ยังเป็เหตุผลอะไรได้อีก?
แค่วิทยุที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรลักลอบขนเข้ามามีจำนวนมากขึ้นเท่านั้น จากที่อุปทานน้อยกว่าอุปสงค์กลับกลายเป็อุปสงค์น้อยกว่าอุปทานเสียแล้ว ยากมากที่จะได้พบโอกาสดีเหมือนคราวก่อนที่วิทยุหนึ่งเครื่องทำกำไร 60 หยวน แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะได้กำไรเท่าไร พอพบเจอกับสถานการณ์สินค้ามูลค่าสูงทว่าความ้าตลาดน้อยแบบนี้ ใครที่มีสินค้าค้างในมือหลายหมื่นหยวนจะอยู่เป็สุขได้อีกหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าต่อรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ เธอใช้ประสบการณ์ในชาติก่อนของตนเองตัดสินทั้งสิ้น
คนเราเดิมพันได้ แต่ละโมบมากไปไม่ได้
คนมากมายเข้าใจหลักการ ‘หยุดเมื่อพอดี [1]’ แต่มีสักกี่คนที่ทำได้กัน
เซี่ยเสี่ยวหลานมาเผิงเฉิงครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อหาเงิน เธอตั้งใจมอบของฝากท้องถิ่นเล็กๆ น้อยๆ ให้ทังหงเอินโดยเฉพาะ และมาเยี่ยมไป๋เจินจูด้วยเสียเลย
การค้าขายของไป๋เจินจูราบรื่นเป็อย่างมาก ตัวเธอสดชื่นมีชีวิตชีวาเช่นกัน
เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนศิษย์พี่ว่านเป็เก่อเจี้ยน ไป๋เจินจูก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรให้มากความ
วิทยุที่ศิษย์พี่ว่านเก็บไว้ในมือจะดีที่สุดหากปล่อยขายไปแล้ว ตอนนี้ของแบบนั้นขายไม่ดีในหยางเฉิง วิทยุผลิตในประเทศราคาย่อมเยากว่าสินค้านำเข้าอยู่มากโข ถูกกว่าสินค้าเถื่อนด้วยซ้ำ วิทยุ 10 เครื่องที่ศิษย์พี่ว่านเก็บไว้ ตอนนั้นขายให้พ่อค้าส่งหยางเฉิงได้ราคาสูงถึง 150 หยวนต่อเครื่อง ปัจจุบันราคาค้าปลีกปลายทางก็ไม่ต่างจากนี้มากนัก
แต่จะไร้กังวลเท่าขายให้ผู้ค้าส่งในคราวเดียวได้ที่ไหนกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่้าให้ศิษย์พี่ว่านติดตามต่อไปแล้ว ไป๋เจินจูคัดค้านไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าในใจไป๋เจินจูก็รู้สึกไม่ดีนัก เธอหวังดีแนะนำงานให้ศิษย์พี่ว่าน แต่ศิษย์พี่ว่านเองกลับไม่ถนอม เดินทางมาเผิงเฉิงเพียงหนเดียว ก็แทบอยากจะฉวยหนทางทำธุรกิจของไป๋เจินจูไปเสียแล้ว เื่นี้ไป๋เจินจูเคยประสบครั้งหนึ่งตอนตั้งแผงผลไม้ คนใจกว้างขนาดไหนก็ไม่มีทางไม่ขุ่นเคืองได้
นอกจากนั้นไป๋เจินจูยังเสนอความคิดให้ศิษย์พี่ว่านด้วยเจตนาดี แนะนำเขาว่าถ้านึกจะทำธุรกิจอะไรไม่ออกชั่วคราว การขายอาหารก็เป็ช่องทางหนึ่งที่ควรลองทีเดียว
ทว่าศิษย์พี่ว่านที่ไม่แลกระทั่งแผงลอยของไป๋เจินจู ยิ่งดูแคลนแผงขายของกินไปกันใหญ่
