ตอนที่ 8 อ้อมกอดแห่งรุ่งอรุณ
แสงอรุณแรกแห่งวันสาดส่องผ่านรอยรั่วบนหลังคา ส่องกระทบร่างของหลิวเยว์เอ๋อร์ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงมารดาด้วยความอ่อนเพลีย นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองร่างของผู้เป็แม่ และภาพที่เห็นก็ทำให้น้ำตาแห่งความสุขเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง
นางหลิวซื่อไม่ได้นอนซมหายใจรวยรินอีกต่อไปแล้ว แต่กำลังลุกขึ้นนั่งพิงผนังด้วยตนเอง! ใบหน้าที่เคยซีดขาวราวกับคนตาย บัดนี้กลับมีเืฝาดเปล่งปลั่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานหลายปี ดวงตาที่เคยขุ่นมัวบัดนี้กลับมาสดใส แม้จะยังดูอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ก็เปี่ยมไปด้วยประกายแห่งชีวิตอย่างชัดเจน! ยาเม็ดชำระไขกระดูกได้แสดงอานุภาพแห่ง์ของมันแล้ว มันไม่เพียงแค่รักษาโรคแต่ยังฟื้นฟูพลังชีวิตที่เหือดแห้งไปจนเกือบหมดสิ้นให้กลับคืนมา!
"ท่านแม่!" เยว์เอ๋อร์โผเข้าไปกุมมือมารดา น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความยินดี
"เยว์เอ๋อร์... ลูกแม่" นางหลิวซื่อลูบแก้มบุตรสาวอย่างแ่เบา พลังที่เคยมีเพียงน้อยนิดบัดนี้กลับมาแล้ว "นี่... นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ใช่หรือไม่? แม่รู้สึก... เหมือนได้เกิดใหม่ ร่างกายของแม่... มันเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน"
หลิวิที่เพิ่งตื่นนอนเมื่อได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นท่านแม่ลุกขึ้นนั่งได้ก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะโผเข้ากอดมารดาและพี่สาวแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
กระท่อมซอมซ่อหลังนี้ไม่เคยสว่างไสวและอบอวลไปด้วยความสุขเช่นนี้มาก่อน สามแม่ลูกกอดกันกลม ปล่อยให้น้ำตาแห่งการรอคอยและการปลดปล่อยได้ชะล้างความทุกข์ระทมที่ผ่าน มาจนหมดสิ้น
หลังจาก่เวลาอันน่าตื้นตันผ่านพ้นไป เยว์เอ๋อร์ก็ได้ปรุงยาบำรุงที่เหลืออยู่และทำ ข้าวต้มร้อนๆ ให้มารดาทานนางหลิวซื่อสามารถทานอาหารได้ด้วยตนเองเป็ครั้งแรกในรอบหลายเดือน มันคือภาพธรรมดาๆ ที่สำหรับครอบครัวนี้แล้ว... งดงามยิ่งกว่าภาพวาดใดๆ ในใต้หล้า
ทว่า... ขณะที่มองรอยยิ้มของมารดาและน้องชาย ความสุขของเยว์เอ๋อร์ก็ถูกแทนที่ด้วย ความกังวลระลอกใหม่ที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ภาพของคมดาบที่สะท้อนแสงจันทร์ และร่างที่ไร้ิญญาของชายสารถียังคงตามหลอกหลอนนางไม่หยุดหย่อน
หมู่บ้านไผ่ครึ้มที่เคยเป็อ้อมกอดอันปลอดภัย...บัดนี้ได้กลายเป็กรงขังที่เปราะบาง ไปเสียแล้ว
โหรวหลัน... สตรีผู้นั้นอำมหิตและเ้าคิดเ้าแค้นเกินกว่าที่นางคาดคิด การส่งนักฆ่ามาจัดการนางกลางทางเป็เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หากพวกมันสืบสาวมาจนถึงที่นี่... มารดาที่เพิ่งฟื้นไข้และน้องชายที่ยังเล็ก... จะเอาอะไรไปต่อกรกับพวกมัน?
"ไม่ได้..." เยว์เอ๋อร์กำหมัดแน่น "ข้าจะทิ้งท่านแม่กับิเอ๋อร์ไว้ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!"
