ซ่งมู่ไป๋เอ่ยถามอย่างเป็ห่วง “พวกเราไม่ได้จะไปล่าสัตว์สักหน่อย เด็กนั่นจะตามพวกเราแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”
เซี่ยโม่มองค้อนชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ถ้าพี่เป็ห่วง จะล่ากระต่ายป่าหรือไก่ป่าสักตัวก็ได้นะคะ”
ในตอนนี้ถึงค่อยรู้ตัวว่าพูดผิดไป เขารีบเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจทันที “ทำไมฉันต้องไปสนใจด้วย แค่เห็นหน้าก็รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนฉลาด”
สีหน้าคนฟังถึงค่อยดีขึ้น เซี่ยโม่หันมายิ้มกว้างให้เขาก่อนจะเอ่ยชม “ต้องแบบนี้สิคะ เธออยากจะทำอะไรก็เื่ของเธอ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราสักหน่อย”
เขายกยิ้มมุมปาก เด็กสาวของเขานี่ช่างเป็คนที่น่าสนใจจริงๆ
หลังจากทำให้เซี่ยโม่กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมได้แล้ว เขาก็ไม่สนใจคนที่แอบเดินตามอยู่ด้านหลังอีก พวกเขาไม่ได้ไปล่าสัตว์ เด็กคนนั้นต้องกำลังนึกเซ็งอยู่เป็แน่
ซึ่งก็เป็เช่นนั้นจริงๆ เด็กข้างบ้านมองเซี่ยโม่กับชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ทั้งยังเก็บเกาลัดกันไปได้ไม่น้อย
เธอก็อยากเก็บเกาลัดบ้างแต่ว่าออกไปไม่ได้
หากออกไปตอนนี้ จากตอนแรกที่ทั้งคู่จะล่าสัตว์ พอเห็นเธอเข้าอาจล้มเลิกความคิดก็ได้
ดังนั้นแอบต่อไปก็แล้วกัน
ทว่ารออยู่นานจนตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้า สองคนนั้นก็ยังไม่ไปล่าสัตว์เสียที เธอรอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
เด็กหญิงข้างบ้านขัดเคืองใจไม่น้อย ทั้งคู่ไม่ไปใช่ไหม เช่นนั้นเธอไปเองก็ได้
เด็กหญิงข้างบ้านปีนี้อายุสิบปี น้อยครั้งมากที่จะขึ้นไปบนเขา ปกติได้แต่เก็บผักอยู่แถวตีนเขา เพราะไม่เคยขึ้นบนเขาเพียงลำพังมาก่อน เดินไปเดินมาก็เลยเกิดหลงทาง
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยตกดิน เธอก็ยิ่งรู้สึกกลัว ไม่รู้ว่าควรต้องเดินไปทางไหน
เธอทำได้แค่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวขณะเดินไปข้างหน้าต่อ ส่วนความคิดที่ว่าจะขู่เอาสัตว์ที่ล่าได้จากเซี่ยโม่กับชายหนุ่มคนนั้นเป็ค่าปิดปากได้หายออกไปจากสมองนานแล้ว
เวลาผ่านไปพักใหญ่ เซี่ยโม่เห็นว่าเย็นแล้วจึงเอ่ยกับซ่งมู่ไป๋ “พวกเราช่วยกันแกะเปลือกเถอะค่ะ แกะเสร็จจะได้กลับบ้านกัน”
“ได้” ซ่งมู่ไป๋หันไปมองรอบๆ เด็กคนนั้นที่แอบตามพวกเขามาตอนนี้กลับไม่อยู่แล้ว
“เด็กคนนั้นไปไหนแล้ว”
“รอจนเบื่อก็เลยกลับไปแล้วมั้งคะ” เซี่ยโม่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
ทั้งสองคนช่วยกันแกะเปลือกเกาลัด ได้ทั้งหมดกระสอบครึ่งด้วยกัน
ซ่งมู่ไป๋เอากระสอบทั้งสองใบมาผูกติดกันก่อนจะพาดไว้ที่ไหล่ จากนั้นก็เดินลงจากเขา
“พี่ซ่ง เทใส่ตะกร้าหน่อยเถอะค่ะ ฉันจะได้ช่วยขนลงเขา พี่แบกคนเดียวแบบนี้มันหนัก” เธอเสนออย่างเกรงใจ
ชายหนุ่มกลับไม่ทำตาม เขาเดินต่อและพูดกับเซี่ยโม่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หลังจากนี้ถ้าฉันอยู่ด้วย งานหนักๆ พวกนี้เดี๋ยวฉันเป็คนทำเอง เธอไม่ต้องทำ”
