เสียงตวาดนี้ ทำให้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเงียบขึ้นทันใด คนตีกันก็หยุดแล้ว คนห้ามปรามก็หยุดด้วย หันมามองต้นตอของเสียงพร้อมๆ กัน
เห็นสตรีร่างเล็ก ใบหน้ากล้าหาญ ท่าทีเหิมเกริม เล่มบัญชีในมือนางดูเหมือนขนมหม่าฮวา [1] ดูบิดเบี้ยวและน่าสงสาร
จ่างกุ้ยหดคอลงโดยมิรู้ตัว เป็ความรู้สึกเหมือนกับเอาชีวิตรอดมาได้จากเื่ร้าย
พระชายาที่มักจะดูอ่อนโยนเงียบขรึม เหตุใดตอนนางโกรธถึงได้ดุเช่นนี้!
ดวงตาของเขาอดมิได้ที่จะหันไปหาองค์ชายที่อยู่ด้านข้าง อดกลั้นน้ำตาแห่งความเห็นใจไว้มิได้ คนนอกรู้เพียงว่าองค์ชายโชคดีมาก เขาเป็คนเดียวที่รู้ความจริงโดยบังเอิญ องค์ชายคงทรมานมิน้อย!
จ่างกุ้ยจ้องจนหรงซิวอึดอัด เขาจ้องไปอย่างดุดัน พลันเห็นเขาเข้าจึงหดคอลงทันใด จึงได้ยกมุมปากด้วยความพอใจ
“ฝ่าา!”
เสียงะโดังก้องอยู่ในหูของเขา เขาจึงรีบมองไปยังสตรีตัวน้อย กำลังจะอธิบาย ก็เห็นนางยกเล่มบัญชีไปทางทั้งสองคน
หรงซิวและลู่จงเฉิงล้วนตามือไว ผลักออกจากกันด้วยความรังเกียจแล้วะโหนี เล่มบัญชีตกลงพื้น ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างพอดี พัดหน้ากระดาษที่กางออก
“เมียจ๋า...”
“พวกท่านทะเลาะกันด้วยเหตุใด!” สตรีสาวที่ยังคงมีขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนเก้าอี้ สองมือเท้าสะเอว อกสั่นขึ้นลงด้วยความโกรธ
พูดถึงเื่นี้ หรงซิวก็โกรธขึ้นมา หากไม่ใช่ว่าอวิ๋นอี้อยู่ด้วย เขาอยากต่อยเขาอีกสักที
ไอ้คนชั่ว กล้าฉวยโอกาสตอนนางหลับเพื่อเอาเปรียบนาง!
โชคดีที่วันนี้เขามาถึงทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาก็มิรู้ว่าลู่จงเฉิงจะทำอันใดอีก!
ท่าทีดูสุนัขอยู่แล้ว ทำเื่เลวร้ายได้ไม่แพ้เดรัจฉาน!
มิได้ทำถึงตายนับว่าเป็โชคดีของเขาแล้ว!
สีหน้าของหรงซิวเปลี่ยนไปหลายครา เมื่อได้สติกลับมา เขาก็ต้องใเพราะมิรู้ว่าสตรีตัวน้อยเดินมาอยู่ข้างหน้าเขาั้แ่เมื่อใดกัน เขย่งขาเข้ามามองเข้าใกล้ๆ ด้วย
ดวงตาสีเข้มของนางเหมือนบ่อน้ำที่ไร้ก้นบึ้ง ทว่าสิ่งที่ดึงดูดใจคนคือขนตาสองคู่ที่เหมือนพัดเล็กๆ ทุกครั้งที่นางกะพริบตาจะมีลมหอมบางๆ พัดเข้ามา
เขาแทบกลั้นหายใจ พูดว่า “เพียง...เพียงแค่ต่อยเล่น”
"ถุ้ย!" อวิ๋นอี้ไม่เชื่ออย่างชัดเจน "โตเท่าใดกันแล้วเพคะ ฝ่าามาบอกกับข้าว่าต่อยเล่น?"
