เพราะต้องเร่งเดินทางในตอนกลางวัน ครึ่งคืนแรกยังต้องคอยหวาดระแวงกับด้านนอก เมื่อถึงครึ่งคืนหลัง ทั้งสองจึงผล็อยหลับไปด้วยความง่วง หลังจากหลับไปได้ครู่หนึ่ง ทั้งสองก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังจากตื่นขึ้นมาภายใต้แสงจันทร์สลัว ทั้งสองสังเกตเห็นเงาคนที่กำลังสั่นไหวอยู่นอกหน้าต่าง และไม่ใช่เพียงคนเดียว
กู้หนานเฟิงยกนิ้วชี้ขึ้นไปทางหลิวเยว่ และให้นางนอนลงบนเตียงโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เขาคิดจะลุกขึ้นไปเฝ้าที่ประตู
แต่เมื่อเขาลุกขึ้น ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี
แย่แล้ว ถูกคนวางยาพิษ
ในเวลาเดียวกัน หลิวเยว่ก็รู้สึกว่าร่างกายของนางไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนกัน เพราะคนนอกหน้าต่างพ่นควันพิษเข้ามา
กู้หนานเฟิงฝืนให้ร่างกายของตัวเองมีแรง กัดปลายลิ้นของตัวเองรวบรวมพลังคว้าผ้าขนหนูมาชุบน้ำปิดจมูกของหลิวเยว่ เพื่อไม่ให้สูดเอาควันพิษเข้าไปในร่างกาย
แต่ก็สายเกินไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง และหลิวเยว่ก็หมดสติไปในที่สุด
เพื่อขโมยของมีค่าหรือขโมยชีวิต? กู้หนานเฟิงยังคงมีสติอยู่เล็กน้อย เขาพยายามเข้าใกล้หลิวเยว่อย่างสิ้นหวัง ซ่อนตัวของนางให้ดี เพื่อรับรองความปลอดภัยของนาง แต่มันไม่ได้ผล เขาไร้เรี่ยวแรงจริงๆ แล้ว และจิตสำนึกของเขาก็เริ่มเลื่อนลอย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร และพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด เมื่อตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นว่าฟ้าสว่างแล้ว พวกเขายังคงอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ และกำลังนอนอยู่บนเตียงใหญ่ในท่าเดียวกับเมื่อคืน ไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่เกิดเื่อะไรขึ้น? พวกเขาแค่ตื่นตระหนกไปเองอย่างนั้นหรือ?
กู้หนานเฟิงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามหลิวเยว่ที่อยู่ข้างๆ เขาทันที
“เ้าเป็อะไรหรือไม่?”
หลิวเยว่ส่ายศีรษะ ดูเหมือนว่านางจะได้กลิ่นหอมของดอกชุนจิ่นในอากาศ เพราะกลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้ช่างพิเศษเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงรู้สึกไวกับกลิ่นนี้เสมอ
ทันใดนั้นดวงตาของนางก็จ้องมองไปทางด้านหลังของกู้หนานเฟิงและ และกู้หนานเฟิงก็มองตามไป
ที่แท้ด้านหลังโต๊ะกลมก็มีคนสามคนที่ร่างกายเต็มไปด้วยเื เขาใและบังให้หลิวเยว่อยู่ข้างหลังเพื่อปกป้องนางตามสัญชาตญาณ
หลิวเยว่ผลักเขา
“ตายแล้ว”
คนทั้งสามแต่งกายด้วยชุดดำและสวมผ้าคลุมหน้า ร่างกายเต็มไปด้วยเื แต่พวกเขานอนนิ่งๆ น่าจะตายั้แ่เมื่อคืนแล้ว กู้หนานเฟิงและหลิวเยว่นั่งยองๆ ข้างชายสวมผ้าคลุมหน้าทั้งสามคน หลังจากการสังเกตอย่างระมัดระวัง พวกเขาพบว่าทั้งสามคนถูกกรีดคอตายแล้ว ลำคอมีรอยแผลและรอยแผลนั้นเป็รูปผีเสื้อหนึ่งตัว
รูปร่างเช่นนี้ดูคุ้นตา และหลิวเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าเป็ของหญิงสาวที่ชื่อเตี๋ยเย่ที่อยู่ในหอนางโลมเฟยชุ่ย เป็ลายที่ปักอยู่บนเสื้อบริเวณไหล่ของนาง
ยังมีกลิ่นหอมที่เหมือนดอกชุนจิ่น
หรือว่าจะเป็นาง?
