ฮ่องเต้เฉิงเต๋อคิดว่าการวางแผนและการตัดสินใจของตนเองค่อนข้างคล้ายคลึงกับท่านอ๋อง
เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ยิ้มเยาะด้วยความสมเพชตัวเอง
ไม่รู้ว่ามีคนคิดแบบเขากี่คน?
คงดีไม่น้อยหากท่านอ๋องไม่ออกจากเมืองไปในตอนนั้น
เพราะคนที่นั่งตรงนี้ต้องเป็เขา
ไม่รู้ว่าตอนนี้จิตใจของฮ่องเต้เฉิงเต๋อล่องลอยไปที่ใด
ทันใดนั้นหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างก็คุกเข่าลง นางโขกศีรษะและกล่าวด้วยเสียงแ่เบาว่า
“เหตุใดฝ่าาถึงตรัสเช่นนั้น? หม่อมฉันไม่เคยแม้แต่จะตัดพ้อพระองค์เลย”
ฮ่องเต้เฉิงเต๋อประหลาดใจมาก “ข้าไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น ข้าแค่รู้สึกว่าใน่ห้าหรือหกปีที่ผ่านมา ข้าละเลยเ้ามากเกินไป ข้าจึงรู้สึกเสียใจมาก ความหมายของข้าคือหากเ้ามีคนที่พึงใจแล้ว ข้าก็จะปล่อยเ้าไป”
หญิงสาวน้ำตาไหลพราก นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า
“ฝ่าาทรงอย่าขับไล่หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?”
จู่ๆ ความทรงจำในวัยเยาว์ของฮ่องเต้เฉิงเต๋อก็หวนกลับมา
“ช่วยเลือกดอกไม้ให้ข้าได้หรือไม่?”
ผ่านมาแล้วยี่สิบกว่าปี ภาพของหญิงสาวในความทรงจำของเขายังคงชัดเจน วันนั้นอากาศอบอุ่นและลมพัดเอื่อยๆ ทุกอย่างช่างงดงามราวกับความฝัน
นั่นคือเขาและนางเมื่อยังเยาว์วัย
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เขาไม่ตอบนาง แต่กลับประคองนางให้ยืนอย่างมั่นคงพร้อมกับจูบใบหน้าของนางอย่างแ่เบา
ััอันอ่อนโยนทำให้หัวใจที่เหนื่อยล้าของเขารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลม
รูปร่างที่ผอมบางและเงาที่งดงามของหญิงสาวผู้อยู่ในความทรงจำค่อยๆ ซ้อนทับกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า
“เ้าไตร่ตรองดีแล้วใช่หรือไม่ที่จะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป? ตอนนี้เ้ายังมีโอกาสเปลี่ยนใจ”
สนมเซี่ยหัวเราะทั้งน้ำตาก่อนจะกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่มีอะไรต้องไตร่ตรองเพคะ”
หญิงสาวโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ค่ำคืนวสันต์ช่างแสนสั้นนัก
วันรุ่งขึ้นข่าวความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อสนมเซี่ยได้แพร่กระจายไปทั่ววังหลัง ฮองเฮาขว้างเครื่องเคลือบดินเผาหลายใบด้วยความโกรธ หญิงสาวในวังหลังทุกคนเหมือนดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉา
วังหลังที่เงียบสงบมาหลายเดือน ท้ายที่สุดสตรีแซ่เซี่ยกลับเป็ฝ่ายได้ประโยชน์ เื่เช่นนี้ใครจะยอมรับได้?
สนมเซี่ยกลายเป็คนโปรดของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็ในราชสำนักหรือวังหลังหัวข้อนี้นับว่าได้รับความสนใจจากผู้คนเป็อย่างยิ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้คนตาบอดก็มองออกว่าสนมเซี่ยกำลังจะแย่งชิงความโปรดปรานของฮ่องเต้จากฮองเฮา
ในเวลาเดียวกัน มีข่าวมาจากชายแดนว่าแม่ทัพเจิ้นหนานป่วยหนัก
ฮองเฮาคงใกล้จะลงมือแล้ว
าระหว่างสตรีในวังหลังมักเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ
สนมเซี่ยเป็คนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร และนางก็ไม่ชอบวุ่นวายกับเื่ของคนอื่นมากนัก
การที่นางกลายเป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้อย่างกะทันหันทำให้หญิงสาวหลายคนเกิดความไม่พอใจเป็อย่างมาก
ในขณะนี้แม่ทัพเจิ้นหนานกำลังป่วยหนัก ผู้คนก็อดที่จะจินตนาการฟุ้งซ่านไม่ได้
หากจวนแม่ทัพเจิ้นหนานพังทลาย ตำแหน่งของฮองเฮาจะยังมั่นคงอยู่หรือไม่?
