ตอนที่4 เขาเรียกข้าว่าแม่
สามวันผ่านไป
ในโลกของปีศาจและเทพเซียน มันอาจเป็เพียงพริบตาเดียว
แต่สำหรับใครบางคนที่ไม่เคยกอดสิ่งใดไว้เลยตลอดชีวิต—
สามวันนี้…เหมือนเวลาทั้งชีวิต
ภายใต้ต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่ารัตติกาลนิรันดร์
เงาร่างของซือเหยียนยังคงอยู่ที่เดิม
นั่งนิ่งอยู่ใต้แสงหมอกที่ไม่เคยจาง
และกอดสิ่งเดียวที่ไม่เคยรู้ว่าควรเรียกว่าอะไรไว้แน่นในอก
ไป๋เฉิน—เด็กที่ไม่มีสายเืของมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่อสูรเต็มตัว
ทารกที่เกิดจากพลังชีวิตของนาง
เขาไม่เคยพูด
ไม่เคยยิ้ม
ไม่เคยแสดงท่าทีที่นางจะเข้าใจได้เลยว่า้าสิ่งใด
แต่นางก็ยังไม่ลุกไปไหน
เหล่าอสูรราชันย์ผลัดกันนำสิ่งของต่าง ๆ มาให้
ทั้งน้ำค้างสกัดจากยอดเวหา กลีบดอกไม้นุ่มลึกจากหุบเขาเสียงวายุ
ของเหลวสีใสที่ได้จากพลังหยินบริสุทธิ์
แต่ละหยดคือพลังชีวิตที่แม้แต่ปีศาจยังไม่กล้าลิ้มลอง
แต่พวกมันก็ยินดีมอบให้เขา—เพื่อให้นางยังอยู่
ซือเหยียนกลั่นมันด้วยมือ
ทุกครั้งที่ป้อน ก็จะลองชิมก่อนเสมอ
เพียงหยดเดียว หากมีพิษ เขาจะอาจตาย
และนาง…ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลัวเื่นั้น ทั้งๆที่เขาคือสิ่งที่นางสร้างขึ้นพิษไม่อาจไม่ทำอันตรายเขาได้ แต่นางก็ยังกังวลอยู่ดี
เด็กน้อยไม่ได้ยิ้มเมื่อได้กิน
ไม่ได้ร้องหากไม่ได้
เขาเพียงเปิดตาช้า ๆ มองเธอ แล้วหลับไปอีก
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วันแล้ววันเล่า
ซือเหยียนไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่นางเริ่มรู้ว่าเวลาที่เขาหลับ…หัวใจของนางนิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
---
ในคืนที่สาม
เด็กขยับตัวมากขึ้น
เขาเริ่มคว้าสิ่งรอบตัวด้วยมือเล็ก ๆ
จับเส้นผมของนาง ดึงผ้าคลุม เล่นกับไอสังหารที่ลอยอยู่ในอากาศ
และในจังหวะหนึ่ง—เขามองตานาง
นางไม่เข้าใจสายตานั้น
มันไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความอ้อนวอน
แต่มันคล้ายกับคำถาม…ที่ไม่มีเสียง
เขาไม่ได้พูด
แต่ในหัวของซือเหยียน มีคำถามเกิดขึ้นว่า
‘เขา้าอะไร?’
