ละอองฝนโปรยปรายตกกระทบลงบนใบไผ่เขียวชอุ่มราวกับเสียงสาวน้อยบรรเลงพิณ ชวนให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น
หลังจากบอกลากับพวกไป๋ซีหย่าแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ขี่ม้าเหงื่อโลหิตซึ่งมีมูลค่าสูงนับหมื่นตำลึงที่ตระกูลไป๋มอบให้ห้อตะบึงไปทางที่เมืองหลวงซึ่งเป็แหล่งรวมความแข็งแกร่งของแคว้นจื่อจินเอาไว้
หลังจากรีบเร่งเดินทางมาเกือบครึ่งค่อนวัน เขาก็มาถึงบริเวณนอกกำแพงเมืองหลวงได้ใน่พลบค่ำ
กำแพงเมืองหลวงที่ตั้งตระหง่านสูงราวสิบเมตรเมื่อมองจากที่ไกลๆ มีร่องรอยฉายชัดว่าผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน เยี่ยเฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะคิดถึง่เวลาในสมัยเด็กขึ้นมา คิดถึงเยี่ยเสวียนเสียงบิดาบุญธรรมผู้ล่วงลับไปแล้วที่เลี้ยงดูเขามาราวกับลูกในอุทร
“พ่อบุญธรรม หากข้าได้เข้าเป็ศิษย์ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์แล้ว จะต้องยืมพลังของสำนักนั่นสืบหาสาเหตุการตายของท่านแน่นอน ถ้าท่านตายด้วยน้ำมือของใครสักคนจริงๆ ข้าสาบานว่าข้าจะตามแก้แค้นคนผู้นั้นให้มันชดใช้คืนท่านด้วยชีวิต”
เยี่ยเฉินเฟิงฝากม้าเหงื่อโลหิตไว้ที่คอกสัตว์นอกกำแพงเมือง สวมหน้ากากหนังมนุษย์ที่ซื้อเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่งกายปกปิดตัวตนแล้วเดินเท้าเข้าไปด้านในเมืองหลวง
ที่เยี่ยเฉินเฟิงระแวงระวังเช่นนี้ เพราะกลัวว่าตระกูลเจียงจะพบเบาะแสของตนเองแล้วจะมีเื่วุ่นวายตามมาได้
ก้าวย่างไปบนถนนเส้นเก่าที่คุ้นเคยเป็อย่างดี เยี่ยเฉินเฟิงเลือกที่จะมุ่งหน้าไปที่ร้านวั่นเป่าหาง ร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงเป็อันดับแรก เพราะ้าจะหาซื้อสมุนไพริญญาสำหรับบำรุงเืลม
หากสามารถเติมเต็มเืลมที่ร่างกายยังขาดแคลนให้เต็มเปี่ยม บรรลุถึงระดับสายเืดุจดั่งสายน้ำใหญ่ได้ก่อนจะเข้าไปศึกษาในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ พลังกายของเยี่ยเฉินเฟิงก็จะเพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งหมื่นจิน เพียงหนึ่งหมัดที่ชกออกไป ก็สามารถบดขยี้เคล็ดิญญาระดับทั่วไปได้แล้ว
ทว่าสมุนไพริญญาที่ใช้ในการบำรุงเืลมมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ร้านวั่นเป่าหางจึงไม่มีสินค้ามาวางขาย
“หลงจู๊ ไม่ทราบว่าข้าจะหาซื้อสมุนไพริญญาได้จากที่ใดบ้างหรือ?” เยี่ยเฉินเฟิงสอบถามข้อมูลกับหลงจู๊ของร้านวั่นเป่าหาง
“สมุนไพรบำรุงเืลมหายากจะตายไป ่หนึ่งปีมานี้ แม้แต่งานประมูลในเมืองหลวงยังไม่มีสมุนไพริญญาปรากฏออกมาเลย”
หลงจู๊ผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างเฉยเมย เขาสวมใส่ชุดคลุมยาวสีขาวและสวมแว่นตากรอบทองบนใบหน้า
“หลงจู๊ ข้าจำเป็ต้องใช้สมุนไพริญญามากจริงๆ ขอแค่เ้าบอกแหล่งซื้อขายให้ข้าได้ ข้าก็จะตอบแทนเ้าอย่างงามเลย” เยี่ยเฉินเฟิงล้วงตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงออกมาจากอกเสื้อ แล้วยัดใส่ในมือของหลงจู๊ประจำร้านอย่างเงียบเชียบ
“อืม ก็ย่อมได้ เห็นแก่ที่เ้ารู้ความหรอกนะ ข้าจะแอบบอกข้อมูลให้เ้าก็ได้” หลงจู๊แอบเก็บตั๋วเงินเข้าไปในแขนเสื้ออย่างแเี กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ตระกูลจีเคยติดประกาศรางวัลมูลค่ามหาศาล มอบตอบแทนหมอคนใดก็ตามที่สามารถรักษาอาการป่วยของผู้นำตระกูลได้ ในบรรดาของรางวัลเ่าั้มีต้นโสมโลหิตจักรพรรดิอายุพันปีอยู่ด้วย”
“โสมโลหิตจักรพรรดิอายุพันปี!”
