"เหลียนเซวียน ท่านประมาณได้หรือไม่ว่าอีกกี่วันจะถึงปีใหม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นเอ่ยถามพลางยิ้มพราย เขากับอาเหลยต่างอ้วนขึ้น
แต่โชคดีที่เธอไม่ได้กลับไปอ้วน
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบส่วนโค้งตรงเอวของตนเอง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งผลิบาน จะว่าไปแล้วก็จริงอยู่ แม้ว่าอาหารจำพวกเนื้อจะไม่ขาดแคลน แต่ไม่มีข้าวสวยมากเข้าคู่ กินเนื้ออย่างเดียวจนเอือมระอา เลยกินไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน
ปีใหม่? เหลียนเซวียนถูกถามก็ยืนนิ่งอยู่ข้างกองไฟ
ไม่ผิด ใกล้จะปีใหม่แล้ว แววตาของเหลียนเซวียนหม่นแสงลง
"ปีใหม่ก็คือเดือนหนึ่ง เดือนหนึ่งมาถึงต้นฤดูใบไม้ผลิก็มาถึงเช่นกัน พวกเราควรเตรียมตัวเดินทางกันแล้ว ดังนั้นวันไหนเป็วันปีใหม่ล่ะ?" เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังจมอยู่ในภวังค์แห่งความสุขที่รูปร่างของตนเองดีขึ้น จึงไม่ได้สังเกตเห็นความหม่นหมองบนสีหน้าเขา
เหลียนเซวียนค่อยๆ เดินกลับไปนั่งที่ของตนเอง คลำหาก้อนหินเขียนลงไปว่า "ไม่... รู้"
"ข้ารู้หรอกน่า ว่าท่านไม่ทราบ ถึงบอกว่าประมาณไง กำหนดมาสักวัน พวกเราจะได้ฉลองปีใหม่ให้สนุก แม้ว่าจะต้องตกมาอยู่ในป่าแห่งนี้ แต่ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป ดังนั้นพวกเราก็ควรฉลองให้ครึกครื้นหน่อย จริงไหม" เซวียเสี่ยวหรั่นย่นจมูกใส่เขา พลางเอ่ยวาจาเล่นสำบัดสำนวนต่อ
"ล้วนเป็คนตกอับกันทั้งนั้น [1] ร่วมกันฉลองปีใหม่เป็ไรเล่า ส่วนแนวขวาง้าเขียนว่า มีทุกข์อยู่ก็สุขได้ ฮ่าๆ" [2]
แม้แต่เซวียเสี่ยวหรั่นยังขบขันกับความคิดของตนเอง
แม่นางผู้นี้มีความสุขกับสิ่งที่เป็อยู่เสมอ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่ง ใบหน้าของเหลียนเซวียนไม่คร่ำเครียดอีก
ก็ดีเหมือนกัน เมื่อกำหนดปีใหม่ชัดเจน แผนการวันออกเดินทางของพวกเขาก็จะง่ายขึ้น
เหลียนเซวียนตรึกตรองอย่างละเอียด กำหนดวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งไว้หลังจากนี้อีกสิบวัน
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้าติดๆ กัน "สองสามวันนี้หิมะตก ต้องเป็่เวลาที่หนาวที่สุดแล้วแน่ๆ ผ่านปีใหม่ไปแล้วค่อยมาดูดินฟ้าอากาศอีกที ถ้าไม่มีหิมะตกหนัก พวกเราก็เดินทางได้เลย"
เหลียนเซวียนผงกศีรษะอย่างเงียบเชียบ
