแผ่นหลังของผู้เป็น้องชายอย่างแ่เบา พร้อมกับพูดด้วยสายตาเหม่อลอยว่า “และเขามักจะไม่กลับมา”
“พี่ใหญ่คงยุ่งมาก” ชย่าลิ่วอีตบมือลงบนแขนของเธอเบาๆ
“แล้วนายล่ะ? นายก็ยุ่งมากใช่ไหม นายไม่เคยมาหาฉันเลย”
ชย่าลิ่วอีตบมือลงบนแขนของเธออีกครั้ง “นี่ไง ฉันมาแล้ว เมื่อไรที่พี่อยากเจอก็โทรหาฉันได้เลย ฉันจะมาทันที”
จากนั้นเขาก็ใช้ข้ออ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อออกไปข้างนอก ก่อนจะเรียกพ่อบ้านมาพูดคุยอย่างลับๆ “คุณผู้หญิงทานยาไปหรือยัง”
“ทานแล้วครับ พี่ลิ่วอี”
“เธอทานจริงๆ หรือ? เธอไม่ได้แอบทิ้งมันใช่ไหม?”
“ไม่ครับ คุณผู้หญิงทานยาอย่างว่าง่าย”
เมื่อเขากลับมาก็เห็นว่าชย่าเสี่ยวหม่านกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างด้วยท่าทางที่เหมือนกับิญญา เธอยืนเขย่งปลายเท้าแล้วกางแขนออกราวกับหงส์ขาวแสนบอบบาง
“นายไปถามเื่ยาพวกนั้นหรือ?” เธอพูด “ฉันกินมันเรียบร้อยแล้ว”
ชย่าลิ่วอีกอดเธอ
“ฉันกินยาเรียบร้อยแล้วจริงๆ นะ” ชย่าเสี่ยวหม่านพิงตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นแล้วเกลี่ยปลายนิ้วเล่นกับขนตาของเขา “ฉันน่ะไม่มีอะไรหรอก แค่หงุดหงิดน่ะ หงุดหงิดที่ทำไมพวกนายถึงต้องให้ฉันกินยา หงุดหงิดที่พวกนายมองฉันเป็คนบ้า หงุดหงิดที่นายไม่ค่อยมาหาฉัน หงุดหงิดเขา...”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ชย่าเสี่ยวหม่านร้องไห้โฮออกมา “ฮือ!!! อาลิ่ว! บอกฉันมาตามตรงนะ! เขามีคนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นใช่ไหม! ฮือๆ... ฉันไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิด เขาถึงไปชอบคนอื่น...”
ชย่าลิ่วอีตบหลังเธอเบาๆ “เขาไม่มีใครข้างนอกหรอก เขาแค่ยุ่งมากจริงๆ”
“นายโกหกฉัน” ชย่าเสี่ยวหม่านร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักขึ้น “ฉันไม่โทษนายหรอก ฉันรู้ว่านายไม่อยากให้ฉันเสียใจเลยช่วยเขาโกหกฉัน... แต่ถ้าเขาไม่มีใครข้างนอก แล้วทำไมเขาถึงไม่รักฉัน...”
“นายรู้ไหม อาลิ่ว” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ ดวงตาคู่นั้นว่างเปล่าและเหม่อลอย เธอจับแขนของชย่าลิ่วอีแน่น “เขาไม่ค่อยกอดฉัน ฉันถึงได้มองเขาอย่างตั้งใจตอนที่เขาเข้ามากอด ฉันรู้ว่าเขากำลังคิดถึงคนอื่น! ท่าทางแบบนั้นแสดงว่าเขากำลังคิดถึงคนอื่นอยู่แน่ๆ! เขาต้องคิดถึงคนอื่นถึงจะกอดฉันได้! นายบอกมาสิว่านังผู้หญิงสารเลวนั่น นางจิ้งจอกนั่นเป็ใคร! เธอดีกว่าฉันตรงไหน! ฉันทำอะไรผิด...”
“พี่ครับ...” ชย่าลิ่วอีหยุดความคลุ้มคลั่งนั้นด้วยการกดหน้าของเธอเข้ากับอกของเขา เขาถอนหายใจก่อนจะลูบผมของเธอแ่เบา “พี่ พี่คิดมากไปแล้วจริงๆ พี่เหนื่อยแล้ว นอนพักสักหน่อยเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่กับพี่จนกว่าพี่ใหญ่จะกลับมา ฉันจะไม่ไปไหน โอเคไหม?”
……
ในค่ำคืนอันเงียบสงัด ชย่าลิ่วอีเดินออกจากห้องเงียบๆ เขาปิดประตูลงอย่างแ่เบาระวังไม่ให้ชย่าเสี่ยวหม่านที่นอนขดตัวห่มผ้าหลับสนิทตื่นขึ้นจากนิทรา แล้วลงไปนั่งสูบบุหรี่ที่ห้องนั่งเล่น
เสียงเครื่องยนต์รถดังคำรามมาจากข้างนอก ไม่นานนักชิงหลงก็เดินเข้ามาพร้อมกับบอดี้การ์ดหลายคน
เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ แววตาของชิงหลงก็แสดงความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย เขาโบกมืออย่างใจเย็น บอดี้การ์ดจึงแยกย้ายกันไป
“มาได้ยังไง” เขาพูด “ได้ยินมาว่านายได้รับาเ็?”
ชย่าลิ่วอีเงยหน้ามองเขา ยกมือที่พันแผลขึ้นมาเกาหัวแล้วไม่พูดอะไร
ชิงหลงไม่ใส่ใจ ถอดสูทอย่างสุภาพแล้วนำไปคลุมไหล่ให้เขา “ดึกแล้ว ไม่ต้องกลับ ไปนอนที่ห้อง”
ชย่าลิ่วอีสวมสูทที่อบอุ่นของเขาแล้วสูบบุหรี่อีกสองสามครั้งอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดขอร้อง “พี่ใหญ่ พี่ช่วยทำดีกับเธอหน่อยได้ไหม?”
ชิงหลงหยุดชะงัก “ฉันพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว”
“ไม่” ชย่าลิ่วอีพูดอย่างหงุดหงิด เขาทิ้งก้นบุหรี่ลงบนโต๊ะกาแฟ “พี่ดูเธอตอนนี้สิ!”
บอดี้การ์ดสองคนวิ่งเข้ามาที่ประตูอย่างรวดเร็ว มองชย่าลิ่วอีด้วยความระแวดระวัง
ชิงหลงโบกมืออย่างไม่แยแส พวกเขาจึงถอยกลับไป
ชิงหลงนั่งลงข้างๆ ชย่าลิ่วอี “ฉันให้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่เธอแล้ว เธอ้าอะไรฉันก็ให้เธอ ผู้หญิง้าอะไร เธอก็มีครบ”
“ผู้หญิงไม่ได้้าสิ่งเหล่านี้! พี่ก็รู้! พี่ช่วยจริงใจกับเธอหน่อยได้ไหม...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้