อวี๋มู่กับเว่ยจวินหยางซื้อของจากในเมืองมาไม่น้อย โดยพวกเขาห่อใส่ย่ามแล้วสะพายไว้ที่หลัง พอออกจากเมือง เพื่อมุ่งหน้าไปตรงทางเข้าป่า ในขณะที่อวี๋มู่ทำท่าจะเดินหน้าต่อ แต่เว่ยจวินหยางกลับดึงไว้เสียก่อน
“หยุดก่อน” เว่ยจวินหยางเอ่ยกับเขาด้วยท่าทีตื่นเต้น “พวกเราหยุดรอคนก่อน”
ในขณะที่อวี๋มู่กำลังสงสัยว่ารอใคร ไม่นาน เหล่าผู้ท่องยุทธภพพวกนั้นก็เดินออกมาและผ่านทางนี้พอดี
คนเ่าั้สวมชุดสีฟ้าเข้ม บริเวณไหล่พาดไปจนถึงหน้าอกมีลายเสือสีแดงปักอยู่ เห็นได้ชัดว่าอยู่พรรคเดียวกัน
“มีคนมาสักที” แม้ริมฝีปากของเว่ยจวินหยางจะยกยิ้ม หากดวงตากลับเพ่งมองด้วยจิตสังหาร เขาเอ่ยกับอวี๋มู่ “เ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าว่าจะไปทักทายพวกนั้นเสียหน่อย”
หลังของอวี๋มู่เย็นวาบ เพราะเขารู้สึกได้ว่ามันไม่น่าใช่การทักทายธรรมดา
“นายท่าน ท่านจะทำอะไรขอรับ? ” อวี๋มู่เอ่ยถาม
เว่ยจวินหยางคิด แล้วตอบเขาด้วยความเบิกบาน “ส่งพวกมันไปเกิดใหม่”
กล่าวจบ เขาก็คว้าก้อนหินไว้ในมือ แล้วเดินออกจากป่า ไปยืนขวางสี่คนนั้นด้วยท่าทางเรียบร้อย
หากสี่คนนั้นเดินไปทางไหน เขาก็จะไปยืนขวางทางนั้น
“ไอ้เด็กตัวเล็กที่ไหนกล้ามาขวางทางข้า! ” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งทำท่าจะเข้าไปผลักเว่ยจวินหยาง “ไสหัวออกไป๊! ”
เว่ยจวินหยางขยับนิ้วเพียงเบาๆ ก็เกิดสายลมพัดเข้าหาชายร่างใหญ่แล้วตรงเข้าตัดที่หัวเข่า ชายคนดังกล่าวคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกับกุมมือไว้ที่หัวเข่า แล้วเริ่มกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนาจนเกิดเป็เสียงโหยหวนดังขึ้น
เืสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากแผลที่เป็รูลึกจนเห็นเนื้อด้านใน มือของเขาถูกย้อมกลายเป็สีแดง
“เ้าสาม! ” ชายร่างผอมสูงที่มากับชายร่างใหญ่ตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น เขานั่งตรวจแผลของชายร่างใหญ่ก็พบเพียงเศษก้อนหินที่ทะลุเข้าไปฝังอยู่ในกระดูก จนเห็นเศษกระดูกที่แตกออกมา
“เป็ไปได้ยังไง!? ” ชายร่างผอมลุกขึ้น แล้วมองไปทางเว่ยจวินหยาง เขาเห็นเด็กน้อยกำลังโยนก้อนหินในมือด้วยท่าทางไร้เดียงสาแต่กลับเหี้ยมโหด
นี่มันคือฝีมือที่น่ากลัวระดับไหนกัน? ทำไมถึงมาอยู่กับไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่ได้!
