“บ้านใหม่ของที่บ้านสร้างเสร็จแล้ว ควรสร้างขยายบ้านเก่าด้วย ไหนยังต้องเร่งทำงานในที่นาอยู่อีกพักหนึ่ง รั้วที่ล้อมพื้นที่ลาดเอียงนั่นก็ต้องเริ่มก่อสร้าง ตอนนี้ยิ่งนานวันลูกกระต่ายยิ่งมาก เอาแต่ขังไว้ในกรงนานๆ กระต่ายจะเลี้ยงได้ไม่ดี หากปล่อยเลี้ยงบนเนินลาดจะต้องมีคนเฝ้าตลอดเวลา ว่าจ้างคนทำงานระยะยาวให้มาช่วยเป็สิ่งที่จำเป็มากเ้าค่ะ” เจินจูง้างนิ้วมือนับงานที่ต้องทำ “อ่า แล้วยังมีสระน้ำของบ้านใหม่ที่ต้องเตรียมขุด จะได้เร่งปลูกดอกบัวก่อนที่ฤดูร้อนจะมาถึง ข้ายังคิดจะปลูกพวกไม้ผลไว้ที่ลานหน้าบ้านและลานหลังบ้านด้วย วางแผนงานมากมายที่จะทำไว้เยอะเลย จะทำไหวได้อย่างไรเ้าคะ”
“…” หวังซื่อถูกนางพูดใส่จนตกตะลึง มีงานมากมายเพียงนี้เลยหรือ? เหมือนว่าจะมีกำลังคนไม่พอจริงๆ นางคำนวณค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างคนงานระยะยาวเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะกล่าว “การว่าจ้างคนงานระยะยาวหนึ่งเดือนน้อยที่สุดต้องใช้เงินสองถึงสามร้อยเหวินเลยนะ หนึ่งปีอาจต้องจ่ายสองถึงสามเหลียงเลยด้วย”
เมื่อก่อน ตลอดทั้งปีพวกเขาหนึ่งบ้าน คิดอยากสะสมเงินให้ได้สองหรือสามเหลียงยังไม่แน่ว่าจะหาได้เลย หวังซื่อพึมพำ
“ฮ่าๆ ท่านย่า เงินที่หามาได้ก็ต้องใช้จ่าย ประหยัดเงินอย่างเดียวจะประหยัดได้สักเท่าไรเชียว กระต่ายเลี้ยงให้ดี ขายทิ้งหนึ่งชุดก็พอค่าแรงงานของคนงานระยะยาวหนึ่งคนต่อปีแล้ว ครอบครัวเราจะได้ผ่อนคลายลงได้บ้างนะเ้าคะ” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว “แค่จ่ายเงินเล็กน้อยทุกปี สามารถช่วยเหลือคนได้ แล้วยังสามารถแบ่งเบางานได้อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะเ้าคะ ในเมื่อเป็เช่นนี้แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะ”
เงินเล็กน้อย? หวังซื่อมุมปากกระตุก มองใบหน้ารูปไข่ของหลานสาวที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้ความจริงจะเป็ไปตามหลักการที่ว่าหาเงินมาได้แล้วก็ควรจ่ายออกไปเช่นนี้ แต่ก็มีความรู้สึกประหลาดใจ เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่ายัยหนูนี่เห็นเงินมาไม่กี่ครั้งเอง แต่พอจ่ายเงินขึ้นมากลับไม่มือไม้อ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
คิดถึงบ้านใหม่ของครอบครัวพวกนางขึ้นมา หวังซื่อรู้สึกหัวใจเต้นแรง
เดิมทีนางคิดว่าถึงจะสร้างบ้านหลังคามุงกระเบื้องและอิฐสีฟ้าครามตามแบบที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน ก็คงใช้จ่ายเงินไปไม่มากเท่าไร แต่ไม่กี่วันก่อนนางหาเวลาว่างไปดู กลับถูกพื้นบ้านที่ปูด้วยหินสีฟ้าครามทำให้ใมาก ทั้งลานด้านหน้าและลานหลังบ้านล้วนใช้แผ่นหินสีฟ้าครามปูทั้งหมด ลานใหญ่โตเพียงนี้เลยหรือ! ไม่ใช่แค่ลานบ้านอย่างเดียว ทั้งในบ้านและนอกบ้านทั้งหมดล้วนปูแผ่นหินสีฟ้าคราม รวมถึงคอกหมู เพิงม้าและห้องส้วม วนดูหนึ่งรอบแล้วหวังซื่อตื่นใอยู่นานจนหุบปากไม่ได้ นี่... นี่ต้องจ่ายเงินไปเท่าไรกัน?