มันเป็ครั้งแรกในชีวิตที่นางถามต้องสนใจว่าคนอื่น้าอะไร
---
พอรุ่งเช้า ราชันย์อสูรบางตนเริ่มแวะเวียนมามอง
ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้เกินขอบหมอก
แต่ทุกตนเห็นเหมือนกัน—ซือเหยียนยังอยู่ที่เดิม
ท่ามกลางกลีบหมอกที่ปกคลุม
ในอ้อมแขนที่ไม่รู้จักความอบอุ่น
เด็กน้อยยังคงนอนหลับ…นิ่ง…และปลอดภัย
---
หนึ่งเดือนผ่านไปช้า ๆ ใต้เงาหมอก
ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีคืนวัน
มีเพียงจังหวะของลมหายใจที่ค่อย ๆ สร้างรูปทรงของบางสิ่งขึ้นในเงามืด
ไป๋เฉินเติบโต…ในแบบของเขา
เขายังคงไม่พูด แต่เริ่มส่งเสียงมากขึ้น
เริ่มเข้าใจจังหวะของอ้อมแขนที่โอบเขาไว้
เริ่มแยกได้ว่าเสียงไหนคือเสียงของเงา เสียงไหนคือเสียงของเธอ
ซือเหยียนไม่เคยพูดมาก
แต่นางเฝ้าดู—ตลอดเวลา
เด็กคนนี้เรียนรู้เร็ว
เร็วจนแม้แต่นางยังเงียบไปในบางครั้ง
---
อสูรบางตนมาเยี่ยมบ้าง
แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เกินขอบหมอก
พวกมันรู้ว่าอ้อมแขนนั้นไม่ใช่แค่พลังของราชินี
แต่มันคืออาณาเขตที่ไม่มีใครล่วงละเมิดได้
“เขาหัวเราะแล้ว”
“เขาเริ่มคลานแล้ว”
“เขาคว้าเงาได้แล้ว”
เสียงเล่าลือเล็ดลอดออกมานอกใจกลางป่า
แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาดูใกล้ ๆ
ทุกตนรอ…สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง
---
ซือเหยียนเฝ้าดูเขาเงียบ ๆ
ไม่ได้วางใจ
ไม่ได้ผูกพัน
แต่นางเริ่ม “เข้าใจ” จังหวะของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ตรงหน้า
เริ่มรู้ว่าตอนไหนเขาจะร้อง
เริ่มรู้ว่าเขาไม่ชอบเสียงดัง
เริ่มรู้ว่าเขาหลับง่ายเมื่ออยู่ในอ้อมแขนข้างซ้าย
นางไม่ได้ตั้งใจจดจำ
แต่ร่างกายของนาง…จดจำเอง
---
แล้วในค่ำคืนหนึ่ง
หมอกบางคลี่ตัวช้ากว่าปกติ
อุณหภูมิลดต่ำลงเล็กน้อย
เงาเงียบลงกว่าทุกคืนที่ผ่านมา
เด็กน้อยในอ้อมแขนขยับเบา ๆ
เขายกมือเล็ก ๆ แตะที่คางของเธอ
แล้ว—เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“แ…แม่…”
เบา
แ่
แต่ชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใดในค่ำคืนนั้น
ซือเหยียนนิ่ง
หัวใจของนาง…ไม่ได้เต้นเร็ว
แต่มัน “ขยับ” ครั้งหนึ่ง—แบบที่นางไม่เข้าใจ
ไม่มีใครสอนเขา
ไม่มีใครใช้คำนั้นให้ฟัง
แต่มันหลุดออกมาจากปากของสิ่งที่นางสร้างขึ้น…ด้วยพลังชีวิตของตัวเอง