เขาตีหน้านิ่ง พร้อมกับชักดาบคู่กายออกมาเตรียมปะทะ ส่วนอีกสองคนด้านข้าง ก็รุดหน้ามายืนบังชายที่คุกเข่าอยู่ ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เว่ยจวินหยางราวกับศัตรูตัวฉกาจ
“เ้าเป็ใครกันแน่? ”
“ข้าน่ะหรือ” เว่ยจวินหยางเหยียดยิ้มออกมาบางเบา “ลองเดาดูสิ”
เขาขยับข้อมือเล็กน้อย ก็มีเสียงหักดังกร๊อบขึ้นมาสามเสียง ดาบที่คนพวกนั้นถืออยู่หักกระแทกลงบนพื้นเกิดเสียงดังเคร้ง! ทำเอาหัวใจของคนทั้งสามสั่นไหว
“ข้าใบ้ให้พวกเ้าหน่อยก็แล้วกัน” เว่ยจวินหยางเอ่ย “วันนี้ที่โรงเตี๊ยม พวกเ้าก็สนทนาเกี่ยวกับข้าด้วย”
ชายทั้งสามหวาดผวา พลางนึกย้อนไปว่าพวกเขากล่าวถึงใครไปบ้าง
ทันใดนั้นเอง ชายร่างผอมสูงก็นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินคนกล่าวถึงเว่ยจวินหยาง ประมุขแห่งสำนักชิงอีที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนกลายร่างเป็เด็ก และจนวันนี้ก็ยังหาตัวไม่พบ
เมื่อนึกได้ดังนั้นก็ใจนเข่าอ่อน ล้มลงจนก้นกระแทกกับพื้น เขาชี้นิ้วไปที่เว่ยจวินหยางแล้วเอ่ย “เ้า เ้าคือเว่ยจวินหยางอย่างนั้นหรือ?! ”
“ว้าว เ้านี่หลักแหลมเสียจริง” เว่ยจวินหยางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วกล่าวชมเชยเขา
ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว พวกเขาต่างมองหน้ากันและพลันหน้าเปลี่ยนสี หันหลังกลับอย่างพร้อมเพรียง หวังจะเข้าไปหามชายร่างใหญ่ที่นอนปวกเปียกแล้วออกตัววิ่งเข้าเมืองผิง โดยใช้วิชาตัวเบาหนีไปอย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายที่ก้อนหินในมือของเว่ยจวินหยางเร็วกว่าพวกเขา
เว่ยจวินหยางฝึกฝนวิทยายุทธจนถึงขั้นที่สามารถแปรเปลี่ยน สิ่งของเล็กๆ ในมือให้กลายเป็อาวุธสังหารได้ ยิ่งก้อนหินที่เป็ของแข็งแบบนี้แล้วยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
เสียงลมดังขึ้นมาหลายสาย พัดเข้าโจมตีขาทั้งสองข้าง จนสามคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้นอย่างปวกเปียก
ทั้งสี่คนรู้สึกเข้าใกล้ความตายขนาดนี้เป็ครั้งแรก พอเห็นเว่ยจวินหยางเดินเข้ามาหาพวกเขาราวกับว่าตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ผวาเสียจนเหงื่อซึมเปียกชุ่มเสื้อ
“ประมุขเว่ยได้โปรดไว้ชีวิต! พวกข้าปากพล่อยไปเองและไม่ควรพูดให้ร้ายท่านอย่างนั้น! ”
ชายร่างสูงผอมอ้อนวอนและร้องขอให้เขาไว้ชีวิต รวมทั้งสามคนที่เหลือก็คำนับเว่ยจวินหยางเช่นกัน พวกเขาต่างขอร้องจนน้ำตาแทบไหลเป็ทางเพื่อให้เว่ยจวินหยางไว้ชีวิต
อวี๋มู่ยืนดูอยู่ในดงป่า มือซ้ายจับต้นไม้และจิกนิ้วแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วกล่าวกับระบบ : ระบบ ข้าควรไปห้ามเขาหน่อยดีไหม? ฉันรู้สึกว่าเ้าลูกสุนัขเว่ยไม่ได้ล้อเล่น