อย่างนี้เท่ากับว่าวันออกเดินทางก็อีกไม่นานแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น
เธอเอาปลากับเนื้อรมควันที่อยู่เหนือเตาหินย้ายมาด้านข้าง
"เนื้อเหล่านี้กินไม่หมดแน่ ถึงเวลาพกไปเป็เสบียงกรังระหว่างเดินทางแล้วกัน "
เธอแกะปลารมควันตัวหนึ่งลงมา แล้วนำออกไปนอกถ้ำทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่น พอกลับเข้ามาข้างใน ก็เริ่มจากแล่เนื้อปลาแนวทแยงแล้ววางใส่จาน หยิบโถใส่น้ำมันหมูออกมา แล้วตักใส่กระทะหนึ่งช้อนใหญ่
เสียงฉ่าดังขึ้นอย่างช้าๆ อาเหลยย่องเข้ามาใกล้ จ้องมองก้อนไขมันที่กำลังละลายในกระทะด้วยแววตาวิบวับ
"อาเหลย อย่าเข้ามาใกล้ขนาดนั้น เนื้อปลามีน้ำ เดี๋ยวลงกระทะแล้วน้ำมันจะกระเด็นเอานะ"
ขณะที่กำลังขบขัน เซวียเสี่ยวหรั่นก็เตือนมันไปด้วย
อาเหลยเหมือนจะไม่ได้ฟังเข้าหู เอาแต่จ้องกระทะตาปริบๆ ไม่ขยับเขยื้อน
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่แยแส เดี๋ยวอีกสักพักมันก็จะะโออกไปเอง เธอเขี่ยไฟออกไปด้านข้าง การทอดปลาต้องใช้ไฟอ่อน
ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาใส่ลงไปในกระทะน้ำมัน "ฉ่า...." เสียงน้ำมันเดือดดังขึ้นมา
อาเหลยซึ่งอยู่ด้านข้างก็ใะโหลบไปด้านหลังอย่างที่คาดไว้
"ฮ่าๆ บอกให้เ้าหลบให้ห่างหน่อยก็ไม่ฟัง ใแล้วล่ะสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะเสียงดัง แล้วใส่เนื้อปลาลงไปในกระทะต่อ
ไม่ช้าภายในถ้ำก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของปลารมควันทอด
อาเหลยไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่ศีรษะกลับคอยชะเง้อชะแง้ กลิ่นหอมยวนใจทำให้น้ำลายของมันแทบจะหกลงมาอยู่แล้ว
"อาเหลย เอาชามของเ้ามา" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นท่าทางตะกละตะกลามของมันแล้วก็ขบขัน ชี้ไปที่ชามของมัน ตอนนี้ทุกครั้งที่กินข้าว เธอจะให้มันไปหยิบชามของตนเอง
อาเหลยดวงตาทอประกาย ยกชามมาให้เซวียเสี่ยวหรั่นทันที ท่าทางน่ารักมากอย่าบอกใคร
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มแก้มปริ ตักเนื้อปลาที่ทอดเสร็จแล้วสองชิ้นใส่ชามของมัน "ร้อนอยู่นะ อย่าใจร้อน เ้าถูกลวกมากี่ครั้งแล้ว ควรรู้จักเข็ดเสียบ้าง"
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยตอบรับ ดวงตาจ้องเนื้อปลาเหลืองเกรียมในชามไม่กะพริบ แต่ไม่กล้าหยิบขึ้นมากินทันที
"อ่าๆ ความจำดีจริงๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็หัวเราะ อาเหลยกินเก่งทั้งยังใจร้อน ก็เลยมักถูกลวกเป็ประจำ