หลังจากนั้นนางกลับไปถามฉางกุ้ย แต่เขาเพียงยิ้มซื่อๆ และกล่าวว่า เื่บ้านล้วนเป็เจินจูกับหลิ่วฉางผิงปรึกษาหารือกัน ส่วนเขาเพียงจัดการหยิบเงินและไปซื้อวัสดุกับพวกเขาด้วยเท่านั้น รายละเอียดเฉพาะเจาะจงเขาไม่ค่อยเข้าใจเลย
พอหวังซื่อได้ฟังก็เส้นดำเต็มศีรษะ เื่ใหญ่เช่นนี้ล้วนให้ยัยหนูเป็คนตัดสินใจเอง เฮ้อ ควรกล่าวอย่างไรกับบุตรชายคนนี้ของนางดีนะ
ทันทีหลังจากนั้นนางก็ไปหาเจินจู ครุ่นคิดแล้วใช้น้ำเสียงจริงจังพูดคุยปัญหาของบ้านใหม่กับนางขึ้น แต่เด็กสาวผู้นี้กลับยิ้มไม่มีร่องรอยหงุดหงิดไม่สบายใจ กล่าวด้วยสีหน้าเป็ธรรมชาติอย่างผ่อนคลาย “ท่านย่า ในเมื่อครอบครัวเราจะปลูกบ้าน เป็ธรรมดาที่ต้องสร้างให้สะดวกสบายและใหญ่โตอย่างสุดความสามารถสักหน่อย ต่อไปพวกเรายังต้องทำการค้าขายกับสือหลี่เซียงอีก คนไปใครมาหากบนพื้นไม่ปูแผ่นหินสีฟ้าคราม พอฝนตกก็กลายเป็โคลนเละแล้วจะให้คนเดินอย่างไร? ท่านดูสิว่าบ้านของคนในเมืองบ้านไหนไม่ปูพื้นหินสีฟ้าครามบ้าง จ่ายเงินมากหน่อย ทั้งลานใหญ่โตมองแล้วสะอาดตา เมื่อมีคนมาเป็แขกก็เป็หน้าเป็ตาให้เราได้สักหน่อยไม่ใช่หรือเ้าคะ”
“อีกอย่าง ตอนเราย้ายบ้านยังต้องเชิญแขกมาทานข้าวกระมัง ถึงเวลาคาดว่าพวกเ้าของร้านเหนียนต้องมาอวยพรสักรอบ หากบ้านเราสร้างได้อัปยศเกินไป จะต้อนรับแขกได้อย่างไรเล่า อ้อ... ยังมีครั้งก่อนตอนไปชมโคมไฟประดับ คุณชายสกุลกู้ผู้นั้นยังบอกว่าจะมาเป็แขกบ้านเราด้วยนะเ้าคะ”
ในตอนนั้นหวังซื่อถูกเจินจูกล่าวข่มจนตกตะลึง เ้าของร้านและคุณชายพวกนี้ล้วนจะมาเป็แขกที่บ้าน ดังนั้นล้วนต้องจัดการให้บ้านสะอาดเรียบร้อยทั้งหมดจริงๆ จึงไม่เซ้าซี้เื่ที่เจินจูใช้แผ่นหินสีฟ้าครามปูทั่วทั้งลานบ้านมากมายอีก
แม้ไม่ได้เซ้าซี้เื่ปูพื้นด้วยแผ่นหิน แต่สำหรับการใช้จ่ายเงินของเจินจู หวังซื่อกลับเข้าใจเป็อย่างดี ความสามารถในการหาเงินของเด็กสาวผู้นี้แข็งแกร่ง ความสามารถในการใช้จ่ายเงินยิ่งไม่ด้อยไปกว่า
...เจินจูกลับยิ้มเมื่อเห็นหวังซื่อลังเลใจ จึงปรึกษาหารือกับนางอยู่ครู่หนึ่ง หวังซื่อถึงได้กลับบ้านไปด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