นางใช้เวลาตลอด่เช้าครุ่นคิดหาหนทาง จนกระทั่งตะวันลอยสูงขึ้น นางก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่สุดในชีวิต
นางคุกเข่าลงต่อหน้านางหลิวซื่อที่กำลังนั่งรับลมอยู่หน้ากระท่อม
"ท่านแม่... ลูกมีเื่สำคัญจะขอร้องท่านเ้าค่ะ"
นางหลิวซื่อประคองบุตรสาวให้ลุกขึ้น "มีเื่อะไรกันลูก? เหตุใดต้องทำถึงขนาดนี้"
"ท่านแม่... พวกเรา... ต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลัวเฟิงเ้าค่ะ!"
คำพูดของนางทำให้นางหลิวซื่อใอย่างยิ่ง "ย้ายไปเมืองหลวงรึ? ทำไมล่ะลูก? ที่นี่คือบ้านของเรานะ ถึงจะยากจนไปบ้าง แต่มันก็เป็ที่ที่เราเกิดและเติบโต"
เยว์เอ๋อร์รู้ดีว่าการจะให้มารดาละทิ้งบ้านเกิดนั้นเป็เื่ยากยิ่ง นางไม่สามารถเล่าเื่นักฆ่าได้เพราะจะทำให้ท่านไม่สบายใจ นางจึงเลือกที่จะพูดความจริงอีกครึ่งหนึ่ง
"ท่านแม่... ตอนนี้ชื่อเสียงของลูกที่เมืองหลัวเฟิงได้กลายเป็ดาบสองคมไปแล้ว" นางเล่าเื่การรักษาคุณชายจินซือเหวินและการประลองเพลงพิณกับโหรวหลันให้ ฟังอย่างคร่าวๆ โดยเน้นย้ำถึงอำนาจบารมีของตระกูลจินและความอาฆาตแค้นของ ตระกูล โหรว
"ข้าเอาชนะคุณหนูโหรวหลัน ทำให้นางต้องเสียหน้าอย่างรุนแรง ตระกูลของนางย่อมไม่ปล่อยข้าไว้แน่เ้าค่ะ การอยู่ที่นี่ต่อไป มีแต่จะนำภัยมาสู่ท่านกับิเอ๋อร์" นางจับมือมารดาไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน "แต่ที่เมืองหลัวเฟิงนั้นแตกต่างออกไป ที่นั่นข้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลจิน พวกเขาเป็หนี้บุญคุณชีวิตคุณชาย ท่านนายใหญ่จินให้สัญญาว่าจะดูแลข้าอย่างดีที่สุด ตราบใดที่เราอยู่ในเมืองหลัวเฟิง... เราก็จะปลอดภัยเ้าค่ะ"
นางหันไปมองหลิวิที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ "อีกอย่าง... ิเอ๋อร์ก็ถึงวัยที่ต้องเข้าศึกษาเล่าเรียนแล้ว ที่เมืองหลัวเฟิงมีสำนักศึกษาที่ดีที่สุด ท่านไม่อยากเห็นน้องมีอนาคตที่สดใสหรือเ้าคะ?"
เหตุผลเื่ความปลอดภัยและอนาคตของบุตรชายนั้นหนักแน่นเกินกว่าที่นางหลิวซื่อจะปฏิเสธได้ นางมองใบหน้าที่แน่วแน่และแววตาที่โตเกินวัยของบุตรสาว... บัดนี้เยว์เอ๋อร์ไม่ใช่เด็กสาวที่ต้องให้นางคอยปกป้องอีกต่อไปแล้ว แต่เป็เสาหลักที่กำลังจะแบกรับชะตากรรมของทั้งครอบครัวไว้บนบ่า
นางถอนหายใจยาว ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "แม่... ตามใจลูก"
เมื่อได้ความยินยอมจากมารดา เยว์เอ๋อร์ก็ไม่รอช้าอีกต่อไป! นางใช้เงินที่เหลืออยู่ส่วนหนึ่งไปว่าจ้างชายหนุ่มแข็งแรงในหมู่บ้านสองสามคนให้ ช่วยเป็ผู้คุ้มกันจากนั้นจึงไปเช่ารถม้าที่แข็งแรงทนทานที่สุดเท่าที่จะหาได้ในตำบล ใกล้เคียง
ข้าวของในกระท่อมมีเพียงไม่กี่ชิ้นที่จำเป็ต้องเอาไป นางบอกลาเพื่อนบ้านที่ต่างพากันมองด้วยสายตาทั้งอิจฉาและยินดี ก่อนจะประคองมารดาและจูงมือน้องชายขึ้นสู่รถม้า
การเดินทางสู่เมืองหลัวเฟิงครั้งที่สองนี้... ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
ครั้งแรก... นางมาเพียงลำพังด้วยสองเท้าและความสิ้นหวัง
ครั้งนี้... นางกลับไปพร้อมกับครอบครัวในรถม้าที่มั่นคงและเปี่ยมด้วยความหวัง!