เยี่ยเฉินเฟิงเคยอ่านเจอในตำราโบราณ จึงรู้ว่าโสมโลหิตเป็สมนุไพรชั้นยอดในการบำรุงเืลม ยิ่งมีอายุมากถึงพันปียิ่งเป็ของระดับสูงในบรรดายาอายุวัฒนะทั้งหลาย ถ้าหากตัวเขาได้โสมโลหิตจักรพรรดิพันปีต้นนั้นมา พลังที่แท้จริงของเขาจะต้องเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างแน่นอน
“ทว่าอาการป่วยของผู้นำตระกูลจีรุนแรงมาก แม้แต่หมอหลวงในวังจำนวนนับไม่ถ้วนยังต้องส่ายหน้ายอมแพ้เลย ดังนั้นจะ่ชิงรางวัลจากตระกูลจีมาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเ้าแล้ว” หลงจู๊ประจำร้านเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณที่เล่าให้ฟัง”
หลังจากได้ข้อมูลสำคัญมาแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่คิดจะรั้งอยู่นาน เขารีบหมุนตัวเดินออกจากร้านวั่นเป่าหางทันที
“ตระกูลจี!”
ถึงแม้เยี่ยเฉินเฟิงจะไม่อยากไปเหยียบที่ตระกูลจี และไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องกับจีชิงเสวี่ยไปมากกว่านี้ แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องได้โสมโลหิตจักรพรรดิต้นนั้นมา หากได้โสมโลหิตจักรพรรดิพันปีต้นนั้นมา พลังที่แท้จริงของเขาจะต้องเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว
พอถึงเวลาเข้าไปอยู่ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์แล้ว เขาจะได้มีโอกาส่ชิงทรัพยากรที่มากยิ่งขึ้น
่เช้าของวันถัดมา เยี่ยเฉินเฟิงก็เดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลจีทางฝั่งตะวันตกของเมืองหลวงท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า
“ไม่เสียแรงที่ตระกูลจีเป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของแคว้นจื่อจิน ของรางวัลที่พวกเขาประกาศออกมา สามารถดึงดูดหมอมาได้มากมายถึงเพียงนี้เชียว”
ในยามที่เยี่ยเฉินเฟิงเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลจีที่เก่าแก่และผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้ว เขาก็พบว่าตรงหน้าประตูทางเข้ามีบรรดาหมอที่กำลังเข้ารับการประเมินอันเข้มงวดของตระกูลจียืนออกันอยู่เต็มไปหมด
มีเพียงคนที่ผ่านการคัดกรองเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในคฤหาสน์ด้านในเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของจีเหยียนเจิ้งผู้นำตระกูลจีได้
เนื่องจากการคัดเลือกของตระกูลจีเข้มงวดมาก จึงมีหมอเกือบเก้าส่วนจากทั้งหมดที่ไม่ผ่านการคัดเลือกถูกตระกูลจีขัดขวางไม่ไห้เข้าไปด้านใน พวกเขาจึงแสดงความไม่พออย่างเห็นได้ชัด
ทว่าพอคิดถึงฐานะที่อยู่เหนือกว่าของตระกูลจีในเมืองหลวง พวกเขาก็ทำได้เพียงส่งเสียงฮึดฮัดและสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“ท่านหมอ ท่านเองก็เห็นป้ายประกาศรางวัลจึงเดินทางมาเพื่อรักษาอาการป่วยให้ท่านผู้นำสินะ”
เมื่อเวียนมาจนถึงลำดับของเยี่ยเฉินเฟิง ชายชราผู้มีเส้นผมสีขาวโพลนและรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าก็เอ่ยถามขึ้น หลังจากััได้ว่าเยี่ยเฉินเฟิงยังดูหนุ่มแน่นอายุน้อย
“ใช่!” เยี่ยเฉินเฟิงพยักหน้ารับ ใบหน้าที่สวมทับหน้ากากหนังมนุษย์ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ขออภัย ตระกูลจีของพวกเรารับเพียงหมอที่มีประสบการณ์ในการรักษาสามสิบปีขึ้นไปเท่านั้น ดูจากอายุของท่านแล้ว เกรงว่าจะยังไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำไป”