“…”
นางไม่ตอบ
ไม่ลูบหัว ไม่พูดว่าเก่ง
แต่ในอ้อมแขนนั้น…เด็กน้อยยังคงอยู่
และมือของนาง—ก็ยังไม่ปล่อย
---
คืนนั้นไม่มีใครเห็น
ไม่มีอสูรตนใดอยู่
ไม่มีเสียงใดบันทึกไว้
มีเพียงเด็กที่หลับตาลงพร้อมรอยยิ้มเบา ๆ
และผู้ที่ไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าอะไร…แต่ยังคงกอดเขาไว้แน่น
---
เช้านั้น
หมอกในป่ารัตติกาลนิรันดร์เบาบางกว่าทุกวัน
ไม่ใช่เพราะแสงแดด ไม่ใช่เพราะลมจากภายนอก
แต่เพราะผู้ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กลางป่า…กำลังเงียบในแบบที่ไม่เหมือนเดิม
ซือเหยียนอุ้มเด็กไว้แนบอก
ร่างน้อยในอ้อมแขนยังหลับสนิท
แต่ไอพลังรอบตัว…อุ่นขึ้นเล็กน้อย
จางจนแทบไม่รู้สึก แต่ก็แตกต่างจากทุกวันก่อนหน้า
“ข้าได้ยินว่า เขาเริ่มคลานแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงาหมอก
พร้อมกับร่างสูงโปร่งของ จิ้งจอกเก้าหาง ที่ก้าวออกจากเงาไม้
นางไม่ได้แปลงเป็จิ้งจอกเต็มตัว หากมาในรูปร่างมนุษย์—งดงาม ลึกลับ และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเล่ห์กล
นางเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
หยุดห่างจากขอบไอพิษของซือเหยียนราวสอง่ตัว
แล้วยกพัดขึ้นปิดหน้าเพียงครึ่งหนึ่ง
“ข้าฝันว่าเขาจะพูดได้ก่อนครบเดือนด้วยซ้ำ”
“แต่ก็น่าเสียดาย…ดูเหมือนจะยังเงียบอยู่”
ซือเหยียนไม่ขยับ
ไม่ได้หันไปมอง ไม่ได้ขานรับ
เพียงลูบหลังเด็กในอ้อมแขนเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว
เงียบไปพักใหญ่ จิ้งจอกก็ทำท่าจะหมุนตัวกลับ
แต่ในขณะนั้นเอง—
ซือเหยียนพูดขึ้น
เบา สั้น เรียบ
แต่ชัดเจน
“เขาเรียกข้าว่า ‘แม่’ ได้แล้ว”
จิ้งจอกเก้าหางชะงัก
พัดในมือหยุดเคลื่อนไหว
สายตาที่แอบมองผ่านขอบผ้าไหมเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“…จริงหรือ?”
“ไม่เอาเื่แบบนี้มาหลอกเล่นใช่ไหม?”
ซือเหยียนยังคงนั่งนิ่ง
แต่พลังรอบกายพลิ้วไหวขึ้นเล็กน้อย
คล้ายหมอกที่ลอยสูงกว่าเดิม…เพียงนิดเดียว
“แค่หนึ่งคำ” นางกล่าว
“เบามาก แต่ชัดเจน”
จิ้งจอกเก้าหางมองภาพตรงหน้า
แม้ไม่เห็นรอยยิ้ม
แต่สิ่งที่รู้สึกได้—กลับใกล้เคียงกับคำว่ายินดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นจากราชินีอสูรผู้นี้
“…ข้าควรเอาผ้าห่มใหม่มาถวายหรือเปล่านะ?”
