เฉียวเยว่ออกจากเรือนไม่ได้อีกหน เพราะเมื่อเอ่ยปากพูดก็จะเห็นฟันหลอดูเหมือนคนเขลา นางส่องคันฉ่องอยู่นาน ยิ่งพิศก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็แบบนี้ช่างดูขัดตา จึงเลิกส่องแล้วเก็บคันฉ่องเสีย ไปนั่งอ่านตำราเขียนอักษรแต่โดยดี
อีกสาเหตุหนึ่งที่นางไม่อาจไปที่อื่นเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะแอบให้ของกิน สายตาของมารดานางราวกับคมมีด น่ากลัวเหลือเกิน
ฉีอันตัวร้าย ยิ่งแย่สุดๆ เขาเห็นเฉียวเยว่ฟันหลุดหนึ่งซี่ หลังจากมาเย้ยหยันอย่างไร้ความปรานีก็ไปโพนทะนาให้คนทั้งเรือนรู้ทั่วกัน แม้แต่หมาแมวก็ไม่เว้น ฮึ่ม มันน่านัก!
ตอนนี้พอรู้ว่านางไม่ออกจากเรือน เขาก็บิดก้นไปเรือนหลักทำตัวน่ารักเอาอกเอาใจท่านย่า มีน้องชายไม่เป็มิตรเช่นนี้ เหนื่อยใจยิ่ง
ปีใหม่ใกล้จะถึงอยู่รอมร่อ ฟันหน้าหลอเป็รูโบ๋ไม่รู้ว่าจะขึ้นทันหรือไม่ หากไม่ขึ้น เมื่อออกจากบ้านก็ขายหน้าหมดพอดี
เฉียวเฉียวแลดูซึมเศร้าไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เดิมทีฟันซี่นี้ก็โยกอยู่ก่อนแล้ว พอหกล้มจึงเป็การเร่งกระบวนการ "มรณกรรม" ของมันให้เร็วขึ้น
เฉียวเยว่ถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ ก่อนจะร้องเพลงว่า "ฟันหน้าน้อยๆ ของข้า เ้าจากลาไปไกลแสนไกล..."
จื้อรุ่ยยืนอยู่หน้าประตู ยังไม่ทันเข้ามาขำพรืด ความสามารถในการร้องเพลงซี้ซั้วของคนผู้นี้ยังคงไร้เทียมทานเสมอ
ซูซานหลางชินกับจินตนาการเพ้อฝันของบุตรสาวแล้ว จึงเอ่ยว่า "เข้าไปเถอะ"
ิ่จื้อรุ่ยได้ยินว่าเฉียวเยว่ฟันหลุด ถามว่ารู้ได้อย่างไร ยามนี้คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันหมดแล้ว ว่าคุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหวไปทับอวี้อ๋องแขนหักอีกรอบ อ้อ ยังมีเื่ที่นางฟันหน้าหลุด แล้วเอาไปปลูกไว้ใต้ต้นไม้จวนอวี้อ๋อง เฝ้ารอฟันงอกขึ้นมาใหม่ปีหน้า
ช่างน่าสยดสยองจริงๆ !
"แฮ่มๆ" ซูซานหลางกระแอมกระไอเบาๆ "เฉียวเยว่ พี่จื้อรุ่ยมาเยี่ยมเ้า"
เฉียวเยว่เงยหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใส "ท่านพี่จื้อรุ่ย"
ฟันน้อยๆ เรียงแถวเป็ระเบียบเป็รูโบ๋เล็กๆ ตรงกลาง
ิ่จื้อรุ่ยมองนางอย่างพินิจ หลังจากนั้นก็เม้มปากถามขึ้นว่า "เจ็บหรือไม่"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า เปียน้อยๆ สะบัดไปมา ก่อนจะตอบเสียงดัง "ไม่เจ็บ"
หมินจื้อรุ่ยเข้ามาประคองดวงหน้าน้อยแล้วมองพิจารณาด้วยความรู้สึกปวดใจ แต่ก็ยังคงปลอบประโลม "ไม่ต้องกลัวนะ อีกไม่กี่วันก็ขึ้นมาใหม่แล้วล่ะ"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ มองไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเขา ก่อนจะพูดอย่างเศร้าๆ "เหตุใดท่านไม่เอาของกินมาฝากข้าเลยล่ะ?"