วันถัดมาหวังซื่อหิ้วกระดูกหมูกับเนื้อพะโล้หนึ่งตะกร้าไปบ้านสกุลจ้าว ซุบซิบกับพานซื่ออยู่นาน
ตามความคิดเห็นของเจินจู ขณะนี้จ้าวหงยู่ใบหน้าได้รับาเ็ เหลียงหู่คงไม่ชื่นชอบนางแล้ว พูดคุยเื่หย่าร้างกับเขาเวลานี้ เงื่อนไขน่าจะสามารถยืดหยุ่นได้บ้าง
หวังซื่อเสนอความคิดเห็นว่า้าจ้างคนงานระยะยาว แสดงความคิดเห็นของนางออกมาเป็นัยอย่างชัดเจน หลังพานซื่อเข้าใจ ก็ตื่นใขึ้นมาพักหนึ่ง ะโเรียกทั้งครอบครัวมาปรึกษาหารือกันทันที
หวังซื่อแสดงเจตจำนงให้แก่ครอบครัวสกุลจ้าวได้ทราบแล้ว จึงอำลาพานซื่อที่เหนี่ยวรั้งให้อยู่ต่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานในที่นายังกองมากมายอยู่เลย เดิมทีกำลังคนในบ้านก็น้อยอยู่แล้ว เวลาไม่เคยคอยใครหากขาดหนึ่งคนไปงานก็ยิ่งช้าลง
ส่วนสกุลจ้าวจะทำการตัดสินใจอย่างไรก็เป็เื่ของครอบครัวพวกเขา
“ท่านแม่ ข้าให้อาหารกระต่ายเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปตัดหญ้าเลี้ยงหมูสักเล็กน้อย จะกลับมาตอนอาหารเที่ยงนะเ้าคะ” เจินจูร้องะโไปทางหลังบ้าน
วันนี้นางตั้งใจสวมเสื้อผ้าเก่าโดยเฉพาะ คิดจะขึ้นูเาไปเดินเล่นสักหน่อย ในป่าเขาต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ทุกสรรพสิ่งกำลังฟื้นคืนชีพและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมาไม่กี่ห่า หน่ออ่อนของต้นไม้ใบหญ้าทุกชนิดได้ผลิใบสีเขียวขึ้น สัตว์ที่นอนจำศีลหนึ่งฤดูหนาวล้วนทยอยกันโผล่ออกมา
เสี่ยวเฮยของนางวิ่งเพ่นพ่านขึ้นมาบนูเาอยู่นานแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะเช่นนี้หรอกหรือ รุ่งสางวันนี้พอเสี่ยวเฮยกินข้าวเช้าเสร็จก็คิดจะวิ่งไปทางหลังูเา แต่ถูกนางจับตัวไว้เสียก่อน ได้แต่ร้องเหมียวๆ อย่างไม่สบอารมณ์
ปลอบอยู่ครู่หนึ่ง มันจึงรอนางอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม
“เจินจู เ้าห้ามไปไกลนะ ระมัดระวังความปลอดภัยหน่อย” หลี่ซื่อกำลังยุ่งกับร่องสวนผักไม่กี่แปลงที่อยู่ลานหลังบ้าน เมื่อได้ยินที่นางะโบอกก็รีบกำชับให้ทันหนึ่งที
“ทราบแล้วเ้าค่ะ!”