[อื้อๆ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ] ระบบก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังเหมือนกัน [ในนิยายเขียนไว้ว่า ใครที่แหย่เขา ผลลัพธ์มักจบไม่สวยสักคน]
[แต่ว่า โฮสต์ครับ คุณแน่ใจหรือ ว่าเขาจะยอมฟังคำพูดของคุณ? เขาเป็พวกทำตัวสูงส่งเหนือผู้อื่นจนเคยชิน แม้ว่า่นี้เขาจะเริ่มรู้สึกดีกับคุณ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมให้คุณชี้นกเป็นก ชี้ไม้เป็ไม้ได้หรอกนะ]
“จึ๊” อวี๋มู่รู้สึกกระวนกระวาย พลางเด็ดหญ้าขึ้นมาเคี้ยวเพื่อทดแทนการสูบบุหรี่ จากนั้นก็บ้วนทิ้ง แล้วกล่าวกับระบบ: ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร? ฉันรู้ว่าทัศนคติสามด้านของเขาไม่ได้ดีมากนัก แต่จะให้เขาฆ่าคนต่อหน้าฉัน โดยที่ฉันไม่ช่วยอะไรเลย ภาพนั้นก็คงฝังอยู่ในหัว แล้วกลายเป็ฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนฉันทุกวันแน่
พอกล่าวจบ อวี๋มู่ก็เดินออกจากป่า ตรงไปทางเว่ยจวินหยาง แล้วเรียกเขา “นายท่าน”
ไม่รอให้เขาได้กล่างต่อ เว่ยจวินหยางก็ชิงกล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ข้าให้เ้ารออยู่ในป่าไม่ใช่หรือ? เหตุใดเ้าถึงมาที่นี่? ”
อวี๋มู่ทำท่าจะตอบ แต่เขากลับชิงชักกระบี่ข้างตัวอวี๋มู่ออกมา แล้วเอ่ย “ทว่าเ้าเดินมาก็ดี ข้าขอยืมกระบี่เมฆาวิสุทธิ์สักประเดี๋ยวสิ”
“นายท่านจะทำอะไร? ” อวี๋มู่ไม่ทันตั้งตัวและลืมเข้าห้าม
วินาทีถัดมา เขาเห็นเพียงประกายวาบขึ้น พร้อมกับเสียงโหยหวนของชายทั้งสี่ดังขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเล่นเอาอวี๋มู่ตัวสั่นระริก
เขามองดูทั้งสี่เอามือกุมปากตัวเองในอาการตื่นตระหนก กับเนื้อลิ้นที่ยังมีเืไหลชุ่มหล่นอยู่ที่พื้น สีหน้าพวกเขาซีดเผือด ส่งเสียงออกมาอย่างเ็ป และคลื่นไส้ออกมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นเว่ยจวินหยางทำท่าจะลงมือซ้ำ เขาก็รีบคว้าแขนเด็กน้อยเพื่อห้ามปราม
“นายท่าน พอแล้ว” เขาหลับตา สะกดความกลัวและรังเกียจเด็กตรงหน้า แล้วเอ่ย “พวกเขาสำนึกผิดแล้ว ไว้ชีวิตพวกเขาเถอะ”
มือเขาสั่นระริกจนเว่ยจวินหยางก็รู้สึกได้
เด็กน้อยขมวดคิ้วแน่น พลางเงยหน้ามองเขา “เ้ากำลังกลัวข้าอย่างนั้นหรือ? ”
กระบี่เมฆาวิสุทธิ์มีขนาดยาวมาก ส่วนปลายมีเือาบอยู่และกำลังสะท้อนกับแสงแดดจนรู้สึกแสบตา เมื่ออยู่ในมือเว่ยจวินหยาง ตัวกระบี่ก็ดูเบาเหมือนไม่ต้องออกแรงอะไร
อวี๋มู่สูดหายใจเข้าลึก พยายามข่มความรู้สึกของตัวเองให้สงบนิ่ง แล้วเอ่ยกับเขา “นายท่าน ข้าน้อยไม่อยากให้มือของท่านสกปรก”
“เช่นนั้นเ้าก็จัดการสิ” เว่ยจวินหยางยัดกระบี่ใส่มือเขา แล้วจับมือเขาชี้ไปทางสี่คนนั้น “เ้าช่วยข้าสังหารสี่คนนี้เสีย”
อวี๋มู่ชะงัก ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
เขาก็แค่พูดไปตามหน้าฉาก แต่ทำไมเว่ยจวินหยางถึงยอมให้เขาฆ่าคนจริง!
