เหอชูซานที่ซ่อนตัวอยู่หลังป้ายของร้านรถเข็นขายบะหมี่ถูกลูกพี่ใหญ่ชย่าลากออกมาเหมือนเหยี่ยวจับลูกไก่
“ใกล้จะถึงบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ?” ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้วและยิ้มเยาะอย่างเ็า
เหอชูซานผู้สวมแว่นตาขอบทองบนสันจมูกอธิบายอย่างจริงจัง “ผมไม่ได้กินข้าวเย็นเลยมากินก๋วยเตี๋ยวที่นี่ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”
ชย่าลิ่วอีตบไปที่ท้ายทอยของเขาอย่างแรง “ไอ้สารเลว! ยังกล้าโกหกหน้าด้านๆ อีกอย่างนั้นหรือ! กินบะหมี่ตั้งหนึ่งชั่วโมงเลยเนี่ยนะ? แกหลอกใครกัน!!”
เหอชูซานเซเล็กน้อยจากแรงตบ แต่ยังคงตั้งสติได้ เขาจัดแว่นตาของตัวเองอย่างใจเย็นแล้วพูดกับชย่าลิ่วอี “พี่ลิ่วอี ถึงพรุ่งนี้จะเป็วันอาทิตย์แต่ผมยังต้องทำโอที ผมไม่กวนพี่แล้วครับ”
ชย่าลิ่วอีตบไปที่หลังของเขาอย่างแรงอีกครั้งเหมือนระบายความโกรธ “ไปให้พ้น!”
เหอชูซานหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินจากไปอย่างว่าง่าย เนื่องจากเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งและมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการต้อนรับลูกค้า ทำให้เขาเปลี่ยนชุดสูทเป็ชุดใหม่ที่ดูเรียบร้อยและภูมิฐาน รูปร่างของเหอชูซานเมื่อมองจากด้านหลังจึงดูสง่างามและมีกลิ่นอายของความเป็มืออาชีพ
เพียงแต่ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและผอมบางทำให้เหอชูซานดูโดดเดี่ยวและอ้างว้าง การก้าวเดินอย่างช้าๆ ทีละก้าวก็เหมือนกับว่าเขากลายเป็คนพิการหลังจากถูกชย่าลิ่วอีตบไปสองทีอย่างไรอย่างนั้น
เขาเดินนับก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงครึ่งถนนอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงแตรรถดัง ‘ปี๊นๆ’ สองครั้งดังมาจากข้างหลัง
ชย่าลิ่วอีคาบบุหรี่ สีหน้าหงุดหงิดของเขาโผล่ออกมาจากด้านหลังกระจกรถที่ค่อยๆ เลื่อนลง “ขึ้นมา! เดี๋ยวไปส่ง”
……
อาเปียวเป็คนขับรถคนนั้น ส่วนอาหย่งนั่งข้างคนขับทำหน้าที่บอดี้การ์ด และเหอชูซานนั่งเงียบกริบไม่พูดอะไรสักคำอยู่บนเบาะด้านหลังของรถเบนซ์กับผู้มีอิทธิพล
ชย่าลิ่วอีคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วเตะเขาไปหนึ่งที “ยิ้มอะไรของแก! ไอ้คนไร้ประโยชน์!”
เหอชูซานเงยหน้า มุมปากของเขาโค้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “พี่ลิ่วอี ่นี้สุขภาพเป็ยังไงบ้าง?”
ชย่าลิวอีส่งเสียงขึ้นจมูก “ก็เรื่อยๆ”
“ดีแล้วครับ” เหอชูซานพูด “ป๊าเป็ห่วงเื่ฟันของพี่นะ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขายังพูดถึงพี่กับผมอยู่เลย บอกให้พี่กินขนมให้น้อยลงก่อนนอนแล้วก็อย่าลืมแปรงฟัน”
มุมปากชย่าลิ่วอีกระตุก เขารู้สึกปวดฟันขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “มันเกี่ยวอะไรกับเขา! แล้วเขาเปิดร้านขายของชำหรือยัง?”