เจินจูแบกตะกร้าขึ้นหลัง ถือเคียวกับจอบเล็กไว้ นางร้องเรียกเสี่ยวเฮย แล้วก้าวตรงไปทางูเาด้านหลังอย่างคึกคัก
ที่นาไม่กี่หมู่ของที่บ้านหว่านเมล็ดเสร็จแล้ว หูฉางกุ้ยจึงพาหลัวจิ่งไปทำงานอยู่บนทางลาดหลังบ้าน บอกว่าทำงานแต่ที่จริงแล้วแค่จัดเตรียมพื้นที่ให้เป็ระเบียบก่อนสร้างกำแพงรั้วเท่านั้น ตามความคิดเห็นของเจินจู เริ่มทำกำแพงั้แ่ลานหลังบ้านตัวเอง ล้อมที่ดินให้กว้างเป็ผืนใหญ่ แค่ขุดฐานของกำแพงรั้วก็เปลืองเวลาไปไม่น้อยแล้ว
แน่นอนว่าการล้อมรั้วนี่ต้องหาคนมาสร้าง แต่ตอนนี้เป็ฤดูกาลเพาะปลูก กำลังคนที่ว่างในหมู่บ้านมีไม่กี่คน ไม่กี่คนเ่าั้ก็ได้ติดตามหลิ่วฉางผิงไปเร่งทำงานสร้างบ้านของครอบครัวหู ดังนั้นทางนี้จึงทำได้แค่รอ
เดิมทีหูฉางกุ้ยยุ่งกับการทำนาในพื้นที่เองคนเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าวันที่สอง หลัวจิ่งจะแบกจอบตามอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบไม่พูดไม่จา หูฉางกุ้ยจะให้เขาทำงานได้อย่างไร แม้ไม่สามารถลงน้ำได้แล้วก็ไม่สามารถแบกของหนักได้ หลัวจิ่งก็ไม่ดื้อดึง เพียงช่วยเขาอยู่รอบๆ เท่าที่สามารถทำได้เท่านั้น
เด็กชายค่อนข้างโตวัยสิบสามปี รูปร่างสูงกว่าตอนเพิ่งมานิดหน่อย สวมผ้าหยาบรัดรูปสีน้ำเงินเข้ม บนใบหน้าที่งามสง่าสีหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่ง ของที่ถืออยู่ในมือราวกับไม่ใช่จอบที่เลอะคราบโคลน แต่เป็ดาบกายสิทธิ์ประดับอัญมณีก็ไม่ปาน
หูฉางกุ้ยที่มองอยู่ก็นึกเสียใจอยู่ตลอด ไม่ควรให้เขาตามมาเลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้เป็คุณชายหรือท่านชายของครอบครัวไหนสักสกุล จะเคยทำงานเหล่านี้ได้อย่างไร เขาอดกังวลและกล่าวเตือนไม่ได้ “ยู่เซิง เ้าต้องระวังหน่อยนะ อย่าใช้จอบขุดโดนเท้าตัวเองล่ะ”
“…ท่านอาฉางกุ้ย ข้าจะระมัดระวัง” หลัวจิ่งจนปัญญา หูฉางกุ้ยมองเขาทุกสามนาทีห้านาที กลัวว่าพอเขาทำงานไม่ระวังเพียงนิดจะทำให้ตัวเองาเ็ได้ เขาดูแล้วงุ่มง่ามเพียงนี้เลยหรือ?
หลัวจิ่งมองบริเวณพื้นโดยรอบที่จัดเก็บได้เป็ระเบียบตรงหน้า ทิศตะวันออกลาดเอียงไปทางทิศตะวันตกหนึ่งแปลง ขุดวัชพืชลึกบ้างตื้นบ้าง เศษซากและกิ่งก้านที่ยุ่งเหยิงก็ถูกถางทิ้งไป ที่สำคัญคือมากกว่าสามในสิบส่วนจากที่กำจัดวัชพืชออกไปเป็ส่วนที่ตนเองทำ
ลูบสองมือเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว ความด้านสากและเจ็บแสบที่เพิ่มมาใหม่ของฝ่ามือ และขณะโยกศีรษะไปมาก็เ็ปตึงชาไหล่ทั้งสองข้าง ล้วนเป็การเตือนถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทั้งหมด มุมปากหลัวจิ่งโค้งขึ้นฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เวลานี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมายของ ’พรวนดินยามแดดเปรี้ยงเที่ยงวัน เหงื่อหยดเผาะบนดินใต้หล้า’ [1]