นางอยู่ในเมืองโบราณนี้หรือ?
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้? นางและกู้หนานเฟิงถูกวางยาจนสลบ แล้วทั้งสามคนก็มาตายในห้องพักของพวกนาง?
หรือว่านางช่วยชีวิตพวกนาง?
กู้หนานเฟิงยังคงสงสัยอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับรู้สึกว่ารูปผีเสื้อบนาแนี้คุ้นเคยนัก แต่เขาจำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นที่ใดมาก่อน อีกอย่าง กลิ่นของดอกไม้ชุนจิ่นนั้น คนทั่วไปย่อมไม่รับรู้ มีแค่คนที่ได้ัักับดอกชุนจิ่นเท่านั้นถึงจะมีประสาทัักับกลิ่นนี้
ในเวลานั้น เหย่เลี่ยเคยให้ดอกชุนจิ่นกับนางและบอกนาง
“เห็นดอกไม้ก็เหมือนเห็นคน ดอกไม้อยู่ ข้าก็อยู่ด้วย”
เหย่เลี่ย? เหมือนเมื่อก่อน ตราบใดที่นางตกอยู่ในอันตราย เหย่เลี่ยมักจะมาหานางทันที?
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของนางพลันเต้นแรง นางลุกขึ้นและ้าจะออกไปข้างนอก แต่กู้หนานเฟิงกลับรั้งนางไว้
“หลิวเยว่ อีกเดี๋ยวค่อยออกไป คนสามคนนี้ตายในห้องพักของเรา เราต้องหาวิธีพาพวกเขาออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงเกิดเื่ลำบากแน่”
จากนั้นหลิวเยว่จึงสงบลง ก่อนจะหันมาคุยกับกู้หนานเฟิงว่าควรซ่อนศพทั้งสามนี้อย่างไร ไม่ว่าพวกมันจะ้าขโมยเงินหรือขโมยชีวิต แต่สรุปแล้วต้องไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็ว เมื่อไปถึงขบวนขนส่งเสบียงถึงจะปลอดภัย
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ และมีคนเดินเข้ามา
เมื่อหลิวเยว่เงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่นางจากหอเฟยชุ่ย นางยังคงสวมชุดสีแดงเข้มและมีเสน่ห์เช่นเคย ทั้งยังมีผีเสื้อปักบนเสื้อผ้าบนไหล่ของนาง ผีเสื้อตัวนั้นคล้ายกระตือรือร้นอยากจะบินจากไป เป็นางจริงๆ ด้วย
“เ้าเป็ใคร?” กู้หนานเฟิงถามนางก่อน เขาจำได้ว่าสตรีคนนี้คือหญิงที่เต้นรำในหอเฟยชุ่ยในวันนั้น แต่เป็มิตรหรือศัตรูเล่า? เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ทว่าเตี๋ยเย่ไม่มองกู้หนานเฟิง แต่เดินไปข้างหน้าและโค้งคำนับหลิวเยว่พลางเอ่ยว่า
“ข้าคือเตี๋ยเย่”
จากนั้นนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแต่มองหลิวเยว่เงียบๆ และส่งดอกชุนจิ่นให้นาง
ไม่จำเป็ต้องพูดอะไรอีก เหย่เลี่ยส่งนางมาที่นี่ แม้ว่าหลิวเยว่จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อควบคุมอารมณ์ แต่เมื่อนางหยิบเอาดอกชุนจิ่นขึ้นมา เมื่อดมกลิ่นหอมนั่น ดวงตาของนางพลันเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ไม่สามารถควบคุมมันได้
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชีวิตนี้ เหย่เลี่ยจะยังคอยช่วยเหลือนางตลอด
เพราะสถานะพิเศษของเหย่เลี่ย เขาคือองค์ชายแห่งแคว้นเสวียนซึ่งเป็ปรปักษ์กับราชวงศ์ทง ดังนั้นแม้ว่านางอยากจะถามเตี๋ยเย่สักพันคำในเวลานี้ นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ และนางยิ่งไม่กล้าถามออกไป
เตี๋ยเย่มองดูศพทั้งสามบนพื้นพลางหยิบขวดของเหลวออกมา
“พวกเ้าช่วยเดินออกไปด้านข้างสักหน่อย”