“เปิดแล้วครับ กิจการก็ดีนะ เขาอยากขายผลไม้ด้วย แต่ตอนนี้ที่บ้านมีสินค้ากองอยู่เต็มไปหมด แทบจะอยู่ไม่ได้แล้ว”
“ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ออกมาอยู่ข้างนอกสิ”
“อืม ก็มีคิดไว้เหมือนกัน เขาตื่นเช้า ส่วนผมทำโอทีจนต้องกลับดึกเป็ประจำ รบกวนเวลาพักผ่อนเขา แถมเดือนหน้าผมจะย้ายไปประจำที่ย่านจงหวน... [1]”
“จงหวน? สุดยอดเลยนะ เหออาซาน” ชย่าลิ่วอีแซวเขา
เหอชูซานให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เขาก้มหน้าลงด้วยท่าทางเขินอาย “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
ชย่าลิ่วอีจึงเตะเขาอีกทีพร้อมกับสบถ “ให้ตายเถอะ! ฉันประชดแกนะ จะมาทำท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายให้ฉันดูทำไม!”
ขณะนั้นเสียงกริ่งก็ดังขึ้น อาหย่งซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหญ่ที่ผู้มีอิทธิพลมักใช้ขึ้นมา แต่กลับพบว่าไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นจากมันเลย
ทันใดนั้นจอมนักแสดงเหอก็หยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหญ่ของเขาออกมาจากกระเป๋า “ฮัลโหลครับ?”
“เสี่ยวเหอหรือ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ชย่าลิ่วอีจุดบุหรี่หนึ่งมวนพร้อมกับเปิดกระจกรถเพื่อระบายอากาศ
“กินแล้ว... ยังไม่มี อยู่ระหว่างทางกลับ พี่ลิ่วอีมาส่งผม... อืม พรุ่งนี้ผมเลิกงานแล้วจะไปรับนะ... ผมได้หมด อยากกินอะไรไหม?... ได้ ผมจะลองดู... อ้อ อาป๊าต้มซุปให้ผม เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปให้นะ... ได้สิ เดี๋ยวผมบอกเขาให้...”
ชย่าลิ่วอีหันสายตาไปมองนอกหน้าต่างพร้อมกับเบ้ปาก แก้มของเขาเกร็งไปหมด—— นี่มันอะไรกันเนี่ย! พูดจาหวานซึ้งต่อหน้าพวกเราได้อย่างไรกัน!
เหอชูซานโชว์ความรักอย่างน้อยห้านาที จนบุหรี่ของพี่ใหญ่เกือบจะหมดมวน เขาจึงค่อยๆ ปิดโทรศัพท์มือถือ “พี่ลิ่วอีครับ เสี่ยวเหอฝากความคิดถึงมาให้พี่ด้วย”
ชย่าลิ่วทำท่าทางเหมือนเป็ผู้มีอิทธิพล เขาส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอนิดหนึ่งเป็การตอบรับ ี้เีจะพูด
รถแล่นมาถึงบริเวณใกล้บ้านของเหอชูซาน พวกเขาจอดห่างออกไปจากจุดหมายสอง่ตึกแล้วส่งเหอชูซานลง เขาบอกลาชย่าลิ่วอีแล้วเดินจากไป แต่เดินไปได้แค่สองก้าวก็เดินกลับมาเคาะกระจกรถ