สิ่งที่ไป๋เจินจูทำได้ก็ทำจนหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกไม่สบายใจคือเธอทำให้ศิษย์พี่ว่านพบกับการขายวิทยุซึ่งได้กำไรงาม พอเคยได้เงินไว ศิษย์พี่ว่านอาจดูแคลนธุรกิจเล็กน้อยแต่ยั่งยืนไปเสียแล้ว
่นี้ ‘วิทยุ’ ดันกลายเป็สินค้าค้างคลัง ไป๋เจินจูหวังแค่ศิษย์พี่ว่านไม่ได้จมลงไปในหลุมลึกกว่าเดิม
อย่างไรเสียเซี่ยเสี่ยวหลานก็มาหาเธอแล้ว ก่อนหน้านี้ไป๋เจินจูรวบรวมถุงน่องได้ร้อยกว่าคู่อีกรอบ จึงให้เซี่ยเสี่ยวหลานนำกลับซางตูไปด้วยเสียเลย เสื้อผ้าฝากขนส่งไปแล้ว ถุงน่อง 100 คู่นี้ไม่ได้ใช้พื้นที่มากมายเท่าไร เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ถุงหนึ่งใบก็สามารถถือได้แล้ว
เธอสนใจเครื่องหนังที่ขายในตลาดเข้าเสียแล้ว
เข็มขัดหนังและกระเป๋าเงินใบน้อย บอกว่าเป็สินค้าจากฮ่องกง เซี่ยเสี่ยวหลานลูบๆ คลำๆ ก็ทราบว่าเป็หนังวัวจริง
นอกจากนี้ราคาก็ถูกทีเดียว เธอต่อราคาเข็มขัดหนังลงเหลือ 7 หยวน กระเป๋าเงิน 5 หยวน ซื้ออย่างละ 50 ชิ้น ราคาถูกเหมือนไม่ใช่สินค้าจากฮ่องกง เซี่ยเสี่ยวหลานนำกลับซางตูไปก็ทำได้เพียงแถมในฐานะสินค้าฮ่องกงอยู่ดี
ของพวกนี้เหมาะสำหรับเป็ ‘ของสมณาคุณ’ แม้ไม่น่าสนใจเท่าถุงน่อง แต่มีประโยชน์กว่ามาก
เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกเข็มขัดและกระเป๋าเงินอย่างเบิกบาน ในตลาดมีกระเป๋าเอกสารจำหน่ายอีกด้วย ขนาดใหญ่สามารถใส่กระดาษ A4 ได้ เธอจึงซื้อไว้สองใบ กระเป๋าเอกสารสองใบนี้สำหรับเธอกับหลิวหย่งใช้ และเลือกกระเป๋าสตรีให้หลี่เฟิ่งเหมยกับแม่ของเธอ... คุณภาพเครื่องหนังสี่ชิ้นนี้มองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าดีกว่ากระเป๋าเงินใบเล็กนัก เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเป็ของที่ครอบครัวตนเองใช้งาน เธอย่อมยินดีซื้อในราคาแพง เงินจากการค้าขายเข้าสู่บัญชีกลาง ส่วนกระเป๋าพวกนี้เธอจ่ายเงินเอง
หลิวหย่งรับคำสั่งงานแล้ว อย่างไรเสียก็เป็เ้าของกิจการ แน่นอว่าต้องมีบุคลิกที่ดี
หลิวหย่งสวมชุดสูทสำเร็จรูปได้ไม่เหมาะ รูปแบบที่นิยมของชุดสูทในปัจจุบันคือหลวมโคร่ง อีกอย่างหลิวหย่งตัวเตี้ย แขนเสื้อยาวและขากางเกงที่กองรวมกัน หากให้หลิวหย่งสวมแล้วดูไม่ภูมิฐานแม้แต่น้อย เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นกระเป๋าเอกสาร ก็อยากสั่งตัดสูทให้ลุงของเธอสักสองชุด ใช้ชุดสำเร็จรูปไม่ได้ กลับซางตูไปจะจ้างช่างตัดเสื้อมาวัดตัวตัด
เซี่ยเสี่ยวหลายไม่รอการชวนนัดพบของทังหงเอินด้วยซ้ำ เธอเดินทางออกจากเผิงเฉิงทันทีที่เสร็จธุระ