กู้หนานเฟิงและหลิวเยว่ต่างถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าว
เห็นเตี๋ยเย่เทของเหลวในขวดลงบนศพที่พื้น ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นว่าศพนั้นกลายเป็ฟอง แล้วกลายเป็แอ่งน้ำสีเหลือง จากนั้นศพก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ผงทำลายศพ?” กู้หนานเฟิงมองไปยังเตี๋ยเย่อย่างหวาดกลัว เขาแทบไม่กล้าจินตนาการเลยว่าสตรีที่มีใบหน้างดงามกลับสามารถทำลายศพด้วยท่าทีนิ่งสงบได้
เขาดึงหลิวเยว่ออกมา
“ไปเถอะ อยู่ให้ห่างจากนาง”
“กู้หนานเฟิง นางช่วยเหลือเรา” หลิวเยว่ปฏิเสธที่จะออกไป
“แล้วนางจะช่วยเราโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ที่นางเข้าใกล้พวกเราเพราะมีจุดประสงค์อื่น เมื่อวานเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองกู่เจิน เ้ากับข้าไม่รู้เลย เป้าหมายของนางคืออะไร?”
กู้หนานเฟิงไม่รู้เื่นี้ ดังนั้นเขาจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“ถ้านาง้าทำร้ายเราจริงๆ พวกเราจะหนีออกไปได้หรือไม่?” หลิวเยว่เอ่ยเสียงดัง จากนั้นกู้หนานเฟิงก็หยุดฝีเท้าและมองไปยังเตี๋ยเย่และหลิวเยว่ เขาเอ่ยถามนางด้วยความไม่แน่ใจ
“เ้ารู้จักนางหรือ?”
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยที่เ็าของหลิวเยว่ นางคงหวาดระแวงคนแปลกหน้ามากกว่าเขาแล้ว
“ข้าไม่รู้จักนาง แต่ข้าเชื่อนาง”
คนที่นางเชื่อคือเสวียนเหย่เลี่ย เชื่อในแคว้นเสวียน คำสั่งของนายน้อย คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาล้วนสาบานจะจงรักภักดีจนตัวตาย ในเมื่อเตี๋ยเย่เป็คนที่เหย่เลี่ยส่งมาเพื่อปกป้องนาง เขาย่อมจะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน
นางยังจำได้ ตอนที่นางอยู่ในตำหนักลิ่วฉือ ภายใต้แสงตะเกียงที่โดดเดี่ยว เหย่เลี่ยหยิบดอกชุนจิ่นมาให้นางแล้วกล่าวว่า
“ดอกไม้อยู่ ข้าก็อยู่”
เนื่องจากการยืนกรานของหลิวเยว่ เตี๋ยเย่จึงติดตามพวกเขาไปตลอดทาง เพื่อพาขบวนเสบียงไปส่งที่เมืองตั้งหยาง เตี๋ยเย่พูดน้อยมาก โดยส่วนใหญ่แล้วนางมักจะยืนอยู่ข้างหลังหลิวเยว่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเลย เอาแต่มองรอบด้านด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่ตราบใดที่หลิวเยว่้า นางย่อมจะไปปรากฏตรงหน้าหลิวเยว่ในทันที
เมื่อมีเตี๋ยเย่อยู่ด้วย หัวใจของหลิวเยว่จึงรู้สึกมั่นคงมาก ในที่สุดนางก็มีกำลังที่พึ่งพาได้ และสามารถสนับสนุนให้นางได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ดังนั้นนางจึงดีกับเตี๋ยเย่มาก
บางครั้งกู้หนานเฟิงก็พูดว่า
“ยามนั้นข้าบอกจะซื้อนางกลับไปที่จวนให้เป็สาวใช้ของเ้า แต่เ้าบอกไม่้า ตอนนี้กลับหวงแหนเท่าชีวิต”
ครั้นกล่าวเช่นนี้ ในใจของเขายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับกำลังหึงหวง
เขานี่จริงๆ เลย หึงแม้แต่กับสาวใช้ ถ้าเื่นี้แพร่กระจายออกไป ต่อไปเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร? จะเป็บุรุษในฝันของแม่นางทั้งเมืองเทียนเฉิงอย่างไร?