ชย่าลิ่วอีลดกระจกลง
“พี่ลิ่วอีครับ ดูแลสุขภาพด้วยนะ ถ้าขึ้นเขาก็ระวังตัวด้วย”
ชย่าลิ่วอีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
รถยนต์ค่อยๆ ขับออกไปไกลขึ้น สายตาของชย่าลิ่วอีหันกลับไปมองยังจุดที่จากมาโดยไม่ตั้งใจแล้วเห็นเ้าเด็กเหลือขอนั่นยังคงยืนอยู่ริมถนนพร้อมทั้งมองมาที่เขาตรงๆ
จากนั้นเขาก็หันกลับมามองไปข้างหน้าแล้วเอนหลังพิงเบาะด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
“หัวหน้าครับ จะขึ้นเขาหรือครับ?” อาเปียวถาม
“ไม่ล่ะ กลับบ้าน” ชย่าลิ่วอีพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “บอกให้คนเอาเค้กก้อนนั้นมาส่งให้ฉัน”
ในคืนวันเกิดของเขา ชย่าลิ่วอีอยู่บ้านคนเดียว เขาดื่มเบียร์ต่อหน้าป้ายิญญาของชิงหลงและเสี่ยวหม่าน พร้อมทั้งกินเค้กผลไม้ที่เหอชูซานส่งมาไปมากกว่าครึ่งก้อน แล้วเข้านอนโดยไม่ได้แปรงฟัน เมื่อตื่นเช้ามาเขาก็ปวดฟัน—— ปวดฟันจริงๆ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อาการปวดฟันของเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แก้มของเขาบวมขึ้นจนต้องใส่แว่นกันแดดและหน้ากากอนามัยเพื่อปิดบังใบหน้าแล้วไปโรงพยาบาล ชย่าลิ่วอีถูกถอนฟันกรามที่ผุออกหนึ่งซี่—— เป็หนึ่งในฟันที่หมอฟันเหอใส่ให้เขาเมื่อปีที่แล้ว
ชย่าลิ่วอีนอนอยู่บนเก้าอี้ผ่าตัดด้วยความทรมานจนพูดไม่ออก ปากของเขาเต็มไปด้วยสำลีครึ่งหนึ่งและน้ำลายอีกครึ่งหนึ่ง เขาฟังเสียงเครื่องมือที่ดังอยู่ในปากอย่างน่ารำคาญ แทบอยากจะจับเหออาซานกับพ่อของเขามัดแล้วโยนลงในกรงหมูเสียให้เข็ด... ไอ้พวกไร้ประโยชน์! หมอเฮงซวย!
“วัสดุของซี่ฟันเหล่านี้ไม่ดี มีโอกาสอักเสบได้ง่าย” หมอพูดกับเขา “คุณชย่า เปลี่ยนทั้งหมดเลยไหมครับ?”
ชย่าลิ่วอีส่ายหัวทันทีที่ได้ยิน “ให้ตายเถอะ! แค่ถอนฟันซี่เดียวก็แทบอยากตายแล้ว!”
“ลูกพี่ครับ เปลี่ยนหมดเลยดีกว่า” เสี่ยวหม่าที่มากับเขาพูดขึ้น “ใส่ฟันทองไหมครับ ดูดี เท่จะตายไป!”
ชย่าลิ่วอีจึงคว้าถาดผ่าตัดที่อยู่ข้างๆ ฟาดใส่เขาจนกระเด็นออกไป
เสี่ยวหม่าวิ่งหนีออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยความหวาดกลัว แล้วก็ไประบายอารมณ์ใส่ลูกน้องที่อยู่ข้างนอก “ไอ้เ้าเด็กแซ่เหอมันหายหัวไปไหน! นานขนาดนี้แล้วยังไม่มาเอาใจลูกพี่อีก!”