ที่ไม่ไกลออกไป เสี่ยวหวงร่างกำยำกำลังเกลือกกลิ้งอยู่ในพงหญ้าอย่างมีความสุข ั้แ่ผิงอันไปโรงเรียน ที่บ้านมีเพียงหูฉางกุ้ยที่พามันออกมาเล่นนอกบ้าน ตอนนี้ขอแค่เห็นหูฉางกุ้ยแบกจอบออกข้างนอก เพื่อนตัวน้อยนี่ก็ตามมาทันที
“เสี่ยวเฮย ช้าหน่อย หากเ้าวิ่งไปเอง วันนี้ก็ไม่มีของกินดีๆ ให้นะ” เห็นเงาแมววิ่งพรวดออกไปไกล เจินจูเลยข่มขู่เบาๆ
ทันใดนั้นเงาที่พุ่งพรวดไปก็เชื่องช้าลงทันที เสี่ยวเฮยหันมามองด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ
ฮ่าๆ เจินจูหัวเราะเบาๆ เพิ่มจังหวะเท้าก้าวให้เร็วขึ้น
ครั้งแรกที่ขึ้นเขาคนเดียว ในใจอดกังวลเล็กน้อยไม่ได้ นางไม่ได้คิดจะไปไกล เพียงตั้งใจจะไปดูยอดเขาสองสามลูกละแวกใกล้เคียง จะได้ถือโอกาสหาข้ออ้าง ย้ายต้นพุทราจากมิติช่องว่างออกมาสองต้นก่อน ต้นพุทราสี่ต้นนั้นยึดครองพื้นที่เกินไป ย้ายสองต้นมาปลูกไว้บนไหล่เขาที่ไม่สูงนัก เหลืออีกสองต้นรอให้บ้านใหม่สร้างเสร็จก็ปลูกไว้ในลานหลังบ้าน
น่าเสียดายที่นางไม่รู้จักพืชไม้ดอกแล้วก็ไม่เข้าใจวัตถุดิบสมุนไพร แม้จะเห็นดอกไม้ล้ำค่าและสมุนไพรหายากบนูเา แต่ก็ต้องรู้จักว่านั่นเป็หญ้าหรือสมุนไพร เจินจูขออภัยตัวเองที่ไร้ความสามารถในการแยกแยะ
“เสี่ยวเฮยมานี่” เจินจูะโเรียกมันกลับมา แล้วนั่งกึ่งยองบนพื้นพร้อมกล่าวกับมัน “บนูเานี่เป็ถิ่นของเ้า เ้าต้องดูแลเจ้หน่อย เข้าใจหรือไม่? เห็นงู แมลง สัตว์ที่ดุร้าย หนองน้ำหรือหญ้ามีพิษอะไร เ้าต้องเตือนข้าบ้าง หากเ้ารู้ว่าที่ไหนมีพืชไม้ดอกหายากหรือมีสมุนไพรที่ล้ำเลิศก็บอกเจ้ที ฮิๆ ตั้งใจทำล่ะ กลับไปจะมอบรางวัลให้ด้วย”
ดวงตาสีเขียวของเสี่ยวเฮยวาววาบมองนางเงียบๆ ราวกับกำลังพิจารณาความหมายในคำพูดนั้น
เฮ้อ… แมวนี่หลอกไม่ง่ายเลย
นางล้วงก้านผักกวางตุ้งสีเขียวเป็มันหนึ่งก้านออกมาจากมิติช่องว่างแล้วส่งไป
สวบ... ก้านผักกวางตุ้งสีเขียวอ่อนในมือไปอยู่ในปากแมว
“กรวบๆ” เคี้ยวไม่กี่ที ทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในท้องของเสี่ยวเฮย มันร้อง “เหมียว” สองทีอย่างพึงพอใจ หมุนตัวก้าวอย่างสง่างามเดินกรุยทางข้างหน้าให้นาง
“…”
ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นมันกินผักสด แต่เจินจูก็ยังอดมองบนไม่ได้
หลายวันมานี้เพราะนางทานอาหารประเภทเนื้อจนหน่ายแล้ว หากจะนำออกมาวางไว้ก็ไม่มีวิธีอธิบายความเป็มาของผักกวางตุ้งด้วย จึงทำได้เพียงแอบต้มน้ำลวกผักไม่กี่ก้านทานแก้เลี่ยนในห้องครัว แมวนี่ไม่รู้ว่าผุดออกมาจากที่ไหนก็แย่งไปคำหนึ่ง หลังได้รู้ว่าในมิติช่องว่างของนางมีผักหลากหลายชนิด จึงไม่แย่งฟางของกระต่ายอีก เอาแต่ขอผักนางกินทุกวัน ไม่ให้มันก็เอาแต่ถูไถไปมาและหยอกล้ออยู่ข้างขาของนางอย่างไม่มีเบื่อ
เจินจูจนปัญญา ทำได้เพียงให้ผักมันกินเหมือนเดิม
เชิงอรรถ
[1] พรวนดินยามแดดเปรี้ยงเที่ยงวัน เหงื่อหยดเผาะบนดินใต้หล้า เป็วรรคที่สามในบทกวีของหลี่เซิน ยุคสมัยราชวงศ์ถัง มีความหมายว่า ตอนเที่ยงเป็่ที่อากาศร้อนมากพระอาทิตย์ร้อนแผดเผา แต่ชาวนายังคงทำงานอยู่พร้อมกับมีหยาดเหงื่อไหลหยดลงดิน