“ประสบการณ์การรักษาไม่ใช่ตัวบ่งบอกอะไร ทั้งหมดควรใช้ความสามารถที่แท้จริงเป็หลัก หากพลาดจากข้าไปแล้ว กลัวว่าพวกท่านจะเสียโอกาสสุดท้ายในการช่วยชีวิตของประมุขจีไป”
“ต้องขออภัยด้วย พวกเราไม่อาจนำชีวิตของท่านผู้นำไปเสี่ยงเช่นนั้นได้ ท่านหมอเชิญกลับไปเถอะ” หลังจากใคร่ครวญดูสักพัก ชายชราผมขาวก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธเยี่ยเฉินเฟิงและไม่ยอมให้เขาเข้าไปข้างใน
“ถ้าหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูใหญ่ตระกูลจีของพวกท่านได้เดินทางไปยังเมืองไป๋ตี้ เพื่อเชิญตัวหมอเทวดาที่รักษาผู้เฒ่าไป๋กลับมาสินะ”
เมื่อถูกชายชรากล่าวปฏิเสธซ้ำ เยี่ยเฉินเฟิงก็กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉยไม่โกรธเคืองใดใด
เพื่อโสมโลหิตจักรพรรดิพันปี เยี่ยเฉินเฟิงจำต้องยอมเสี่ยงเปิดเผยฐานะของอีกตัวตนหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้เขาได้โน้มน้าวตระกูลไป๋ให้เก็บตัวตนของเขาไว้เป็ความลับแล้ว จึงไม่ต้องกลัวว่าตระกูลไป๋จะนำไปโพนทะนา
“หรือว่าท่านคือหมอเทวดาผู้นั้น?” ชายชราผมขาวเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ มองแววตาที่ไม่สะทกสะท้านสักนิดของเยี่ยเฉินเฟิง
ชายชราผมขาวเคยได้ยินจีชิงเสวี่ยพูดถึงอยู่บ้าง ว่าหมอเทวดาที่รักษาท่านผู้เฒ่าไป๋ยังเป็เพียงคนหนุ่มสาวประกอบกับเด็กหนุ่มคนนี้ล่วงรู้เื่ราวที่น้อยคนจะรู้ เขาจึงพอจะคาดเดาฐานะของอีกฝ่ายได้อย่างคร่าวๆ
“ข้าคือคนที่รักษาโรคให้ผู้เฒ่าไป๋เอง” เยี่ยเฉินเฟิงพูดอย่างเฉยชา
“ต้องขออภัยท่านด้วยที่เมื่อครู่นี้ได้ล่วงเกินท่านไป ขอท่านหมออย่าได้ถือสาหาความ ไม่ทราบว่าท่านหมอเทวดามีชื่อแซ่ว่าอะไร?”
“ข้าแซ่เฉิน”
“ท่านหมอเทวดาเฉินเชิญด้านในขอรับ”
ชายชราค้อมตัวลงต่ำเล็กน้อยพลางกล่าวขออภัย ก่อนจะเดินนำทางเยี่ยเฉินเฟิงเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลจีที่ให้บรรยากาศเก่าแก่แลดูขลัง
ขณะก้าวเดินไปบนทางเดินคดเคี้ยวที่โรยด้วยหินละเอียดอยู่นั้น ประสาทััอันเฉียบไวของเยี่ยเฉินเฟิงก็รู้สึกถึงยอดฝีมือจำนวนมากที่เร้นกายอยู่รอบคฤหาสน์ และในบรรดายอดฝีมือเ่าั้ก็มีผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์อสูรมายารวมอยู่ด้วย
‘เหตุใดการรักษาความปลอดภัยของที่นี่จึงแ่ารัดกุมนักล่ะ มันมีเื่อะไรเกิดขึ้นหรือ?’ เยี่ยเฉินเฟิงัักลิ่นอายผิดปกติได้จากการรักษาความปลอดภัยภายในตระกูลจี
“จีชิงเสวี่ย”
เยี่ยเฉินเฟิงเดินตามชายชราผมขาวผ่านป่าไผ่สีเขียวชอุ่มมายังด้านนอกโถงใหญ่สุดหรูหรา ในขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงกวาดตามองการแกะสลักลายเมฆคล้อยของโถงหลักอยู่นั้น ก็พลันเหลือบเห็นจีชิงเสวี่ยในชุดกระโปรงยาวทอจากแพร่ต่วนสีเขียวมรกต ท่วงท่าสง่างาม รูปโฉมงดงามวิจิตร
ในยามนี้ นางกำลังยืนอยู่ข้างกายของจีอวิ๋นโหยวผู้เป็บิดา คิ้วงามขมวดแน่นไม่รู้กำลังกังวลถึงเื่ใด
เยี่ยเฉินเฟิงเบนสายตาออกจากร่างของจีชิงเสวี่ย เดินเข้าไปยังห้องโถงหลักที่มีเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจด้วยใบหน้าเฉยเมย
ภายในห้องโถงหลัก หมอผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งแต่ละคนกำลังยืนรวมกันอยู่ เมื่อหันมาเห็นเยี่ยเฉินเฟิงที่ยังเป็เพียงเด็กหนุ่ม สีหน้าของแต่ละคนก็ค่อยๆ เผยความผิดปกติออกมา เสียงเซ็งแซ่ภายในโถงหลักเงียบหายไปในทันที