ในขณะที่เด็กหนุ่มแซ่เหอกำลังเล่นเกม ‘รุกและรับ’ กับลูกพี่ใหญ่ อีกมุมหนึ่งเขาก็ยุ่งอยู่กับการต่อสู้เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวในหน้าที่การงาน เขาทำงานในธนาคารเพื่อการลงทุนและกำลังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็ที่นิยมใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีทั้งแรงกดดันที่สูง ความเสี่ยงที่สูง และผลตอบแทนที่น่าทึ่ง ในเวลานั้นเศรษฐกิจของฮ่องกงกำลังเฟื่องฟู ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ คนหนุ่มสาวต่างก็กระโจนเข้าสู่วงการการเงิน ทุกคนทำงานอย่างหนักและทุ่มเททุกอย่างเพื่อหาเงิน วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในญี่ปุ่นและเหตุการณ์การล้มละลายของธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่งในเดือนกรกฎาคมไม่ได้ส่งผลกระทบหรือเป็สัญญาณเตือนอะไรมากนักกับวงการนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง
เหอชูซานกินที่บริษัท นอนที่บริษัท ทำโอทีทั้งวันทั้งคืนั้แ่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ วิ่งวุ่นไปทั่วเหมือนลูกข่าง เหตุผลที่เขายังไม่หัวล้านหลังจากทนทำงานหนักมาหนึ่งปีอาจเป็เพราะเขาหาเวลาไปฝึกไทเก๊กที่ห้องชงกาแฟทุกวันก็เป็ได้
และเมื่อถึงวันอาทิตย์ที่พอจะมีเวลาว่างบ้าง เขาก็เริ่มแสดงความสามารถในการเป็นักแสดงภาพยนตร์ผู้ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง เหอชูซานสวมเสื้อแจ็กเก็ตตัวเก่าของพ่อ ทำผมให้ยุ่งเหยิง เอาอะไรมาทาผิวให้ดำ ใส่แว่นกันแดด และติดหนวดปลอม จากนั้นก็เอาของเบ็ดเตล็ดใส่รถเข็นเล็กๆ แล้วเข็นไปขายที่ชั้นล่างของอาคารสำนักงาน ‘บริษัทใหญ่’ ของชย่าลิ่วอี—— เขาไม่อยากปรากฏตัวต่อหน้าชย่าลิ่วอีง่ายๆ แต่ถ้าไม่ได้เจอเลยก็รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัว เขาเลยต้องใช้วิธีนี้—— เหอชูซานโดนเก็บค่าคุ้มครองไปสามครั้งแล้ว พี่หม่ามาซื้อบุหรี่ด้วยตัวเองอีกหนึ่งครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครจับได้
ชย่าลิ่วอีจะเข้าบริษัทในตอนเช้า บางครั้งก็ออกไปทานข้าวกับคนอื่นในตอนเที่ยง แล้วกลับมาที่บริษัทในตอนบ่าย จากนั้นก็ออกไปอีกครั้งในตอนเย็น เขาเห็นพฤติกรรมทั้งหมดนี้ของชย่าลิ่วอีอย่างชัดเจน เหอชูซานเคี้ยวหมากอย่างไม่ใส่ใจเพื่อพรางตาคนอื่น แต่ในใจเขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็เด็กหนุ่มที่กำลังมีความรัก—— ถือว่านี่เป็วิธีหนึ่งในการระบายความเครียดจากการทำงานก็แล้วกัน
แม้ใบหน้าของจอมนักแสดงเหอจะดูซื่อๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความลามก สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือตอนที่ได้ดูท่าทางของลูกพี่ชย่าตอนลงบันได ตอนขึ้นรถ รวมถึงตอนที่เขาเอียงหัวสูบบุหรี่หนึ่งทีแล้วโยนทิ้ง จากนั้นก็ปลดกระดุมสูทหนึ่งเม็ดก่อนจะก้มตัวเพื่อขึ้นรถ—— สะโพกนั่นช่างเด้งเสียเหลือเกิน!
น่าเสียดายนัก ครั้งที่ชย่าลิ่วอีจำต้องนอนคว่ำตัวเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงเล็กๆ ในเมืองกำแพงเจียวหลงเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นเขาน่าจะใช้สองมือบีบมันให้เต็มที่เสีย!