ลิงน้อยตัวนี้เดิมทีมีนิสัยใจร้อนมาก แม้ว่าขาจะาเ็ก็นั่งไม่อยู่ มักลอบไปโน่นมานี่เสมอ กินของก็รีบร้อน เนื้อร้อนๆ เพิ่งตักขึ้นมาจากกระทะ มันก็เอามือไปคว้าทันทีโดยไม่ต้องคิด ถูกลวกมาสองสามหน ในที่สุดก็รู้จักจำเสียที
เหลียนเซวียนยกชามของตนเองขึ้นมา ค่อยๆ คีบปลาขึ้นมาหนึ่งชิ้น ปลารมควันแบบนี้เขาเพิ่งเคยกินเป็ครั้งแรก กลิ่นหอมไม่เลว แต่เขาไม่ค่อยชอบกลิ่นควันไฟระหว่างกระบวนการรมควันสักเท่าไร
ปลารมควันทอดเสร็จเรียบร้อย เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยกหม้อใส่น้ำขึ้นตั้งเตา แล้วใส่ซี่โครงสามชิ้นกับหัวเฝิ่นเฮ่ออีกจำนวนหนึ่งลงไป
จากนั้นค่อยยกชามของตนเองขึ้นมา
"ปลาพวกนี้ยังรมควันกลิ่นไม่ค่อยเข้าเนื้อเท่าไร ไม่มีซอสถั่วเหลืองกับเครื่องเทศ ใช้แต่เกลือเล็กน้อยกับพริกฮวาเจียว รสชาติก็ได้แค่นี้แหละ"
เซวียเสี่ยวหรั่นวิจารณ์ฝีมือตัวเอง โชคดี ใช้น้ำมันหมูทอดปลากลิ่นก็ยังหอมใช้ได้
เนื้อหมูป่าค่อนข้างหนารสชาติดี เสียแต่กลิ่นคาวแรงไปหน่อย เซวียเสี่ยวหรั่นนำเนื้อมาหั่นเป็ชิ้นแบนๆ แล้วนำมาทอดให้สุกด้วยวิธีเดียวกับการทำสเต๊กหมูทอด เสิร์ฟพร้อมหอมใหญ่และขิงป่า รสชาติเข้ากันได้ดี
มีอาหารประเภทเนื้อเพียงพอ จำนวนครั้งที่เซวียเสี่ยวหรั่นจะออกไปข้างนอกก็น้อยลง จะมีบ้างก็แค่ออกไปขุดต้นคาวมัจฉา ต้นหอม ขิง กระเทียมป่า หรือไม่ก็ไปเด็ดผลจากต้นผิวเกลือกับอาเหลย
ต้นผิวเกลืออยู่ค่อนข้างไกล เซวียเสี่ยวหรั่นสะพายเป้กับหิ้วตะกร้าไปด้วย ใช้ใบเผือกป่ารองก้นตะกร้าแล้วเด็ดใส่กลับมาจนเต็ม ปริมาณเพียงพอสำหรับพวกเขาถึงหนึ่งเดือน เอาไว้ก่อนเดินทางค่อยวิ่งมาเก็บอีกรอบ
เกาลัด เหอเถาล้วนมีเป็กองพะเนิน อาหารสำหรับคนสองคนและลิงหนึ่งตัวนับว่าเพียงพอแล้ว กักตุนมากไปก็สิ้นเปลือง ถึงเวลาเดินทางก็เอาของไปเยอะขนาดนั้นไม่ได้
พอซี่โครงกับหัวเฝิ่นเฮ่อตุ๋นได้ที่ก็ตักใส่ชามคนละถ้วย
อาเหลยใช้ตะเกียบไม่ถนัด จึงไม่ชอบดื่มน้ำแกงเท่าไร ดังนั้นชามของมันจึงไม่ใส่น้ำแกง มีแต่ซี่โครงกับหัวเฝิ่นเฮ่อ
เซวียเสี่ยวหรั่นตักน้ำแกงชามหนึ่งให้เหลียนเซวียนก่อน "การดื่มน้ำแกงก่อนอาหารดีกว่ายอดโอสถ อย่างอาเหลยเป็ตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ยอมกินน้ำแกง รู้ไหมว่าสารอาหารในหม้อล้วนอยู่ในน้ำแกงหมด"