เดิมทีตระกูลของสนมเซี่ยก็ไม่ได้ต่ำต้อยอยู่แล้ว ประกอบกับมีเื่เกิดขึ้นในตระกูลของฮองเฮา จิตใจของผู้คนจึงเริ่มเอนเอียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้ที่อาศัยอยู่ในวังได้ล้วนมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ดังนั้นในแต่ละวันผู้คนที่มาทำความเคารพสนมเซี่ยจึงดูเหมือนจะมากกว่าฮองเฮาแล้วด้วยซ้ำ ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง
สถานการณ์ในวังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตามสนมเซี่ยไม่สนใจเื่เหล่านี้ กิจวัตรประจำวันของนางยังคงเหมือนเดิม เมื่อถึงเวลานางก็ไปคำนับฮองเฮาไม่เคยขาด ทุกคนที่เห็นเช่นนี้ต่างชื่นชมในกิริยามารยาทของสนมเซี่ยเป็อย่างมาก
แม้กระทั่งฮ่องเต้เฉิงเต๋อก็ยังกล่าวติดตลกว่าสนมเซี่ยเหมือนฮองเฮาสมัยที่นางยังเยาว์วัย
เมื่อเย่หลิงได้ยินคำพูดนี้ นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงรีบตรงไปยังห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ทันที แต่ระหว่างทางกลับได้พบกับคนที่ไม่อยากพบที่สุด นั่นคือใต้เท้าเซี่ย ซึ่งตอนนี้เป็เซี่ยซือถู[1]
เขาเป็บิดาของสนมเซี่ย
ใต้เท้าเซี่ยรีบถวายความเคารพองค์หญิงน้อย
เย่หลิงรักษากิริยามารยาทของตนเองเป็อย่างดี นางกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มสดใส
“ตอนนี้ทุกคนในวังบอกว่าบุตรีที่ตระกูลเซี่ยเลี้ยงดูล้วนเป็หญิงสาวที่ดี ข้าได้ยินมาว่าสนมเซี่ยมีน้องสาวที่ยังไม่เข้าพิธีปักปิ่น เื่นี้เป็ความจริงหรือไม่?”
ใต้เท้าเซี่ยหัวเราะและกล่าวว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงห่วงใยบุตรีของกระหม่อม แต่นางยังไม่รู้ความอะไร ปีนี้นางเพิ่งอายุสิบสองและยังห่างจากพิธีปักปิ่นอีกมาก หากกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมขอบังอาจทูลเชิญองค์หญิงให้เสด็จร่วมพิธีเพื่อเป็เกียรติต่อพวกเราตระกูลเซี่ย”
เย่หลิงกล่าวว่า “ใต้เท้าเซี่ยอย่าได้เกรงใจ พี่ชายข้าก็ยังไม่แต่งงาน ดังนั้นข้าจึงคิดจะหาหญิงสาวที่ดีให้เป็ชายาของเขาสักคน ข้าทำให้ใต้เท้าเซี่ยต้องหัวเราะเสียแล้ว”
ในขณะนั้นได้มีคนจากราชสำนักมาเร่งรัดให้ใต้เท้าเซี่ยรีบเดินทางต่อ เมื่อเห็นว่าเย่หลิงอยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาจึงถวายความเคารพอย่างเคร่งครัด เนื่องจากองค์หญิงน้อยเป็ที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ผู้คนจึงหวาดกลัวนางเป็อย่างมาก
หลังจากแยกทางกับใต้เท้าเซี่ย เย่หลิงก็ตรงไปที่ห้องทรงอักษรแต่กลับพบว่าเสด็จพ่อยังคงยุ่งอยู่ ตอนแรกนางคิดจะไปที่ตำหนักฮองเฮาเพื่อดูว่าเสด็จแม่เป็อย่างไร แต่หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อยนางก็มุ่งหน้าไปที่ตำหนักของสนมเซี่ยแทน
…
เมืองหยงโจว
ณ จวนผู้ว่าการ
เย่เช่อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้และกล่าวว่า “อาเจินกลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่งกับข้าดีกว่า ใต้เท้าเสิ่นคิดถึงเ้ามาก”
ซูเจินส่ายหน้า “ข้ายังมีเื่ต้องจัดการในเมืองหยงโจว”
เย่เช่อพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “ปี้เหยียนจะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว เ้ายังกังวลอะไรอีก? หากเ้ากังวลเื่บิดาของเ้า คนของข้าจะคอยดูแลเขาเอง อาเจินบอกข้าสิว่าเ้ากังวลเื่ใด?”