เขาไม่ใช่โรคจิต! เขาไม่มีทางฆ่าคนเพื่อความสุข
“เ้าไม่อาจลงมือได้จริงๆ สินะ” เว่ยจวินหยางเดาว่าอวี๋มู่ไม่มีทางฟังเขา เลยเผยสีหน้าประชดประชัน แล้วเอ่ยขึ้น “ที่พูดว่าเพื่อข้าแล้วอะไรก็ทำให้ได้ ก็เป็แค่ลมปากสินะ”
กล่าวจบ คะแนนความประทับใจของเขาก็ลดลงครึ่งดวงทันที ตอนนี้จึงเหลือเพียงสี่ดวง
อวี๋มู่รีบอธิบาย “นายท่าน ข้าไม่ได้…”
เว่ยจวินหยางขัดคำพูดเขา แล้วเอ่ยถาม “เ้าอยากช่วยพวกเขาสินะ? ”
อวี๋มู่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังถาม ทั้งที่ก็เห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าตอนนี้เขาต้องพูดความจริงเท่านั้น
เขาจึงพยักหน้า
“ข้าเองก็ไม่ใช่นายท่านที่ไม่มีเหตุผล” เว่ยจวินหยางเอ่ย “ข้าให้ทางเลือกเ้าสองข้อ หนึ่งคือลงมือฆ่าพวกเขาเอง กับสองคือ…”
พอกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มออกมา จนดวงตาโค้งขึ้นดูงดงาม
เขาเห็นเพียงเด็กน้อยที่มีใบหน้าราวหยกแกะสลักกำลังใช้นิ้วจิ้มหน้าตัวเอง พร้อมเอ่ยกับเขา
“จูบข้าหนึ่งครั้ง”
“...”
วินาทีนั้น ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง
อวี๋มู่อยากหยิกตัวเองดูสักที ให้รู้ว่าเขากำลังฝันไปหรือเปล่า
เ้าลูกสุนัขเว่ยนี่มีวงจรสมองที่น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว?
ทำไมต้องให้เขาไปจูบ?
ไม่สิ ทำไมในสายตาของเว่ยจวินหยาง คำขอนี้ถึงแลกชีวิตคนสี่คนได้ล่ะ?
ในสายตาเ้าลูกสุนัขเว่ยนี่ ชีวิตคนมีหมายความอย่างไรกัน?
“เลือกสิ” เว่ยจวินหยางกุมมือเขา แล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างรอคอย ไม่มีแววล้อเล่นในนั้น
อวี๋มู่เม้มปาก สีหน้าเปลี่ยน และท้ายที่สุดก็ตอบเขา “นายท่าน ข้าเลือกข้อสอง”
กล่าวจบ เขาก็โน้มตัวลงจูบไปที่แก้มนุ่มๆ ของเด็กน้อย พอจูบเสร็จแล้วก็ทำท่าจะผละออก แต่กลับถูกเว่ยจวินหยางคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน
เสียงใสนุ่มของเด็กน้อยดังขึ้น แต่อวี๋มู่กลับรู้สึกเกลียดเป็ที่สุด “ตอนนี้จูบแก้ม ส่วนกลางคืน ข้าอยากเปลี่ยนเป็ที่อื่น”
เอาอีกแล้ว!
ไอ้ลูกสุนัขเว่ยจวินหยาง!
นานๆ จะเห็นอวี๋มู่หน้าแดงสักที ดังนั้นตอนที่เว่ยจวินหยางปล่อยตัวออกมา เขาก็รีบลุกขึ้นไปเก็บกระบี่เข้าฝักให้เรียบร้อย แล้วหลุบตาลงไม่มองหน้าเว่ยจวินหยางอีก
เว่ยจวินหยางเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน ทำให้คะแนนความประทับใจเพิ่มกลับมาเล็กน้อย เขาลูบแก้มที่อวี๋มู่จูบเมื่อครู่พร้อมเผยรอยยิ้มแจ่มใส
นี่เป็ครั้งแรกที่อวี๋มู่จูบเขาเอง แม้จะใช้แผนการ แต่ก็รู้สึกดีไม่น้อย
สดชื่นกว่าการฆ่าคนเยอะเลย แถมสบายอีกด้วย
เขาปรายตามองชายสี่คนที่น่าเวทนา พร้อมกับเอ่ยเสียงเข้มแฝงความเ็า “วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะไว้ชีวิตพวกเ้าก็แล้วกัน แต่ถ้ายังกล้าพล่ามไปเรื่อย…อา ลืมไป พวกเ้าไม่มีลิ้นแล้วนี่นะ”
เขาโบกมือ “ช่างเถอะ รีบไสหัวไปเสีย”
