หากได้รับการยืนยันว่าผู้ที่วางยามีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับจวนแม่ทัพ เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้!
เมื่อได้ยินสิ่งที่หานอวิ๋นซีพูด ในที่สุดมู่ชิงอู่ก็เข้าใจ “ความคิดของหวังเฟยนั้นพิถีพิถันจริงๆ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากคุยรายละเอียดบางอย่างกับมู่ชิงอู่แล้ว หานอวิ๋นซีก็ออกจากจวนแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าทันทีที่นางออกไป หลงเฟยเยี่ยก็มาถึง
นี่เป็ครั้งที่สองของหลงเฟยเยี่ยที่มาจวนแม่ทัพมู่เพื่อหารือเกี่ยวกับเื่ผู้ทรยศในอาณาจักรเป่ยลี่
เขาสวมเสื้อผ้าสีดำและนั่งอย่างสง่างามบนที่นั่งในห้องโถง ดวงตาเ็าและวางตัวราวกับาาผู้ปกครองโลก
ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยความเงียบ และมีเพียงแม่ทัพมู่เท่านั้นที่รออยู่ในห้องโถง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มู่ชิงอู่ก็เข้ามาอย่างเร่งรีบ ทันทีที่เข้าประตูมาก็ทำความเคารพแบบทหาร “ถวายบังคมฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หลงเฟยเยี่ยยกมือเป็สัญญาณให้เขาเอามือลงและถามอย่างเ็าว่า “หานอวิ๋นซีเพิ่งออกไปหรือ?”
หานอวิ๋นซี?
ต้องบอกว่าเมื่อได้ยินสามคำนี้ออกจากปากของฉินอ๋อง มันทำให้สองพ่อลูกรู้สึกแปลกใจ ในความทรงจำของพวกเขานั้น ฉินอ๋องไม่เคยเรียกสตรีด้วยชื่อของนางแบบนี้มาก่อน
แน่นอนว่าเป็ไปไม่ได้ที่เขาจะเรียกหานอวิ๋นซีว่า อ้ายเฟย[1] ก่อนหน้านี้เขาเรียกนางว่าฉินหวังเฟยเหมือนคนอื่นๆ ั้แ่เมื่อไรกันที่เริ่มเปลี่ยนมาเรียกชื่อ?
อยากรู้ก็อยากรู้ ทว่าทั้งแม่ทัพมู่และมู่ชิงอู่ไม่กล้าที่จะถาม เมื่ออยู่ตรงหน้าฉินอ๋องท่านนี้แล้ว ความกดดันนั้นมีมากกว่าการอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้เทียนฮุยเสียอีก
“หวังเฟยเพิ่งจะออกไปพ่ะย่ะค่ะ นี่คือเบาะแสใหม่ที่นางนำมาส่ง” มู่ชิงอู่พูดและส่งรายการยาที่เขาเพิ่งได้รับอย่างรวดเร็ว แล้วพูดเสริมว่า “นี่คือพิษงูสามชนิดที่หวังเฟยไม่ได้บอกมาก่อนหน้านี้ นางบอกว่ามันเป็สิ่งที่หาได้ยากอย่างมาก และมีคนน้อยมากที่จะมีสิ่งนี้ในแผ่นดินใหญ่หยุนคง”
หลงเฟยเยี่ยพยักหน้าและถามว่า “การสอบสวนผู้ต้องสงสัยในจวนได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
แม่ทัพมู่รู้สึกละอายใจอย่างมาก “ทูลท่านอ๋อง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ขยายขอบเขตของผู้ต้องสงสัยและสืบสวนต่อไป” หลงเฟยเยี่ยพูดพร้อมกับแสงวาบในดวงตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “โดยเฉพาะสตรี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพมู่และแม่ทัพใหญ่ก็ใ ฉินอ๋องได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ติดตามสายลับของอาณาจักรเป่ยลี่ จนถึงตอนนี้สายลับทั้งหมดที่พบล้วนแต่เป็สตรี
อาจกล่าวได้ว่า พิษของมู่ชิงอู่ในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือจวนแม่ทัพอาจจะเป็อีกหนึ่งสถานที่ที่สายลับของเป่ยลี่จะซุ่มโจมตี
ต้องรู้ว่าจวนแม่ทัพเป็สถานที่ที่อ่อนไหวมาก และความลับทางทหารมากมายก็มาจากที่นี่
เื่นี้เป็เื่ร้ายแรง!
ในเวลานี้ แม่ทัพมู่จะไปดูแลปกป้องมู่หลิวเยวี่ยได้อย่างไร เขาลืมเกี่ยวกับการเดิมพันระหว่างมู่หลิวเยวี่ยและหานอวิ๋นซีไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ฉินอ๋องวางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เราจะขยายขอบเขตการสอบสวนอย่างแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่ญาติพี่น้อง!”