นางกระซิบเบา ๆ
“รู้สึกว่าเขาจะได้รับ ‘ความโปรดปราน’ ไม่เบา”
ซือเหยียนไม่ตอบ
แต่ไม่ห้าม
จิ้งจอกหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
แล้วหันกลับ เตรียมเดินจากไป
ก่อนจะหายลับในหมอก
เสียงของนางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“คำแรกที่เขาเรียกน่ะ…ช่างเลือกได้ดีจริง ๆ”
---
เสียงฝน…เป็สิ่งแปลกใหม่สำหรับป่ารัตติกาลนิรันดร์
ไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่มีฝน
แต่เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา—ไม่มีใคร “เคยฟัง” มันจริง ๆ
ซือเหยียนไม่เคยใส่ใจว่าฝนจะตกหรือไม่
เธอไม่เคยเปียก ไม่เคยรู้สึกหนาว ไม่เคยหยุดอยู่ใต้ร่มเงาเพื่อกันน้ำ
สำหรับราชินีอสูร ผู้ควบคุมแดนต้องสาปนี้
ฝน…คือสิ่งที่ไร้ค่าเกินกว่าจะมอง
แต่วันนี้
เธอกำลังมองมัน
---
ละอองฝนหล่นลงจากยอดไม้สูง
ซึมผ่านหมอกบางลงมายังลานโล่งหน้ารากไม้
เด็กชายร่างเล็กคนหนึ่ง ยื่นมือไปรับมันไว้ด้วยดวงตาเป็ประกาย
เขาไม่กลัว ไม่สะดุ้ง ไม่ร้อง
กลับหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุข
เสียงนั้นใส…กว่าเสียงไหนในป่า
ใสจนแม้แต่เงาแห่งอสูรที่เฝ้ามองอยู่จากไกล ๆ ยังเผลอยิ้ม
---
ซือเหยียนยืนนิ่ง
เธอไม่ได้อยู่ใกล้เขา แต่ก็ไม่ได้อยู่ไกล
เมื่อเห็นว่าไอฝนเริ่มแรงขึ้น
นางเพียงยกมือเบา ๆ แล้วปลดเสี้ยวหนึ่งของพลังชีวิตออก
พลังนั้นบางเบา ใสสะอาด ไม่มีพิษ ไม่มีแรงกดดัน
มันลอยคลุมเหนือศีรษะของเด็กชายอย่างอ่อนโยน
ปกป้องไม่ให้ฝนเย็นเฉียบแตะต้องร่างกายน้อย ๆ นั้น
เป็ครั้งแรก…ที่นางใช้พลังเพื่อปกป้อง
โดยไม่มีคำสั่ง ไม่มีใครร้องขอ
และไม่มีศัตรู
---
ไป๋เฉินยังคงยื่นมือเล่นกับหยดน้ำที่ลอยตก
บางหยดทะลุม่านพลังลงมา
หยดลงบนมือของเขา แล้วแตกกระจายเหมือนดอกไม้ผลิบาน
เขาหัวเราะอีกครั้ง
---
“เขาชอบฝนงั้นหรือ…”
เสียงของจิ้งจอกเก้าหางดังเบา ๆ จากเงาหมอก
เธอยืนอยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าใกล้ แต่ไม่อาจห้ามใจไม่ให้มอง
“ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินเขาหัวเราะหลายครั้ง”
พยัคฆ์ครามที่ยืนเงียบอยู่ข้างเธอ กล่าวช้า ๆ
“แต่เสียงในวันนี้...แตกต่าง”
“เหมือนมันใสกว่าเดิม”
“เหมือนมัน...ไม่กลัวอะไรเลย”
ราชสีห์วายุเอ่ยขึ้นอย่างพึมพำ
เขายืนอยู่ไกลออกไปอีกด้าน แต่ได้ยินชัดทุกคำ
“เ้าเด็กนี่…”
“แม้จะมีเืปีศาจ แต่หัวเราะเหมือนมนุษย์ยิ่งกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก”
ไม่มีใครหัวเราะ
ไม่มีใครแย้ง
มีเพียงความเงียบ…ที่เต็มไปด้วยเสียงฝน
---
ซือเหยียนไม่พูดอะไร
เธอยังคงมอง และปกป้องเงียบ ๆ
เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงทำเช่นนี้
ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่เดินหนีไปเหมือนที่เคย
แต่รู้เพียงว่า…
ฝนตกครั้งนี้