สิ่งที่เธอไม่รู้คือ เธอเพิ่งผ่านด่านไปไม่นาน คนขับรถหวังได้โทรศัพท์ไปยังบ้านพัก เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานออกไปแล้ว ทังหงเอินก็โบกมือ “ช่างเถอะ เธอคงแค่เอาของฝากมาให้ฉันระหว่างเดินทางจริงๆ”
หากมีธุระต้องขอร้องถึงที่ ไม่น่าจะคืนห้องจากไปโดยไม่รอแม้แต่โทรศัพท์เช่นนี้
เอาของฝากมาให้เขาอย่างไร้จุดประสงค์อื่นใดจริงๆ ซานเย่าและพุทราจึงยิ่งดูมีคุณค่าขึ้นมากโข
เสี่ยวหวังเห็นว่าหัวหน้าปลาบปลื้ม ใจก็รู้สึกยอมรับเซี่ยเสี่ยวหลานมาก
----------------------------------------
ทางด้านจางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงนั้นอยู่ไม่เป็สุข
ยอดค้าขายของร้านลดลงกะทันหันอย่างหนักหน่วง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งเชิญเซี่ยหงเซี๋ยกลับบ้าน ต่อมาแม่เฒ่าเซี่ยก็เรียกสองสามีภรรยากลับไป จางชุ่ยไม่อยากกลับไปสักนิด ตอนนี้เธอยังจำเป็ต้องสอพลอต่อแม่สามีอีกหรือ ในตระกูลเซี่ยมีเพียงเธอและเซี่ยฉางเจิงที่ร่ำรวยที่สุด แม่เฒ่าเซี่ยช่วยเหลือเธอได้น้อยยิ่งนัก! บุตรคนรองเซี่ยต้าจวินผู้เชื่อฟังแม่เฒ่าเซี่ยที่สุดก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนเซี่ยหงปิงมีใจเห็นแก่ตัว ตระกูลเซี่ยรีดเค้นเงินออกมาให้เธอได้ไม่มากแล้ว
ทว่าไม่กลับไปไม่ได้ แม่เฒ่าเซี่ยหาเื่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินได้ ก็สามารถมาชักดิ้นชักงอหน้าร้านจางจี้ได้เหมือนกัน
จางชุ่ยรู้ดีว่าแม่สามีของเธอไร้เหตุผลขนาดไหน เมื่อก่อนความไร้เหตุผลถูกนำมาต่อกรกับครอบครัวลูกคนรองถือว่ากำลังพอดี ทุกวันนี้แม่เฒ่าเซี่ยหมดปัญญายุ่งวุ่นวายกับบ้านรองทุกคน มิใช่ว่าคิดจะมาทรมานคนอื่นแทนหรอกหรือ
จางชุ่ยและสามีนึกว่าสาเหตุที่แม่เฒ่าเซี่ยเรียกพวกเขากลับบ้านเพราะจะคุยเื่เซี่ยหงเซี๋ยตกงานเสียอีก จางชุ่ยจึงซ้อมการแสดงดิบดีว่ากลับไปจะสาธยายความลำบากของเธออย่างไร เธอตัดสินใจเื่ในร้านไม่ได้ เนื่องจากเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ต้นเหตุที่ทำให้ตอนนี้ค้าขายไม่ดี น้องชายและน้องสะใภ้เธอทำได้เพียงเชิญเซี่ยหงเซี๋ยกลับบ้านก่อน
จางชุ่ยคิดคำพูดไว้มากมายก่ายกอง ทว่าเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้าน รองเท้าผ้าเหม็นหึ่งข้างหนึ่งก็ลอยเข้าหน้า กระแทกโดนศีรษะของจางชุ่ยอย่างจัง
“เธอยังรู้จักกลับมาหรือ เป็เถ้าแก่ในเมืองสุขสบายมากสินะ พวกหงปิงทำไร่ทำนาส่วนของครอบครัวพวกเธออยู่ชนบท แต่เธอกลับไม่ยอมแบ่งกระทั่งข้าวหนึ่งคำให้หลานสาวกินด้วยซ้ำ!”