ดวงตาของเด็กสาวเริ่มแดงรื้นด้วยความซาบซึ้งตื้นตัน นึกถึงชาติที่แล้วตอนเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ เธอต้องแบกของที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีใครเคยช่วยเธอเลยสักคน
พอเริ่มตั้งตัวได้จนมีเงินเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตสาขาแรก คนที่บ้านพวกนั้นก็ทำตัวเป็ปลิง คอยสูบเืสูบเนื้อ สูบเงินของเธอไม่หยุดไม่หย่อน
ประโยคของพี่ซ่งเมื่อครู่นี้เหมือนสายฝนชุ่มฉ่ำที่โปรยปรายลงมาใส่หัวใจอันแห้งผากของเธอ
เธอเดินตามหลังชายหนุ่มไป พอเห็นพี่ซ่งแบกกระสอบหนักๆ สองใบจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผากก็รู้สึกปวดใจ
เซี่ยโม่หยิบผ้าออกมาเพื่อช่วยเช็ดเหงื่อตามหน้าผากของชายหนุ่มให้ “พี่ซ่ง ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยเถอะค่ะ”
แม้จะเหนื่อยกายแต่ซ่งมู่ไป๋กลับรู้สึกสุขใจ ที่เด็กสาวเป็ห่วง แสดงว่าเธอใส่ใจเขาอยู่บ้าง
“ได้”
ทั้งคู่หยุดพักครู่หนึ่ง เขาดื่มน้ำที่เด็กสาวยื่นมาให้ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าน้ำที่ดื่มในวันนี้รสชาติหวานกว่าทุกวัน
หลายนาทีผ่านไปเขาก็หยัดกายลุกขึ้น นำกระสอบเกาลัดสองใบมาพาดบ่าแล้วเดินลงจากเขาต่อ
เมื่อไปถึงตีนเขา เซี่ยโม่เดินไปหลังพุ่มไม้เพื่อจูงจักรยานที่ซ่อนไว้ออกมา
ซ่งมู่ไป๋พาดกระสอบไว้ตรงแฮนด์รถ ก่อนจะพากันขี่จักรยานกลับบ้าน
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ทุกบ้านมีควันลอยออกมา ทุกคนที่ออกไปทำงานต่างกลับบ้านเข้าครัวเพื่อทำอาหารเย็นกิน
ซ่งมู่ไป๋ขี่จักรยานมาถึงหน้าบ้านอู๋ ขณะกำลังจะเข้าบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งปรี่เข้ามาก่อนจะเอ่ยถามเสียงแหลม “พวกเธอเห็นลูกฉันไหม”
เซี่ยโม่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็หันไปมอง เ้าของเสียงคือสาวใหญ่ข้างบ้านนั่นเอง
เธอขมวดคิ้วพลางคิดในใจ เด็กหวางยังไม่กลับมาบ้านอีกหรือ ทว่าสีหน้าที่แสดงออกไปกลับแกล้งทำเป็ตาโตคล้ายคนใ “คุณบอกพวกเราตอนไหนว่าให้คอยจับตาดูลูกของคุณ แล้วให้อะไรเป็ของตอบแทนพวกเราเหรอ พวกเราถึงต้องคอยเฝ้าลูกของคุณให้”
สาวใหญ่ข้างบ้านถึงค่อยรู้ตัวว่าพูดผิดไป เธอรีบแก้ประโยคใหม่ทันที “ลูกสาวฉันไปขุดผักที่ตีนเขา แต่ทำไมถึงยังไม่กลับมาก็ไม่รู้”
“เื่นี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย คุณมีเวลาเอาเื่ของฉันไปพูดให้คนอื่นฟัง แต่ไม่มีเวลาตามหาลูกสาวงั้นเหรอ” เซี่ยโม่ประชดประชันกลับไป
คำโต้เมื่อครู่ทำเอาสาวใหญ่ชะงักไป พอรู้ว่าตัวเองพูดไม่ถูกอีก น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงอ่อนลง “พวกเธอสองคนเดินขึ้นเขาลงเขาอยู่ ระหว่างนั้นไม่เห็นลูกฉันบ้างเลยเหรอ”
ค่อยดีขึ้นมาหน่อย แต่จะว่าไปตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ทำไมเด็กนั่นถึงยังไม่กลับมาอีก
“ไม่เห็น คุณรีบไปตามหาเธอเถอะ” เซี่ยโม่ส่ายหน้า
ได้ยินเช่นนั้นสาวใหญ่ก็รีบวิ่งไปทีู่เาด้วยสีหน้ากระวนกระวายร้อนใจทันที
เธอมองอีกฝ่ายที่กำลังวิ่งไปจนหายลับจากสายตาด้วยใจสงบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกผิดแต่อย่างใด