หลิวเยว่ยิ้ม
“อย่าลืมว่าเตี๋ยเย่เป็คนช่วยชีวิตเรา ถ้าไม่มีนางในคืนนั้น เ้ากับข้าคงจบชีวิตที่โรงเตี๊ยมแล้ว”
การเดินทางนี้กินเวลาไปเกือบสิบวัน มีทั้งลมแรงและฝนตกทั้งวันทั้งคืน พวกเขาท้าลมและน้ำค้างมานาน จากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยหนีไปจากขบวนส่งเสบียงอีกเลย แม้จะลำบากแต่ก็ไม่มีอันตราย ไม่นานขบวนส่งเสบียงก็เดินทางเข้าไปในเมืองตั้งหยาง
เมื่อชาวเมืองเห็นว่ามีอาหารเข้ามา ต่างพากันส่งเสียงดีใจ วิ่งไปบอกคนอื่นๆ กระทั่งคุกเข่าขอบคุณ เหตุการณ์นี้ทำให้กู้หนานเฟิงและหลิวเยว่รู้สึกว่าการเดินทางมาช่างคุ้มค่า
เพราะจำนวนเสบียงที่พวกเขาขนส่งมานั้นมีจำนวนมากเกินไป ก่อนที่พวกเขาจะเข้าเมือง กู้หนานเฟิงจึงวางแผนแบ่งขบวนออกเป็สองกลุ่ม เสบียงที่แบ่งในแต่ละขบวนจะไม่เหมือนกัน และการป้องกันของกำลังทหารก็ต่างกัน
“ถ้าคนหิวมากๆ เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ศีลธรรมความเป็มนุษย์จะถูกทิ้งไว้เื้ั เมืองตั้งหยางในเวลานี้ จำนวนคนอดตายนั้นมีนับไม่ถ้วน เมื่อรู้ว่ามีเสบียงส่งมาที่เมืองตั้งหยาง ผู้ประสบอุทกภัยในบริเวณรอบๆ ย่อมจะแห่กันมาที่นี่ ข้ารับประกันเลยว่าจะมีผู้ประสบภัยมายืนรออยู่ด้านล่างตึก ถ้าควบคุมได้ไม่ดีพอจะทำให้เกิดาธัญพืช และเหตุการณ์จะวุ่นวาย ถ้าอาศัยพวกทหารเหล่านี้ไม่มีทางขวางได้เลย”
“ดังนั้น เสบียงทั้งหมดจึงต้องถูกจัดเก็บเป็ชุดๆ และตราบใดที่พวกเขาไม่รู้ว่าเมล็ดข้าวอยู่ที่ใด ย่อมจะไม่ก่อจลาจล”
กู้หนานเฟิงคิดอย่างถี่ถ้วน และเ้าเมืองแห่งเมืองตั้งหยางก็พยักหน้า
“ฮ่องเต้ยังคงให้ความสำคัญกับเสบียงชุดนี้อย่างมาก พระองค์ได้ส่งคนมาสนับสนุนแล้ว พรุ่งนี้เช้าเราจะเปิดคลังเสบียงแจกจ่าย”
ด้วยวิธีการทำงานของบรรดาขุนนาง หลังจากพวกเขาเดินทางมาถึง ใต้เท้าจู้้าขจัดความเหนื่อยล้าให้พวกกู้หนานเฟิงด้วยการจัดงานเลี้ยงต้อนรับ แต่กู้หนานเฟิงปฏิเสธ
“ตอนนี้ชาวเมืองตั้งหยางอยู่ในความลำบาก ถ้าใต้เท้าจัดงานเลี้ยงที่จวน เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง? หากเื่นี้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ผลที่ตามมานั้นยากจะจินตนาการ”
เมื่อใต้เท้าจู้ได้ยินกู้หนานเฟิงเอ่ยเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าตนจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาจึงใจนเหงื่อตก
“ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ขออภัย”
รูปร่างเตี้ยกลมนั้นรีบไปจากครรลองสายตาของกู้หนานเฟิงอย่างรวดเร็ว
ในใจของหลิวเยว่รู้สึกกังวล
“คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์เมืองตั้งหยางจะร้ายแรงกว่าที่ข้าคิด ตามหลักแล้ว น้ำท่วมเมืองตั้งหยาง ราชสำนักได้จัดสรรเสบียงมาให้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เหตุใดถึงยังมีผู้คนล้มตาย?”