"พูดให้ดีหน่อยก็เพื่อศึกษากันและกัน"
"......" ยังเอาความรู้มาเกี่ยวได้ด้วย อวิ๋นอี้กลอกตาขาวใหญ่ๆ พ่นลมไม่พอใจแล้วหันไปมองลู่จงเฉิง "ท่านมหาเสนาบดีลู่เ้าคะ เขาอารมณ์ร้ายน่ะเ้าค่ะ หากเขาทำสิ่งใดล่วงเลยท่านไป อย่าได้ถือสาเลยนะเ้าคะ”
“ข้า!” หรงซิวโกรธมาก ทว่าเมื่อเขาเริ่มจะโต้แย้ง ก็ถูกอวิ๋นอี้ห้ามไว้ด้วยสายตาที่ดุร้าย
เขาลูบจมูกอย่างทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นว่าตนเองยังถูกมองอยู่ จึงได้เพียงยักไหล่ ทำท่าทีขอร้องนาง อวิ๋นอี้ถึงได้ปล่อยเขาไป
หลังจากเื่วุ่นวายเมื่อครู่ ลู่จงเฉิงก็สงบลง
เขายอมรับว่าเขาหุนหันพลันแล่นไป เขามีความคิดที่ไม่สมควรกับอวิ๋นอี้ หากเป็เมื่อก่อน เขาก็คงจะขอโทษหรงซิว ทว่าเพลานี้เขามีความคิดอยากจะแข่งขันด้วย
ข้อขัดแย้งทางด้านเหตุผลนี้ ทำให้เขาอึดอัดและสับสน
“อื้ม” ั์ตาเ็าของเขาหรี่ลง ไม่มองผู้ใดเลย หลังจากที่เขาพูดจบ ก็เดินผ่านทั้งสองคนออกไปโดยไม่พูดอันใดสักคำ
ลู่จงเฉิงจากไปแล้ว จ่างกุ้ยจะยืนอยู่ก็ใช่เื่ เขาฉีกยิ้มให้ แล้วรีบลงไปด้านล่าง ทั้งยังมีใจช่วยพวกเขาปิดประตูอีกด้วย
“คนไปหมดแล้ว ตอนนี้พูดเหตุผลได้สักทีนะเพคะ!” อวิ๋นอี้เอามือกอดอก เชิดคางขึ้น “หืม? ทะเลาะกับเขาด้วยเหตุใดเพคะ? เขาทำให้ฝ่าาโกรธหรือ?”
“ข้าบ้าไปเอง” หรงซิวไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้ต่อไปแล้ว จึงโกหกไป "แต่อวิ๋นเออร์ ต่อไปเ้ามาที่นี่ให้น้อยลงเถิด"
"เพราะเหตุใดเพคะ?” อวิ๋นอี้ะเิแล้ว เขาแต่งหว่านฉือเข้าจวน ทำนางไม่พอใจ นางยังจะออกมาสูดอากาศข้างนอกมิได้อีกหรือ?
“ข้างนอกมันวุ่นวาย มีคนคิดไม่ดีกับเ้า”
"......" นางรู้อยู่แล้วว่าเขาจะแอบว่าลู่จงเฉิง จึงหัวเราะกลับไป “มิได้เพคะ ข้าจะเป็ที่ใดมันคืออิสระของข้า ฝ่าาจะมาห้ามกันมิได้”
"อวิ๋นเออร์!"
"มิได้เพคะ!"
“เช่นนั้นก็ได้” หรงซิวออกมาคราวนี้เพื่อตามใจนาง รู้สึกได้ว่าหากเถียงเื่นี้ต่อไป ทั้งสองคนต้องผิดใจกันอีกแน่ เขาจึงหยุดพูดเื่นี้ กลับบอกว่า "ข้าตามใจเ้า"
เมื่อเห็นว่าเขายอมอย่างประนีประนอม อวิ๋นอี้ก็พึมพำเบาๆ "วันนี้ในจวนจะจัดเตรียมงานอภิเษกมิใช่หรือเพคะ? ฝ่าาไม่ไปดูหรือ?"
ตอนเช้าในวังส่งชุดผ้าไหมแดงปักคุณภาพดีมาหลายกล่อง รวมถึงกล่องเครื่องประดับเงินทองขนาดใหญ่อีกหลายกล่อง โดยบอกว่าเป็โองการของไทเฮาและฮ่องเต้ เพื่อแสดงความยินดีกับองค์ชายในงานอภิเษกโดยเฉพาะ
ความหมายจากในวังนั้นชัดเจน ว่าชมชอบคู่พวกเขา
ตอนที่นางออกมาจากจวน พ่อบ้านก็เริ่มประดับโคมแดงและติดคำมงคลแล้ว
นางเห็นแล้วใจว้าวุ่น จึงรีบถอยออกมา
อวิ๋นอี้ต้องน้อยใจอยู่แล้ว มิมีที่ระบายมาเกือบทั้งวัน เมื่อหรงซิวเข้ามาหาเอง ก็อดมิได้ที่จะต้องถากถางเขา
หรงซิวรู้ว่านางไม่สบายใจ เขาจึงปล่อยให้นางว่าไป “ไม่ดูหรอก ข้ามีชายาผู้เดียวคืออวิ๋นเออร์”
โกหก
โกหกต่อไป
โกหกได้ดีกว่าร้องเพลงเสียอีก
นางตีมือของเขาออกไป ก้มไปหยิบเล่มบัญชีที่พื้น แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ พลิกดูบัญชีพลางพูดกับหรงซิวว่า “ข้าจะดูบัญชี ฝ่าามิมีอันใดก็อย่ามารบกวนข้า”
“ได้สิ”
หรงซิวตกลงอย่างง่ายดาย ทว่าเมื่ออวิ๋นอี้ดูบัญชีอยู่นั้น เขาก็เอาน้ำแข็งไสให้นาง เดี๋ยวก็เอาจานองุ่นมาให้ ทานองุ่นเสร็จแล้ว ก็ยังสั่งให้คนเอาขนมที่นางชอบที่สุดมาอีกด้วย
“......”