สายตาตัดพ้อพุ่งมาที่เขาอย่างแรง
ิ่จื้อรุ่ยชะงัก หันไปมองซูซานหลาง เฉียวเยว่จึงตระหนักได้ทันควัน "ท่านพ่อเอาของกินข้าไปซ่อนใช่หรือไม่ นั่นเป็ของที่พี่จื้อรุ่ยเอามาให้ข้า ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร"
หนูน้อยทำท่าทางปานอยากจะกินคน
"มารดาเ้าบอก เ้าต้องลดความอ้วน ใครให้ของกินเ้าก็ต้องถูกจำกัดอาหารไปด้วย พ่อเหลือให้เ้าส่วนหนึ่งไว้เป็ขนมกินเล่นยามบ่าย ส่วนอย่างอื่นให้ฉีอันเอาไปเรือนหลักหมดแล้ว"
เมื่อเห็นขนมแสนอร่อยของตนเองโบยบินไปต่อหน้าต่อตา ในใจของเฉียวเยว่ก็รู้สึกพังทลาย ทว่านางทำได้เพียงอดทน
ใครให้มารดาจับนางลดความอ้วนกันเล่า
เฉียวเยว่สามารถทำตัวดื้อรั้นต่อหน้าบิดา แต่กลับไม่กล้าดื้อรั้นต่อหน้ามารดา
เฉียวเยว่ดึงชายเสื้อของิ่จื้อรุ่ย ทำปากยื่นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ท่านพี่จื้อรุ่ย ถึงแม้ว่าข้าบอกว่าจะลดความอ้วน แต่ก็เพียงกินน้อยลงและลดอย่างค่อยเป็ค่อยไป แต่บิดามารดาของข้ากลับคุมเข้มไปเสียทุกสิ่ง ท่านว่าพวกเขาใจร้ายกับเด็กเช่นนี้เกินไปหรือไม่?"
ิ่จื้อรุ่ยหัวเราะ กล่าวว่า "อาจารย์กับอาจารย์หญิงทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเ้า" พวกเขามักอยู่เคียงข้างเ้าเสมอและเป็เช่นนี้ตลอดมา
แม้ว่ามีรอยยิ้ม แต่สีหน้าของิ่จื้อรุ่ยกลับมีความอ้างว้างเดียวดาย เฉียวเยว่พลันนึกขึ้นได้ว่าท่านพี่จื้อรุ่ยไม่ได้พบหน้าบิดามารดาของตนเองมานานมากแล้ว แม่ทัพิ่จะกลับมาเพียงปีละครั้งคือ่ปีใหม่
ด้วยเหตุนี้ิ่จื้อรุ่ยจึงมีอุปนิสัยประหลาด ไม่เป็ที่นิยมชมชอบ แต่ความไม่น่าชมชอบของเขาแตกต่างจากอวี้อ๋อง
อวี้อ๋องมีความลึกลับแบบชวนให้คนคาดเดาไม่ได้ แต่เขาไม่ใช่ ส่วนหนึ่งที่ทำเขาไม่ได้รับความชมชอบจากผู้อื่นเป็เพราะเขามีมารดาเป็คนต่างเผ่า
แม้ว่ามารดาเขาจะเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตบิดาของเขาไว้ แต่ก็ไม่ช่วยให้คนรู้สึกดีขึ้น เพราะเด็กอย่างพวกเขาไม่เข้าใจความซับซ้อนของเื่เ่าั้ รู้แต่เพียงว่าคนต่างเผ่าไม่เหมือนกับตนเอง เป็คนไม่ดี
ิ่จื้อรุ่ยจะคิดถึงเื่เหล่านี้หรือไม่ก็สุดที่จะรู้ได้ เฉียวเยว่ตบบ่าของเขาอย่างแรง
"พี่จื้อรุ่ย บอกข้ามาตามตรง ท่านคิดถึงบิดามารดาของท่านใช่หรือไม่"
ิ่จื้อรุ่ยทำสีหน้าเ็า "ข้าว่าเ้าสมควรลดความอ้วนจริงๆ นั่นแหละ ตบบ่าข้าแค่สองที มือหนักยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก"
เฉียวเยว่ "..."