บางครั้งคำพูดของแม่นางผู้นี้ก็เหมือนกับผู้าุโที่อบรมสั่งสอนผู้เยาว์ เหลียนเซวียนยกชามน้ำแกง ฟังนางอบรมลิงน้อยไปเงียบๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นซึมซับทั้งคำพูดและการกระทำจากคนสูงอายุในบ้านโดยไม่รู้ตัว ดื่มน้ำแกงเสร็จก็คีบเฝิ่นเฮ่อใส่ปาก "ไอ้หยา เฝิ่นเฮ่อนี่แก่เกินไป มีแต่ใยเต็มไปหมด"
เธอนิ่วหน้าพลางฝืนกลืนลงท้อง "เส้นใยข้างในมากพอจะเอามาถักเสื้อผ้าได้เลยนะเนี่ย "
กินคำก็บ่นคำ
เหลียนเซวียนคีบเฝิ่นเฮ่ออยู่ชิ้นหนึ่ง จะกินก็ไม่ได้ จะไม่กินก็ไม่ได้
กลับเป็อาเหลยที่ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อย ฟันของมันแข็งแรงดีเลิศ จึงชอบอาหารประเภทหัวเป็พิเศษ ไม่รังเกียจเฝิ่นเฮ่อแก่ๆ แม้แต่น้อย
หลังเก็บชามและตะเกียบเรียบร้อย หิมะข้างนอกก็ตกหนักขึ้น
เซวียเสี่ยวหรั่นปิดประตูมิดชิด กลับเข้ามานั่งข้างเตาไฟแล้วถักเสื้อกั๊กของเธอต่อ ถักเสื้อกับกางเกงเสร็จไปแล้วสองชุด มีด้ายจากเถาเฮ่อเหลืออยู่ไม่น้อย ดังนั้นเธอก็เลยตัดสินใจถักเสื้อกั๊กอีกคนละตัว
ไม่เพียงแต่เพิ่มความอบอุ่น ยังสามารถใช้เปลี่ยนแทนชุดชั้นในได้อีกด้วย
หิมะตกสามวันต่อเนื่องกันถึงหยุด ทั่วผืนป่าราวกับมีผ้าห่มปุยนุ่นสีขาวคลุมอยู่ทั้งผืน
พอหิมะหยุด เซวียเสี่ยวหรั่นกับอาเหลยก็วิ่งออกไปเล่นข้างนอกอย่างสนุกสนาน ทั้งหัวเราะและร้องะโว่าจะปั้นตุ๊กตาหิมะ
เหลียนเซวียนอับจนวาจา นึกคะเนในใจว่านางจะทนอยู่ข้างนอกได้นานเท่าไร
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เซวียเสี่ยวหรั่นก็วิ่งตัวสั่นกลับเข้ามาพร้อมกับฝ่ามือที่ถูกความเย็นกัดจนแดงก่ำ
...
[1] เป็วรรคหนึ่งจากบทกวี 琵琶行 ประพันธ์โดยไป๋จวีอี้ กวีสมัยราชวงศ์ถัง บทประพันธ์นี้แต่งขึ้นในปีหยวนเหอที่สิบเอ็ด ไป๋จวีอี้ทำให้ผู้มีอำนาจขุ่นเคืองจึงถูกลดตำแหน่ง รู้สึกคับแค้นใจ จนมาพบกับหญิงบรรเลงผีผา ซึ่งประสบชะตากรรมที่น่าเศร้าเหมือนกัน ทั้งสองมีสถานะที่แตกต่าง แต่กลับพบกับชะตากรรมน่าเศร้าไม่ต่างกัน จึงเกิดเป็แรงบันดาลให้ของบทกวีวรรคนี้ หมายถึง คนอาภัพอับโชคสองคนมาพานพบ เมื่อต่างคนต่างมีชีวิตที่น่าเศร้าไหนเลยจะต้องสนใจว่าอีกฝ่ายเป็ใคร
[2] ตุ้ยเหลียน หรือกลอนคู่ จะมีสองวรรค มีความคล้องจองและมีความหมายสอดคล้องกัน และมักจะมีอีกวรรควางอยู่แนวขวาง้าสุด โดยมากคนจีนนิยมติดตุ้ยเหลียนไว้ที่สองข้างประตู และเหนือประตู หากเป็งานมงคลจะเขียนอักษรสีทองบนผ้าหรือกระดาษสีแดง แต่ถ้าเป็งานอวมงคลก็จะเขียนด้วยหมึกสีดำบนผ้าหรือกระดาษสีขาว