ตลอดการเดินทาง เยว์เอ๋อร์คอยระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา แต่โชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นอีกดูเหมือนว่าพวกนักฆ่าจะไม่คาดคิดว่านางจะ ย้อนกลับมาที่หมู่บ้านและจากไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
เมื่อรถม้าแล่นผ่านประตูเมืองหลัวเฟิงอีกครั้งนางหลิวซื่อและหลิวิต่างพากันเบิก ตากว้าง ตื่นตะลึงไปกับความเจริญรุ่งเรืองและผู้คนที่ขวักไขว่ไปมา มันคือโลกอีกใบที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการถึง
เยว์เอ๋อร์ไม่ได้พามารดาและน้องชายกลับไปยังศาลาเสียงกระซิบในทันที แต่นางกลับสั่งให้รถม้าตรงไปยัง... คฤหาสน์ตระกูลจิน!
การมาเยือนอย่างกะทันหันของนางสร้างความประหลาดใจให้แก่พ่อบ้านตระกูลจิน เป็อย่างมาก แต่เมื่อเขารายงานเื่นี้ให้จินหยวนเป่าทราบ นายท่านใหญ่ก็รีบออกมาต้อนรับนางด้วยตนเองทันที
"แม่นางหลิว! ข้าคิดว่าเ้าจะมาในวันพรุ่งนี้เสียอีก!"
"ต้องขออภัยที่มารบกวนโดยไม่ได้นัดหมายเ้าค่ะนายท่านใหญ่" เยว์เอ๋อร์โค้งคำนับอย่างนอบน้อม "แต่ข้ามีเื่สำคัญอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน"
นางเล่าเื่ที่ตัดสินใจพาครอบครัวมาอยู่ที่เมืองหลัวเฟิงเพื่อความปลอดภัยให้ฟัง จินหยวนเป่าฟังอย่างเงียบๆ พลางลูบเคราครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
"เ้าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว! เื่ความปลอดภัยของครอบครัวผู้มีพระคุณนั้น ถือเป็หน้าที่ของตระกูลจินเรา!" เขาหันไปสั่งพ่อบ้านทันที "ไปจัด เรือนรับรองจันทราที่อยู่ด้านหลังคฤหาสน์ให้เรียบร้อย!ที่นั่นเงียบสงบและมีการคุ้มกันแ่าที่สุด เหมาะสำหรับให้ท่านป้าและน้องชายพักผ่อน"
จากนั้นเขาก็หันมามองเยว์เอ๋อร์ "ส่วนตัวเ้า... ข้าคงต้องรบกวนให้พักอยู่ที่ศาลาเสียงกระซิบตามเดิม เพราะสะดวกต่อการเดินทางมารักษาซือเหวินทุกวัน แต่เ้าวางใจได้ ข้าจะส่งองครักษ์ฝีมือดีที่สุดสองคนไปคอยคุ้มกันเ้าตลอดเวลา! ในเมืองหลัวเฟิงแห่งนี้... ข้าขอรับรองว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้องเ้าแม้แต่ปลายเล็บ!"
การจัดการที่เด็ดขาดและรอบคอบของจินหยวนเป่าทำให้หลิวเยว์เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจ และโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก นางได้แก้ไขปัญหาที่น่าพะวักพะวงที่สุดไปได้แล้ว
นางประคองมารดาและจูงมือน้องชายเดินตามพ่อบ้านไปทางด้านหลังของคฤหาสน์ หลัก ทางเดินนั้นปูด้วยศิลาแลงขัดมันวาววับ สองข้างทางประดับด้วยสวนหินและต้นบอนไซที่ตัดแต่งอย่างงดงาม ผ่านสะพานโค้งเล็กๆ ที่ทอดข้ามลำธารใสซึ่งมีปลาคาร์ปสีสันสดใสแหวกว่ายอยู่เบื้องล่างทุกย่างก้าวคือความตื่นตาตื่นใจที่นางหลิวซื่อและหลิวิไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในชีวิต
หลิวิเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน เขาเกาะชายเสื้อพี่สาวแน่น ปากอ้าค้างจนแทบจะกลืนไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งฟอง "พี่ใหญ่... ที่นี่... ที่นี่คือวังหลวงหรือขอรับ?"