จางชุ่ยกุมศีรษะ ถ้าเธอไม่ให้เซี่ยหงเซี๋ยกินข้าว เซี่ยหงเซี๋ยจะอวบอ้วนขึ้นเป็เท่าตัวเช่นนี้ได้หรือ?
เดี๋ยวก่อน นัยยะในคำพูดของหญิงชรา แปลว่ารับรู้เื่ว่า ‘จางจี้’ คือร้านของเธอกับเซี่ยฉางเจิงแล้ว!
จางชุ่ยของตาแดงก่ำ “คุณแม่ ใครพูดจาไร้สาระกับแม่อีก ฉันกับฉางเจิงตัดสินใจเองได้หรือ? ร้านนั่นเป็—”
“พี่สะใภ้ ร้านนั้นเป็ของใคร?”
หวังจินกุ้ยค่อนขอดอย่างไม่ชอบมาพากล ขัดคอจางชุ่ยทันที
แม่เฒ่าเซี่ยมองเธอด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ร้านนั่นเป็ของใครกันแน่? บ้านแม่ตัวเองโอ้อวดไปทั่วว่าลูกสาวอย่างเธอใจกว้างแค่ไหน จ่ายเงินเดือนสูงให้คนบ้านแม่ หาเงินในเมืองได้ตั้งมากมาย เธอยังกล้ากลับมาโกหกต่อหน้าฉันโดยไม่รู้สึกรู้สาอีก!”
จางชุ่ยถึงขั้นคิดอยากะโแม่น้ำให้พ้นๆ ไปเสีย อุตส่าห์ปกปิดมิดชิด คาดไม่ถึงว่าจะเป็คนครอบครัวมารดาเธอที่แพร่งพรายเื้ั
เซี่ยจื่ออวี้บอกว่าต้องร่ำรวยอย่างสมถะ จางชุ่ยคิดว่ามีเหตุผล แม้จะสามารถหาเงินในเมืองได้มากเท่าไร หลังจากเธอกลับบ้านจะต้องไม่ส่งเสียงสักแอะ ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าเก่าดั่งเดิม ไม่เปิดเผยว่ามีเงินให้คนอื่นรู้เห็น นับจากตั้งแผงอาหารว่างก็เป็เวลาราวสามปี มีใครในหมู่บ้านต้าเหอรับรู้ข่าวคราวบ้าง? พวกคนชนบทแปดร้อยปียังไม่เคยเข้าเมืองเลยสักครั้ง จางชุ่ยจึงไม่เคยพลั้งพลาดมาก่อน
เซี่ยฉางเจิงมองค้อนจางชุ่ยอย่างรุนแรง “จางจี้เป็เงินทุนของใครกันแน่ วันนี้เธออธิบายให้ฉันรู้ชัดเลยนะ! ถ้ายังกล้าโกหกอีก ฉันจะทำตามอย่างต้าจวิน หย่ากับเธอเสีย!”
หวังจินกุ้ยกลอกตา
พี่ใหญ่แสดงได้สมจริงเหลือเกิน!
แต่แม่เฒ่าเซี่ยที่เอนเอียงเข้าข้างคนของตนจากก้นบึ้งจิตใจ ทึกทักว่าเซี่ยฉางเจิงไม่รู้เื่ราวจริงๆ
“เ้าใหญ่ ภรรยาแกเืเย็นเกินไปแล้ว ปิดบังแม้แต่แกด้วย เงินที่เธอเปิดร้านไปไหนหมดเล่า เอาไปเลี้ยงชายชู้ใช่หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1]见好就收 หยุดเมื่อพอดี มาจาก เมื่อเห็นว่าพอดีแล้วก็วางมือ หมายถึง ทำสิ่งใดด้วยความเหมาะสมพอดี ไม่โลภมากจนเกินไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้