……
ในปีนั้น อากาศในฮ่องกงอบอุ่นอย่างผิดปกติ ฤดูร้อนที่ร้อนระอุแผดเผาเหล่าอันธพาลข้างถนนจนหมดเรี่ยวแรง พวกเขาอยากจะนั่งจิบเบียร์รับลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน เล่นไพ่เล็กๆ น้อยๆ และเล่นเกมทายนิ้วไปพลางๆ ส่วนชย่าลิ่วอีและเฝยชีต่างก็หลบเลี่ยงความสนใจ เก็บตัวเงียบอยู่หลายเดือน จนกระทั่งเดือนกันยายนมาถึง สภานิติบัญญัติฮ่องกงได้นำสมาชิกชุดแรกที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้ามาซึ่งก่อให้เกิดกระแสความไม่สงบขึ้นอย่างเงียบๆ
สารวัตรหัว—— ผู้กำกับการเขตจิ่วหลงที่มีชื่อเสียงและเป็ที่เคารพนับถือ อีกทั้งยังเป็ผู้มีอิทธิพลและผู้คุ้มครองของคนในโลกมืด—— ได้โทรหาชย่าลิ่วอีด้วยตัวเองเพื่อนัดเขาและเฝยชีไปทานอาหารเย็นที่บ้านของสารวัตรในวันเสาร์สองวันก่อนวันไหว้พระจันทร์ของปลายเดือนกันยายน นี่เป็การอำลาอย่างเป็ทางการก่อนที่เขาจะเกษียณอายุ แต่จริงๆ แล้วเขา้าที่จะประนีประนอมทั้งสองฝ่ายและยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อนี้
แม้ชย่าลิ่วอีจะเบื่อหน่ายเฝยชีมากแค่ไหน แต่ในเมื่อเห็นแก่หน้าสารวัตรหัวเขาก็ต้องแต่งตัวเต็มยศไปร่วมงาน ใน่เย็นของวันนั้นเขาพาผู้คุ้มกันจำนวนสองคันรถไปยังคฤหาสน์หรูของสารวัตรหัวในย่านที่อยู่อาศัยบนเนินเขา—— สถานที่แห่งนี้แม้จะอยู่บนเกาะฮ่องกง ทว่าไม่ใช่ทั้งเขตอิทธิพลของแก๊งเซียวฉีของชย่าลิ่วอี หรือเขตอิทธิพลของแก๊งเหอเซิ่งของเฝยชี เรียกได้ว่าเป็สถานที่ที่เป็กลาง
ชย่าลิ่วอีคาบบุหรี่ลงจากรถ เมื่อเห็นเฝยชีลงมาจากรถเบนท์ลีย์พร้อมกับพุงกลมโต ชย่าลิ่วอีก็หรี่ตาเยาะเย้ย มุมปากที่หย่อนคล้อยของเฝยชีสั่นระริก ผู้คุ้มกันของทั้งสองฝ่ายต่างก็เอามือข้างหนึ่งกดปืนไว้ บรรยากาศตึงเครียดราวกับสามารถชักดาบออกจากฝักได้ทุกเมื่อ
สารวัตรหัวผู้ไว้หนวดเคราสีขาวและมีพุงที่ใหญ่พอๆ กับเฝยชีคาบซิการ์เดินออกมาจากด้านในบ้าน แล้วก็ตบหลังชย่าลิ่วอีที่เกร็งไปทั้งตัวอย่างแรง “เสี่ยวลิ่ว! น้องรัก!”
“ท่านสารวัตร” ชย่าลิ่วอีตอบกลับด้วยความเคารพ
“พี่หัว” เฝยชีก็กล่าวทักทายเช่นกัน
“เหล่าชี!” สารวัตรหัวตบหลังเฝยชีด้วย “เข้ามาข้างในกันเถอะ! อย่ายืนจ้องตากันอยู่ข้างนอกแบบนี้ต่อเลย!”
ตามกฎแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องวางอาวุธปืนลงและสามารถนำผู้ติดตามที่ไม่มีอาวุธเข้าไปได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น ชย่าลิ่วอีพาอาหย่งและอาเปียวไปด้วย ขณะที่เขาหยุดยืนอยู่ที่ประตูและยกแขนขึ้นให้เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจค้น เขาเหลือบเห็นจากหางตาว่าเฝยชีและพ่อบ้านของบ้านสารวัตรหัวสบตากัน
เชิงอรรถ
[1] ย่านจงหวนหรือเซ็นทรัล ตั้งอยู่บนเกาะฮ่องกง เป็ศูนย์กลางทางการเงินของฮ่องกง มีบริษัททางการเงินขนาดใหญ่มากมายตั้งอยู่ในย่านนี้