ให้ตาย หากไม่เห็นว่าเขาเป็เพียงเด็กหนุ่มไร้ความรู้ นางจะตีเขาให้กลายเป็สุนัขไปเลย
"ท่านนี่ไม่เป็มิตรเอาเสียเลย มีแต่คนดีเช่นข้าที่ใส่ใจท่านอยู่ หากท่านรู้จักพูดจาให้ดีหน่อย ยิ้มแย้มให้มากขึ้น ทุกคนอาจจะแย่งชิงกันมาเป็สหายกับท่านก็ได้ ท่านเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งเช่นนี้ คงมีแต่บุรุษอ่อนโยนเช่นเสด็จพี่รัชทายาทถึงคบหาด้วย เอ๋ ไม่ถูกสิ วันนี้ไยเสด็จพี่รัชทายาทถึงไม่มาเล่า?"
เฉียวเยว่เพิ่งนึกได้ถึงจุดนี้
"วันนี้รัชทายาททรงมีงานอื่นในวัง เ้านึกว่าเขาเป็เหมือนเ้าหรือไร"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "พวกท่านล้วนยุ่งกันทุกคน ส่วนข้าว่างที่สุด พอใจรึยัง?"
นางทำกระเง้ากระงอด แต่ก็ยังเอ่ยว่า "พี่จื้อรุ่ย บิดามารดาท่านใกล้จะกลับมาแล้วกระมัง?"
ิ่จื้อรุ่ยพยักหน้า "ใช่ แล้วจะทำไม ใช่ธุระของเ้ารึ" น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
มารดาเขาไม่ชอบให้เขามาเล่นกับกระต่ายอ้วนเช่นนาง นางรู้หรือไม่?
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ "ท่านไม่คิดจะทำของขวัญด้วยตนเองสักชิ้นหรือ"
เห็นิ่จื้อรุ่ยยังจะเฉไฉ จึงพูดต่อไปอีกว่า "พวกเขาจากไปตั้งนานต้องลืมท่านไปแล้วแน่ๆ หากพวกเขายังคิดถึง ก็ต้องกลับมา หากไม่กลับมาก็แสดงว่าไม่คิดถึง"
"เฉียวเยว่" ซูซานหลางขมวดคิ้ว ไม่อยากให้นางเอ่ยวาจาเช่นนี้
"ท่านไม่คิดว่าควรหาโอกาสทำของบางอย่าง เพื่อให้พวกเขารำลึกถึงท่านตลอดเวลาบ้างหรือ" เฉียวเยว่พูดต่อ
เื่อะไรต้องสนใจบิดา เกลี้ยกล่อมเด็กต่อดีกว่า
ิ่จื้อรุ่ยเม้มปาก ก่อนถามนาง "เ้าหมายความว่าอย่างไร"
เฉียวเยว่ทำท่าทางราวกับว่า 'ข้าเป็สตรีเต็มวัยที่เข้าใจสตรีทุกคน'
"ข้าจะบอกให้ท่านรู้ ไม่มีสตรีคนไหนไม่ชอบเครื่องประดับ ท่านซื้อไข่มุก หยกสีสันงดงาม มาทำของขวัญให้มารดาสักชิ้นสิ ถึงเวลาพบกันก็มอบให้แก่นาง หากนางคิดถึงท่าน คงจะกอดท่านร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็แน่ แต่ถึงนางจะไม่คิดถึง ก็ยังสามารถให้นางสวมติดตัว เพียงแค่ประดับปิ่นไข่มุกที่ท่านทำกับมือ นางก็จะนึกถึงท่านตลอดเวลา อย่างไรเสียท่านก็ไม่รู้อยู่แล้วว่ามารดาของท่านชอบท่านหรือไม่ ก็ถือเสียว่าเป็การทำของที่ระลึก"