เด็กนั่นแอบตามพวกเธอไปเอง และเป็เด็กนั่นที่หลงทางเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเธอเสียหน่อย
เธอกับพี่ซ่งเข้าไปในบ้าน พบว่าผู้ใหญ่ทั้งสามคนกลับมาบ้านกันหมดแล้ว
คุณยายกำลังทำอาหารอยู่ เอาหมูแดดเดียวไปแช่น้ำ
เธอเลยหยิบออกมาอีกชิ้น นำมาผัดกับผัก เทปลากระป๋องใส่ถ้วย ทั้งยังทำไข่คนเพิ่มอีกอย่าง ครึ่งชั่วโมงต่อมาอาหารทุกจานก็เสร็จเรียบร้อย
พวกเธอเพิ่งจะกินข้าวเสร็จก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกบ้าน
ก่อนเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งจะดังลอดเข้ามา “ยกเข้าไปเลย คุณหมอจ้าวต้องอยู่ข้างในแน่นอน”
เซี่ยโม่รีบวิ่งออกไปดู คนหลายคนกำลังช่วยกันหามเด็กหวางที่สลบไม่ได้สติเข้ามาในบ้าน
ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าได้รับาเ็หรือไม่ รู้แค่ว่าน่าจะหกล้ม ทั้งตัวถึงได้สกปรกมอมแมม
เธอรีบเข้าไปขวาง ก่อนจะพูดกับสาวใหญ่ข้างบ้านที่ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา “ลูกคุณได้รับาเ็ ทำไมถึงไม่หามกลับไปบ้านตัวเอง”
“คุณหมอจ้าวอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ ทุกคนรีบพาลูกฉันเข้าไปในบ้านเร็ว จะได้ให้คุณหมอรักษาให้” สาวใหญ่ข้างบ้านตอบ
มุมปากเซี่ยโม่ยกเป็รอยยิ้มเ็า ก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าทุกคนในหมู่บ้านทำเหมือนคุณกันหมด บ้านฉันได้กลายเป็โรงพยาบาลพอดี รีบพาลูกกลับไปที่บ้านคุณ หรือถ้าคุณกลัวว่ามันจะนำพาโชคร้ายเข้าไปในบ้าน ก็พาลูกไปที่โรงตรวจ”
ก่อนหน้านี้ทุกคนมัวแต่ร้อนใจเลยฟังที่สาวใหญ่ข้างบ้านสั่ง ไม่ทันได้คิดอะไรให้รอบคอบ แต่พอได้ยินเซี่ยโม่พูดเช่นนี้ ทุกคนถึงค่อยตระหนักขึ้นมาได้ เป็แม่แท้ๆ แต่กลับกลัวว่าอาการาเ็ของลูกจะนำพาโชคร้ายเข้าบ้าน ถึงได้ให้หามลูกไปไว้ที่บ้านคนอื่น
ทุกคนมองสาวใหญ่ข้างบ้านเป็ตาเดียวกัน
สาวใหญ่ข้างบ้านเห็นเช่นนั้นจึงต้องกัดฟัน “หามไปไว้ที่บ้านฉัน ระวังหน่อยล่ะ”
คุณปู่จ้าววิ่งออกมาจากบ้านในเวลานี้เอง พอสาวใหญ่ข้างบ้านเห็นก็รีบเข้าไปร้องไห้อ้อนวอน “คุณหมอจ้าว ช่วยลูกฉันด้วย ลูกฉันได้รับาเ็สาหัสมา”
“ฉันขอไปเอาล่วมยาที่โรงตรวจก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งไปที่โรงตรวจทันที
ระหว่างนี้สาวใหญ่ข้างบ้านหันมาขอร้องเซี่ยโม่ “ฉันขอร้องละ เห็นแก่ที่เราเป็เพื่อนบ้านกัน เธอช่วยดูอาการลูกฉันระหว่างที่คุณหมอจ้าวไปเอาล่วมยามาได้ไหม คงไม่ใช่ว่าเธอเห็นคนใกล้ตายแล้วจะไม่ช่วยใช่ไหม”
เซี่ยโม่ฟังออกถึงความนัยของประโยคนี้ ถึงขนาดนี้แล้วสาวใหญ่ข้างบ้านก็ยังคิดจะเล่นงานเธอ
“เห็นแก่ที่เป็เพื่อนบ้านกัน? มีอะไรแบบนั้นด้วยเหรอคะ? ตอนที่หวางหมาจื่อพาพวกมาพังข้าวของและขโมยของในบ้านฉันไป ทำร้ายน้องชายฉันจนาเ็สาหัส คุณอยู่บ้านข้างๆ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ฉันไม่ได้ขอให้คุณไปสู้กับพวกนั้นด้วยซ้ำ แต่พอฉันถาม คุณกลับไม่ยอมบอกความจริง”
“วันนี้ฉันขึ้นเขาไปตัดฟืนกับพี่ซ่ง คุณกลับเอาเื่ของฉันไปเล่าให้ทุกคนในหมู่บ้านฟังอย่างเสียๆ หายๆ ทำให้ฉันเสียชื่อเสียง คุณทำแบบนี้แล้วยังจะมีความเป็เพื่อนบ้านอะไรเหลืออยู่อีก”