เธอไม่อยากให้เขาเปียก
---
ค่ำคืนในป่ารัตติกาลนิรันดร์ยังคงเงียบงันเช่นทุกวัน
ทว่าความเงียบนั้น…กลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ซือเหยียนนั่งนิ่งในเงา
แสงจันทร์อ่อนส่องผ่านม่านหมอกลงบนร่างของเด็กชายตัวเล็ก
ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
ลมหายใจของเขานุ่มนวลและอบอุ่น
สม่ำเสมอเหมือนจังหวะชีพจรของเธอเอง
คล้ายว่าสองสิ่งนี้…กำลังประสานเป็จังหวะเดียวกัน
---
ซือเหยียนเคยหลอมรวมกับความเงียบ
เคยใช้ความว่างเปล่าห่อหุ้มหัวใจที่ด้านชา
แต่คืนนี้ เธอกลับ “ฟัง” ความเงียบนั้นด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป
เธอไม่รู้ว่าทำไม
แต่รู้เพียงว่า—
เสียงลมหายใจของเขา
ทำให้เธอไม่้าความเงียบแบบเดิมอีกต่อไป
---
เด็กชายกระพริบตาเบา ๆ
แล้วเอื้อมมือมาััปลายเส้นผมของเธอ
ริมฝีปากขยับเบา ราวกับละเมอ
“…แม่…”
เสียงแ่…แต่ชัด
ไม่ใช่เพียงเสียง
แต่ั์ตานั้น กำลัง “มองหา” เธออย่างแน่วแน่
ซือเหยียนไม่ตอบ
ไม่ขานรับ
แต่พลังรอบกายของเธอ อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
---
วันต่อมา
จิ้งจอกเก้าหางมาเยี่ยมพร้อมกล่องผ้าไหม
ด้านในคือชุดคลุมสำหรับเด็ก ถักจากไหมอสูรวิเศษที่อ่อนนุ่มจนกลีบไม้ยังไม่กล้าทิ่ม
"ท่านรู้หรือไม่…”
นางกระซิบพลางยิ้มบาง ๆ หลังพัด
“เขาเริ่มร้องเวลาไม่เห็นท่านแล้วนะ”
ซือเหยียนยังคงนั่งนิ่ง
ไม่ตอบ ไม่ปฏิเสธ
แค่เพียงเอื้อมแขนมารับชุดคลุมนั้นไว้เงียบ ๆ
---
วานรอัสนีปรากฏตัวอย่างแรงพร้อมเสียงหัวเราะกึกก้อง
“ฮ่า ๆ ๆ! เ้าหนูนี่ชักจะรู้จักเลือกข้างแล้วนะ!”
มันตบอกตนเองดังปึง
“หากวันหนึ่งเขาวิ่งมาเข้าหาข้าแทนล่ะ? หืม?
อย่าคิดว่าข้าจะยอมคืนให้ท่านง่ายๆเชียว!”
ทันใดนั้น
ไป๋เฉินที่กำลังเล่นอยู่ใกล้ ๆ
ชะงักเล็กน้อยแล้วหันมองทันที
ดวงตาคู่นั้นยังเด็ก แต่มีแวว “จับ” และ “จ้อง” อย่างชัดเจน
วานรอัสนีชะงัก
ก้มมองกลับแล้วยิ้มแหย ๆ
“…ข้าพูดเล่นน่ะ นายน้อย”
---
ยามเย็น
พยัคฆ์ครามมาปรากฏตัวเงียบ ๆ เหมือนทุกครั้ง
มันไม่เอ่ยคำทัก ไม่แสดงความรู้สึก
เพียงยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ห่างจากนางหลายก้าว
ก่อนจะเอ่ยถาม…ช้า ๆ
“หากวันหนึ่งเขาหายไป…ท่านจะยังเป็เหมือนเดิมหรือไม่”
คำถามนั้นหล่นลงกลางความเงียบ
และซึมลงในดินราวกับหยาดฝน
ซือเหยียนไม่ตอบ
ไม่มีเสียง ไม่มีแววตา
เพียงแต่ว่า…
อ้อมแขนของเธอกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย
และเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น…เช่นกัน
---
หลายเดือนผ่านไป
แสงจากหมอกอ่อน ๆ สะท้อนลงบนพื้นชื้นฝน
มอสสีเขียวขจีปกคลุมลานใต้ต้นไม้ใหญ่
ลมหายใจของป่าดูนิ่งสงบกว่าทุกเช้า
หรืออาจเพราะ…เสียงบางอย่างกำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ
---
“อึก… ฮึ ฮึ… ฮ่า!”