ิ่จื้อรุ่ยมองนางเงียบๆ สงวนวาจา
แต่ซูซานหลางกลับเข้าใจบุตรสาวของตนว่านางคิดจะทำสิ่งใด
กระต่ายอ้วนตัวนี้มักมีลูกไม้แพรวพราวไปหมด แต่ทว่า... ก็เป็กระต่ายน้อยจิตใจดีงาม
"บิดาของท่านก็เหมือนกัน ท่านสามารถทำพู่ประดับสำหรับแขวนกระบี่ของเขา หรือให้เขาใช้ประดับเอวก็ได้ แต่ใกล้จะปีใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าจะทันเวลาหรือเปล่า ตอนข้าทำของขวัญชิ้นหนึ่ง ขนาดข้ากับฉีอันช่วยกันสองคน ยังต้องใช้เวลาครึ่งเดือน แต่ท่านคนเดียว มือไม้งุ่มง่าม เวลาก็เหลือไม่มากแล้ว เฮ่อ... ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ"
นางโบกอุ้งเท้ากระต่ายของตนเอง "ท่านไม่ต้องทำหรอก"
"ไม่ ข้าจะทำ" ิ่จื้อรุ่ยเอ่ยปากทันที หลังจากนั้นเขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ข้าก็แค่ทำเป็ของที่ระลึก"
เฉียวเยว่เอามือเท้าคาง ตอบอ้อ แต่ก็ยังคงพูดต่อไปอีก "พวกเขาจะชอบหรือไม่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่านย่าของท่านรักท่านมาก หากรู้ว่าท่านทำให้พวกเขาไม่ทำให้ตนเอง ก็คงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ คิดว่าิ่จื้อรุ่ยเป็หมาป่าตาขาว ข้าอุตส่าห์เช็ดอึเช็ดฉี่เลี้ยงดูเขาจนเติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาทำของขวัญกลับไม่คิดถึงข้า..."
เฉียวเยว่เท้าสะเอวทำท่าเลียนแบบคนชรา แล้วถอนหายใจด้วยความเ็ป
ิ่จื้อรุ่ย "ข้าทำได้ นอกจากนี้ ตอนเด็กๆ ข้าเติบโตที่ชายแดน เช็ดอึเช็ดฉี่อันใด เ้าอย่าพูดเหลวไหล"
เฉียวเยว่ชำเลืองมองเขา "ท่านทำทันหรือ?"
"ต้องทันอยู่แล้ว ข้าไม่เหมือนเ้า มือไม้งุ่มง่าม" ิ่จื้อรุ่ยตอบอย่างจริงจัง
ขณะคุยกันอยู่ เขาก็ลุกขึ้น "ที่บ้านข้ายังมีธุระอย่างอื่น อยู่นานไม่ได้ ข้าไปก่อนล่ะ..."