ซูเจินยังคงส่ายหน้า “อย่าลืมว่าปี้เหยียนจะกลับมาหลังจากนี้อีกหนึ่งปี นางยังคงเป็สาวงามอันดับหนึ่งของหอจุ้ยฮวน”
คำพูดของเขานับว่าชัดเจนมาก นั่นคือ เื่ของหอจุ้ยฮวนยังไม่จบ
แล้วเขาจะจากไปได้อย่างไร?
ทุกอย่างยังไม่พร้อมเลย
จู่ๆ เย่เช่อก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา เขากล่าวว่า “ข้า้าเ้า บางทีท่านตาอาจจากไปเร็วๆ นี้”
ซูเจินขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เป็ไปได้อย่างไร? แม้กระทั่งหมอหลวงยังช่วยไม่ได้หรือ?”
เย่เช่อก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยความโศกเศร้าว่า “อาการของท่านตาทรุดลงเรื่อยๆ ข้าทำอะไรไม่ได้มากนัก ฮั่วฉีอวี่ก็เดินทางมาถึงชายแดนแล้วเช่นกัน”
ถึงอย่างนั้นซูเจินก็ยังคงปฏิเสธที่จะกลับไปยังเมืองอวิ๋นเมิ่ง
เขาหวังว่าเย่เช่อจะเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุดและเขาก็หวังว่าเย่เช่อจะไม่โทษเขา บางทีเขาก็จำเป็ต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
หมากทุกตาที่เขาเดินล้วนผ่านการขบคิดอย่างรอบคอบ
เย่เช่อกล่าวเบาๆ ว่า “ปี้เหยียนไปไหน? ข้าอยากพบนาง”
ซูเจินมีท่าทางแปลกๆ เขากล่าวว่า “แต่ข้าไม่้าให้เ้าพบนาง”
การที่ชายหญิงพบกันเป็การส่วนตัวย่อมไม่ใช่เื่ดี นอกจากนี้ในฐานะพี่ชายของอวิ๋นจื่อ เขาย่อมมีหน้าที่ปกป้องน้องสาวของตนเอง
เย่เช่อยิ้ม “เ้ากำลังตำหนิข้าหรือไม่?”
พวกเขาเป็พี่น้องที่รู้จักกันมาหลายปี ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายย่อมรู้ได้ทันที
ทว่าเย่เช่อเอาแต่นึกถึงอวิ๋นจื่อ
เขาไม่ทันได้สังเกตท่าทางของซูเจิน
ในอีกหลายปีต่อมาเย่เช่อถึงจะเข้าใจว่าตอนนั้นซูเจินอาจกำลังหมดความอดทน
เย่เช่อครุ่นคิดว่าอวิ๋นจื่อเคยผ่านพิธีปักปิ่นมาแล้วหรือยัง?
แล้วตอนนี้ถึงเวลาพูดคุยเื่แต่งงานแล้วหรือไม่?
เขาควรไปหาบิดาและขอพระราชทานสมรส
อาจถึงเวลาที่เขาต้องแต่งงานแล้วก็เป็ได้
แล้วสิ่งที่ซูเจินพูดหมายความว่าอย่างไร?
ซูเจินกล่าวว่า “ข้าจะตำหนิเ้าได้อย่างไร? ตอนนี้คนในวังคงนำเื่น้องสาวของข้าไปนินทาแล้ว”
เย่เช่อขมวดคิ้ว “ข้าเข้าใจ”
หลังจากพูดจบเขาก็ออกจากจวนผู้ว่าการทันที
เมื่อมองดูแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไป ในใจของซูเจินก็เกิดความโศกเศร้าที่อธิบายไม่ได้
บางทีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย่เช่ออาจไม่มีวันเป็เหมือนเช่นในอดีตอีกแล้ว
------------------------
[1] ซือถู คือ เ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนักโบราณ สถาปนาขึ้นในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก โดยจัดอยู่ในบรรดาเสนาบดีและเรียกว่า “อวัยวะห้า” ซึ่งนอกจากซือถูแล้วยังมีซือหม่า ซือกง ซือฉือ และซือโข่ว ส่วนใหญ่เรียกว่าซือถูในจารึกสำริดและเรียกรวมกันว่า “สามนาย” ร่วมกับซือหม่าและซือกง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้