เยว์เอ๋อร์ยิ้มพลางลูบศีรษะน้องชาย "ที่นี่คือบ้านใหม่ชั่วคราวของเราจ้ะ"
"เรือนรับรองจันทรา" ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในมุมที่งดงามที่สุดของคฤหาสน์ ตัวเรือนสร้างจากไม้หนานมู่เนื้อดี ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดเวลา รอบๆ เรือนมีสวนดอกเหมยและสระบัวขนาดเล็กเป็ของตนเอง สร้างความเป็ส่วนตัวและบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างแท้จริง
เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน นางหลิวซื่อยิ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก พื้นปูด้วยพรมขนสัตว์เนื้อนุ่มเครื่องเรือนทุกชิ้นทำจากไม้ชั้นเลิศสลักเสลาอย่าง ประณีต บนโต๊ะกลางห้องมีชุดน้ำชาเครื่องลายครามวางอยู่พร้อมสรรพ เตียงนอนในห้องหลักนั้นใหญ่และนุ่มนิ่มเกินกว่าที่นางเคยจินตนาการ ผ้านวมที่พับไว้อย่างเรียบร้อยนั้นทำจากผ้าไหมปักลายมงคล เมื่อเทียบกับเสื่อฟางแข็งๆ และผ้าห่มเก่าขาดที่นางเคยหนุนนอนมาตลอดชีวิตแล้ว... มันช่างแตกต่างกันราวกับความฝัน
"นี่... นี่มัน..." นางหลิวซื่อน้ำตาคลอหน่วย "เยว์เอ๋อร์... ทั้งหมดนี้... แม่ไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?"
เยว์เอ๋อร์โผเข้ากอดมารดาแน่น "ไม่ใช่ความฝันเ้าค่ะท่านแม่... นี่คือความจริง จากนี้ไปท่านกับน้องจะไม่ต้องลำบากอีกแล้ว"
พ่อบ้านใหญ่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม "นายหญิงหลิวขอรับ หากท่าน้าสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็อาหารเสื้อผ้าหรือหมอหลวงเพียงแค่ท่านแจ้งบ่าวรับใช้ที่ประจำอยู่หน้า เรือนพวกเราจะรีบจัดหามาให้ทันทีขอรับนายท่านใหญ่กำชับมาว่าให้ดูแลทุกท่านให้ดีที่สุด"
นางหลิวซื่อซึ่งเคยเป็เพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องมารับการ ปรนนิบัติเช่นนี้ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างประหม่า
หลังจากส่งมารดาและน้องชายเข้าพักในเรือนรับรองอันหรูหราและปลอดภัยราวกับ อยู่ในป้อมปราการแล้วเยว์เอ๋อร์ก็เดินทางกลับมายังศาลาเสียงกระซิบพร้อมกับองค รักษ์เงาสองคนที่ติดตามนางไม่ห่างราวกับเงา ป้าเหมยดีใจอย่างยิ่งที่เห็นนางกลับมาอย่างปลอดภัยและได้ทราบข่าวดีเื่ครอบครัวของนาง
ค่ำคืนนั้น... เยว์เอ๋อร์ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องพักของนาง มองลงไปยังมหานครหลัวเฟิงที่สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟ บัดนี้... นางไม่มีอะไรต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไปแล้ว
นางหยิบป้ายไม้ลายกิเลนของกงซุนเยว่ขึ้นมาพิจารณา...การนัดหมายเมื่อคืนก่อนนาง ได้ผิดนัดไปแล้ว แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าชายชราผู้นั้นจะต้องหาทางติดต่อนางมา อีกแน่นอน
ถึงเวลาแล้ว... ที่นางจะต้องเผชิญหน้ากับพายุลูกต่อไป!
นางวางแผนทุกอย่างในใจอย่างเป็ลำดับขั้นตอน:
หนึ่ง... ทำหน้าที่บรรเลงเพลงรักษาคุณชายจินซือเหวินต่อไป เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและตอบแทนบุญคุณของตระกูลจิน
สอง... ตามสืบเื่ราวของชายชรากงซุนเยว่และไขปริศนาของ "หยกัเื" ที่บิดาทิ้งไว้ให้
สาม... เตรียมรับมือการแก้แค้นของโหรวหลันและตระกูลโหรว ซึ่งจะต้องมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
และสี่... ลงแข่งขันใน "เทศกาลชมบุปผา" ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อสร้างชื่อเสียงและบารมีของตนเองให้เป็ที่ประจักษ์อย่างแท้จริง!
มหานครหลัวเฟิง... คือเวทีประลองแห่งใหม่ของนาง ที่ซึ่งเสียงพิณไม่เพียงแต่ต้องใช้เยียวยา แต่ยังต้องใช้ต่อสู้และไขปริศนา
พายุที่แท้จริง... กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้