"เดี๋ยวก่อน" เฉียวเยว่วิ่งไปที่โต๊ะ รื้อค้นไปมาแล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งติดมือมา
"นี่ให้ท่าน แต่ต้องคืนด้วยเล่า"
"นี่คือสิ่งใด?" ิ่จื้อรุ่ยทำสีหน้างุนงง
เฉียวเยว่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ "นี่คือสมุดเครื่องประดับที่ข้าวาดเอง ในนี้เขียนรายละเอียดขั้นตอนไว้คร่าวๆ นี่คือสิ่งที่ข้าเตรียมการล่วงหน้าตอนทำของขวัญให้กับท่านอา ข้าไม่แน่ใจว่าถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ แต่ก็คงจะเกือบๆ แหละน่า อย่างน้อยมีแปดเก้าส่วน ข้าเองทดลองทำแบบง่ายๆ มาแล้ว ท่านสามารถเอากลับไปทำตาม แต่ขอบอกอีกครั้ง สิ่งนี้ต้องเอามาคืน มิเช่นนั้นข้าจะข่วนหน้าท่านให้ลายไปเลย"
ิ่จื้อรุ่ยมุมปากกระตุก "เ้าเป็กระต่าย อย่ามาข่มขู่ผู้อื่นราวกับเป็แมวเหมียวได้หรือไม่?"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ ไม่สนใจเขาแล้ว
ิ่จื้อรุ่ยเก็บสมุดอย่างดี แล้วกล่าวอย่างจริงจัง "ขอบใจนะ น้องเฉียวเยว่"
เป็ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้
เฉียวเยว่เป่าปากวี้ดวิ้ว "ว้าวๆๆ เหตุใดวันนี้ท่านพูดภาษาคนเป็แล้ว"
ิ่จื้อรุ่ยหน้าง้ำ "เ้ากระต่ายอ้วน"
หลังจากนั้นก็หันไปอำลาซูซานหลางแล้วรีบจากไป
พอเห็นิ่จื้อรุ่ยกลับไปแล้ว ซูซานหลางก็ดึงเฉียวเยว่มาข้างกายตนเอง ลูบศีรษะของนางแล้วพูดว่า "เฉียวเยว่เป็กระต่ายน่ารักที่มีจิตใจงดงามแท้ๆ"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยีพิงขาของบิดา "เพราะข้าเป็หนูน้อยที่แสนจะน่ารัก"
"คิดอย่างไรถึงพูดกับพี่จื้อรุ่ยเขาเยี่ยงนั้น?" แท้จริงแล้วพวกเขารู้มาโดยตลอดว่าิ่จื้อรุ่ยเป็เด็กมีปมในใจ แต่บางคำพูดก็อธิบายได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นถึงพวกเขาจะพูดอย่างไรก็คงไร้ประโยชน์
พวกเขาเป็ผู้าุโ ไม่ว่าจะพูดปลอบประโลมแค่ไหน จื้อรุ่ยก็ไม่เก็บไปใส่ใจ เรียกได้ว่าพูดไปเท่าไรก็เข้าไม่ถึงหัวใจของเขา แต่ด้วยเหตุใดก็สุดรู้ เฉียวเยว่กล่าวเพียงเท่านี้ กลับง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
"พี่จื้อรุ่ยรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าเพราะไม่มีบิดามารดาอยู่เคียงข้าง ปัญหาใหญ่ที่สุดคือกลัวว่าตนเองจะไม่เป็ที่รักของบิดามารดา ท่านก็รู้ เด็กเล็กๆ ล้วนเป็เช่นนี้กันทุกคน แม้ว่าเขาจะสิบขวบแล้ว ก็ยังเป็เหมือนกัน ท่านลุงิ่ต้องเป็คนที่เข้มงวดและเ็ามากแน่ๆ แต่เขาเป็คนที่อยู่ในสนามรบ ข้าเข้าใจได้ ดังนั้นการให้พี่ิ่จื้อรุ่ยทำเื่เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ก็เพื่อให้เขาได้เห็นเองกับตาว่าแท้จริงแล้วตนเองก็เป็เด็กน้อยแสนดีในหัวใจของบิดามารดาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะแปลกไปบ้างก็เถอะ"
ซูซานหลาง "ประโยคสุดท้าย... เ้าไม่ต้องพูดก็ได้"
เฉียวเยว่ "แหะๆ"
ซูซานหลางลูบศีรษะบุตรสาว "เด็กดี"
เฉียวเยว่ "เช่นนั้น... ให้รางวัลเป็ขนมหนึ่งชิ้นได้หรือไม่?"
ซูซานหลางมองไปรอบๆ "อย่าบอกมารดาเ้านะ"
"อย่าบอกอะไรข้าหรือ?" น้ำเสียงเนิบเบาแว่วมา
สองพ่อลูกสกุลซู จบเห่กัน!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้