อวิ๋นอี้หยุดเขาสองสามครั้ง เขายังตกลงอย่างง่ายดาย แต่การกระทำของเขากลับยิ่งเร็วยิ่งแข็งขันขึ้น
เหอะ
คิดเสียว่านางมิได้พูดก็แล้วกัน
ตลอดบ่ายที่หรงซิวรินชาส่งน้ำ ทั้งสองคนมิได้รู้สึกอันใด เพราะปกติก็อยู่ร่วมกันเช่นนี้ ทว่าไม่คิดเลยว่าผู้อื่นในโรงเตี๊ยมจะเห็นเข้า แล้วความหมายก็เปลี่ยนไป
อย่าคิดว่าทุกคนในโรงเตี๊ยมจะเป็นักเรียน พวกบัณฑิตซุบซิบกันขึ้นมาก็มิได้น้อยหน้าไปกว่าพวกป้าๆ ในซอยกันเลย
ไม่เรียนแล้ว กลอนก็ไม่ท่อง รวมกลุ่มกันพูดต่างๆ นานา
พูดสงสารหรงซิวก่อน จากนั้นก็พากันว่าอวิ๋นอี้
“พวกเ้ามิได้ยินเสียงตวาดนั่นหรือ? ตอนนั้นข้ากำลังขึ้นบันไดพลันต้องล้มลงเลย! ดูสิว่าทำให้ข้าใเพียงใด!”
“ไอหยา ล้มมาหนักไม่น้อยเลยนะ! ข้าแทบเป็ลมเมื่อได้ยินเสียงคำรามของสิงโตเหอตงนั่น!”
“พระชายาเจ็ดนี้ดุร้ายจริงๆ! "
"ไม่แปลกใจเลยที่องค์ชายจะอภิเษกกับท่านหญิงหว่านฉือ ข้าได้ยินมาว่าท่านหญิงหว่านฉือมักจะพูดเบาไพเราะ จะเหมือนพระชายาได้เช่นไร!"
"สยอง! น่ากลัวไปแล้ว!" คนพูดต่อๆ กัน บทสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ "สงสารองค์ชายแย่ ในบ้านมีสตรีร้ายอยู่ บ้านนี้โชคร้ายจริงๆ!"
"ใช่! หากเป็ข้า ข้ายอมอยู่คนเดียว จะไม่แต่งกับสตรีพรรค์นี้เด็ดขาด! ที่องค์ชายอภิเษกกับท่านหญิงหว่านฉือ ข้าว่ามันก็ดีแล้วล่ะ!”
ปากของประชาชนแย่ที่สุด จากหนึ่งเป็สิบ จากสิบเป็ร้อยเป็พัน เมื่อตอนที่อวิ๋นอี้ออกมากับหรงวิวในตอนเย็น เื่เล่าขานกันเกี่ยวกับนางในเมืองหลวง ก็เป็ที่รู้กันไปทั่ว ใหญ่โตเป็อย่างมาก
ทั้งสองคนออกมาจากทางประตูข้าง บนถนนก็แทบจะมิมีคนแล้ว เมื่อนั่งลงบนรถม้า กลับไปเมื่อถึงจวน ยาชิงก็ได้รายงานให้ฟัง อวิ๋นอี้ถึงได้รู้เื่ ว่าน่าได้กลายเป็สตรีร้ายของเมืองหลวงไปแล้ว
นี่นางจะดังแล้วหรือ?
เชิงอรรถ
[1] ขนมหม่าฮวา 麻花 หมายถึง ขนมที่ทำด้วยแป้งบิดเป็เกลียวยาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้