ทั้งสี่คนเมื่อได้รับการอภัย ก็รีบโค้งหัวคำนับ จากนั้นก็ใช้มือยันพื้น แล้วออกจากทางแยกไป จนเห็นรอยเืไหลเป็ทางสี่แถว
อวี๋มู่เบนหน้าหนี ด้วยไม่อยากเห็นลิ้นที่หล่นอยู่
“เ้าอย่ากลัวข้าไปเลย” เว่ยจวินหยางเดินไปตรงหน้าเขา แล้วคว้ามือขึ้นมา แล้วเอ่ยย้ำ “ข้าไม่อยากให้เ้ากลัว”
เมื่อครู่ที่เขารู้สึกว่าอวี๋มู่กำลังตัวสั่นนั้น แม้ปากจะกล่าวประชด แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ดีอย่างมาก
การที่คนอื่นกลัวเขา เขาก็คิดว่าสมควรแล้วที่เป็เช่นนั้น ทั้งยังได้ใจที่เห็นคนอื่นหวาดกลัว
มีเพียงอวี๋มู่ที่เขาไม่้าให้อีกฝ่ายหวาดกลัวตัวเอง
ความคิดนี้ช่างแปลกนัก แต่เขาก็รู้ตัวว่าอวี๋มู่มีสำคัญกับเขามากแค่ไหน
การกระทำของอวี๋มู่เริ่มมีผลต่ออารมณ์ของเขา จนเริ่มไม่เป็ตัวของตัวเอง
แต่เขาก็ไม่ได้ชิงชังความรู้สึกนี้
เขาใส่ใจความรู้สึกที่อวี๋มู่มีต่อเขา ดังนั้นจึงให้อีกฝ่ายมีอำนาจในการตัดสินใจ
นี่คือสิทธิพิเศษที่ไม่มีผู้ใดเคยได้รับจากเขา
อวี๋มู่กดด้ามจับ แล้วเอ่ย “ท่านเป็นายท่านของข้า ข้าน้อยก็ต้องหวั่นเกรงเป็ธรรมดา”
“หวั่นเกรงไม่ใช่หวาดกลัว” ตลอดมาเว่ยจวินหยางไม่มีความอดทนพอที่จะฟังสิ่งที่อวี๋มู่ต่อต้าน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงวางมาด “ข้าไม่อนุญาตให้เ้ากลัวข้า ได้ยินหรือไม่? ”
อวี๋มู่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พลันมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง แล้วเอ่ยถามกลับ “ถ้าเช่นนั้นนายท่านจะรับปากได้หรือไม่ ว่าจะไม่ฆ่าใครอีก? ”
เว่ยจวินหยางคิดไม่ถึงว่าอวี๋มู่จะอาจหาญพูดกับเขาเช่นนี้ จู่ๆ ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าก็แล่นเข้ามาในความคิด เหมือนว่าสองครั้งที่ทำเื่อย่างว่ากันในถ้ำ คนผู้นี้เอาแต่ขัดขืนและดุร้าย ไม่เหมือนหลายวันมานี้ที่มีแต่ความพินอบพิเทา
ดูเหมือนว่าอวี๋มู่จะมีอะไรบางอย่างปิดบังเขาอยู่
คล้ายว่าอวี๋มู่ที่อาจหาญเอ่ยคำขอเช่นนี้กับเขาคืออวี๋มู่ที่แท้จริง
พอคิดถึงเื่นี้ เว่ยจวินหยางก็รู้สึกดีใจอย่างประหลาด
อวี๋มู่จ้องมองคะแนนความประทับใจที่เพิ่มขึ้นมาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็เห็นเว่ยจวินหยางพยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “ได้ ข้ารับปากเ้า ว่าจะไม่ฆ่าใครอีก และเ้าก็ห้ามกลัวข้าเช่นกัน เช่นนี้เป็อย่างไร? ”
“?????”
อวี๋มู่ะโเรียกระบบ : ระบบ เว่ยจวินหยางบ้าไปแล้วหรือเปล่า!? เขาเชื่อฟังฉันเฉยเลย! นี่มันโคตรเหลือเชื่อ!
[เอ่อ โฮสต์ควรจะดีใจที่เขาเชื่อฟังไม่ใช่หรือครับ ทำไมถึงตื่นตระหนกเสียอย่างนั้น?]
อวี๋มู่ : …ก็จริง
“ว่าอย่างไรเล่า? ” เว่ยจวินหยางเห็นเขาไม่ตอบ จึงบีบมืออวี๋มู่ อย่างรอคอย
“อื้ม” อวี๋มู่พยักหน้า “ขอบพระคุณนายท่าน”
เว่ยจวินหยางยิ้มออกมา แล้วลากเขาเดินเข้าป่า “ไปเถอะ กลับที่พักเรากัน”
---------------------------------------------------------------------------------------------------