“ราชสำนักได้จัดสรรเสบียงมาให้ แต่ขุนนางที่รับผิดชอบกลับลอบเก็บไว้เป็ของตัวเอง ปริมาณเสบียงที่ตกไปถึงมือของชาวบ้านจึงมีน้อยมาก ดูอย่างใต้เท้าจู้ก็พอจะรู้แล้ว ครั้งนี้พวกเรามาเอง และส่งให้ชาวบ้านโดยตรง”
“ขุนนางทุจริตเหล่านี้ไม่กลัวฮ่องเต้จะสอบสวนหรือ” หลิวเยว่รู้ดีว่าอวิ๋นซู่เกลียดชังขุนนางที่ทุจริตเหล่านี้มากเพียงใด เขาเคยบอกว่าขุนนางที่ทุจริตเหล่านี้ล้วนเป็หนอนเน่าของใต้หล้า หากไม่ถูกกำจัด หนอนเน่าเหล่านี้จะทำลายใต้หล้าไม่ช้าก็เร็ว
“ยังไม่ถึงเวลา” กู้หนานเฟิงพูดต่อ
หลังจากเดินทางมาสองวัน ตอนนี้จึงเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว ก็เข้านอนั้แ่หัววัน
เ้าเมืองอย่างใต้เท้าจู้จัดหาที่พักที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
กู้หนานเฟิงมีห้องพักแยกต่างหาก และตามคำขอของหลิวเยว่ นางก็ได้นอนพักกับเตี๋ยเย่
ในที่สุดก็มีโอกาสให้ทั้งสองได้อยู่กันตามลำพัง หลิวเยว่จึงเอ่ยถามเตี๋ยเย่
“นายน้อยของเ้าเป็อย่างไรบ้าง”
“สบายดีมาก” เตี๋ยเย่ยังคงพูดน้อยเช่นเดิม
หลิวเยว่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อทันที นางมีคำพูดเป็พันคำที่อยากจะพูดกับสหายที่ดีที่สุดของนาง แต่ในเมื่อเขาสบายดี เื่อื่นล้วนไม่สำคัญ
ทั้งสองคนกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ท่ามกลางความมืด เตี๋ยเย่ที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้น
“เ้าอยากไปใช้ชีวิตที่แคว้นเสวียนหรือไม่?”
ประโยคนี้กระแทกเข้ามาในหัวใจของหลิวเยว่
“ข้าไปไม่ได้”
นางไม่รู้ว่าชะตากรรมแบบใดรอนางอยู่หลังจากนางกลับมายังชาติภพนี้ แต่นางไม่้าให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเื่นี้มากเกินไป
แคว้นเสวียน? มันสิ่งต้องห้ามสำหรับนาง
เมื่อเตี๋ยเย่ได้ยินคำตอบของนาง เหมือนว่านางจะพลิกตัวและไม่ได้พูดอะไรอีก
ความเงียบพลันปกคลุมทั่วห้องทันที