เสียงหัวเราะ
ใส บริสุทธิ์
ไม่ใช่เสียงกู่ร้องแห่งชัยชนะ ไม่ใช่เสียงคำรามของอสูร
แต่เป็เสียงที่ทำให้ต้นไม้สั่นไหว และแม้แต่หยาดพิษในอากาศยังชะงักไปครู่หนึ่ง
---
ไป๋เฉินหัวเราะ
เขานั่งอยู่กลางลาน ดวงตาเปล่งแสงกลมใส
ร่างเล็กโยกเยกน้อย ๆ ขณะพยายามเดินแล้วล้มลงหน้าคว่ำบนกองมอส
แทนที่จะร้องไห้ เขากลับหัวเราะออกมาอีก
“ฮึ ฮึ!”
มือเล็กคว้าหญ้าใกล้ตัว
แล้วโยนขึ้นฟ้าเหมือนเห็นของวิเศษ
หญ้ากระจายลอยในอากาศ ก่อนตกลงเต็มศีรษะของเขาเอง
เสียงหัวเราะยังคงดังต่อเนื่อง
---
เหล่าอสูรที่อยู่รอบข้างเริ่มทยอยกันมา
บางตนแอบซุ่มมองจากเงา
บางตนทิ้งกายลงบนกิ่งไม้ราวกับเงาิญญา
ทุกตน…หยุดพูด
---
ซือเหยียนยืนนิ่งห่างออกไปเล็กน้อย
มองภาพนั้นโดยไม่พูดอะไร
ไอเย็นจาง ๆ รอบตัวเธอ…เงียบอย่างน่าประหลาด
ไม่มีละอองพิษ ไม่มีเส้นพลัง ไม่มีการป้องกันใดใด
นางยืน “ลำพัง” ครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี
แต่สายตากลับจดจ่อกับใครอีกคน
ราวกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้า
คือโลกใบเดียวที่เธอเหลืออยู่
---
เสียงหัวเราะยังคงดังก้อง
และในบางขณะ…มันสะท้อนกลับจากผืนป่า
กิเลนโลกันตร์เอ่ยช้า ๆ
“เสียงหัวเราะของเขา…ะเืลึกถึงใจกลางบึงอัคคี”
ราชสีห์วายุเสริม
“ป่าของข้าเงียบไปชั่วขณะ…คล้ายว่าเสียงของเขาทำให้สายลมหยุด”
แม้แต่วิหคะซึ่งเฝ้าอยู่ในเวหา ยังลดร่างลงต่ำ
กระพือปีกเบา ๆ พลางกระซิบ
"วันนี้ราชินีดูอารมณ์ดีแปลกๆหรือไม่?"
---
ท่ามกลางความเงียบ
ซือเหยียนยังไม่พูด
แต่มือของนาง…วางลงบนอกตัวเอง
ตรงนั้นไม่มีแผล ไม่มีพลังสั่นไหว
แต่นางกลับััได้ถึงแรงบางอย่างที่ขยับอยู่ภายใน
ช้า…มั่นคง…เหมือนสิ่งที่เธอไม่เคยมีมาก่อน
---
“เขาหัวเราะ…”
เสียงหนึ่งเอ่ยแ่เบา
ใครพูดออกมาเป็คนแรกไม่มีใครรู้
แต่ทุกตนได้ยินชัดเจน
“เสียงของเขา…ดังกว่าลมหายใจของเทพเซียนเสียอีก”
ไม่มีผู้ใดกล้าเถียง
ไม่มีผู้ใดหัวเราะเย้ย
เพราะในวินาทีนั้น—แม้แต่พวกมันก็รู้สึก
บางสิ่งในใจของราชินีพวกมัน…ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วจริง ๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้