มู่ชิงอู่รู้มาเสมอว่าพ่อของเขาเข้าข้างหลิวเยวี่ยมาโดยตลอด เมื่อเห็นโอกาสนี้ เขาจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อ ฉินหวังเฟยสงสัยว่าการวางยาพิษอาจยืมมือของคนอื่นในการลงมือทำ ในความคิดของลูก เหล่าลูกพี่ลูกน้องที่แวะเวียนมาบ่อยๆ ก็ควรทำการตรวจสอบเช่นกัน”
ขณะที่เขาพูด ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสริมว่า “แน่นอน หลิวเยวี่ยเองก็ต้องถูกตรวจสอบด้วย”
ปกติแล้ว หากมู่ชิงอู่พูดเช่นนี้ แม่ทัพมู่จะดุเขาว่าสมองเลอะเลือนอย่างแน่นอน น้องสาวของเขาเองจะไปมีเจตนาร้ายได้อย่างไร มีเหตุผลใดต้องทำเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน แม่ทัพมู่ไม่กล้าที่จะโมโหต่อหน้าฉินอ๋อง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ฉินอ๋อง พร้อมกับพูดว่า “สิ่งที่หวังเฟยพูดก็มีเหตุผล”
หลงเฟยเยี่ยพยักหน้าอย่างรวดเร็วและวางรายการยา “พิษงูสามชนิดนี้ข้าจะจัดการเอง ส่วนที่เหลือ ต้องเร่งมือหน่อยแล้วล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพมู่และบุตรชายพูดอย่างพร้อมเพรียงด้วยความเคารพ
หลงเฟยเยี่ยลุกขึ้นเพื่อที่จะออกไป แต่เมื่อไปถึงหน้าประตู กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน เขาไม่ได้หันกลับมามองและพูดด้วยน้ำเสียงที่เ็าเช่นเคย “ข้าได้ยินมาว่า...หานอวิ๋นซีเดิมพันกับคุณหนูมู่?”
อะไรนะ?
ฉินอ๋องก็รู้เื่เกี่ยวกับการเดิมพันระหว่างหานอวิ๋นซีและมู่หลิวเยวี่ยด้วยสินะ
เพื่อลดผลกระทบต่อแม่ทัพมู่ เขาได้ออกคำสั่งห้ามไว้แล้ว และคนรับใช้ทุกคนที่รู้เื่นี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ออกไป
แล้วฉินอ๋องรู้ได้อย่างไรกัน?
“ทูลท่านอ๋อง เื่นี้คือเื่จริง สาวน้อยคนนั้นโง่เขลาและกระทำการโดยประมาท ข้าจะสอนบทเรียนแก่นางอย่างแน่นอน” แม่ทัพมู่อธิบายอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เื่นี้เกิดขึ้น หากไม่เป็เช่นนั้น เขาจะบังคับให้หลิวเยวี่ยไปขอโทษ ผลลัพธ์ที่ทำร้ายทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ เขาไม่สามารถทนมันได้
“โปรดท่านอ๋องอย่าถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ ข้าต้อง...”
โดยไม่คาดคิด ก่อนที่แม่ทัพมู่จะพูดจบหลงเฟยเยี่ยก็ขัดจังหวะและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าตั้งตารอผลลัพธ์จริงๆ”
ในขณะที่เขาพูด ก็เดินจากไปโดยไม่ถามอะไรอีก ในไม่ช้าร่างของเขาก็หายไปจากลานบ้าน
นี่มัน…
แม่ทัพมู่ยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม ใช้เวลาสักพักกว่าจะได้สติกลับมา จากนั้นเขาก็ค่อยๆ หันหน้าไปมองมู่ชิงอู่ “จะ...เ้าได้ยิน...ได้ยินสิ่งที่ฉินอ๋องพูดเมื่อครู่หรือไม่?”
มู่ชิงอู่ก็เองประหลาดใจไม่แพ้กัน พูดพึมพำว่า “ท่านอ๋อง พูดว่าเขาตั้งตารอผลลัพธ์จริงๆ”
ใบหน้าของแม่ทัพมู่ซีดลง และเริ่มเป็กังวล “นี่...นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
เป็ไปได้หรือไม่ว่าฉินอ๋อง้าเห็นหลิวเยวี่ยถอดเสื้อผ้าแล้ววิ่งไปรอบๆ ถนนเสวียนอู่? เมื่อคิดเช่นนี้ แม่ทัพมู่ก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองทันที เขาคิดมากเกินไปโดยไม่มีเหตุผล ฉินอ๋องจะไปสร้างเื่ลำบากให้เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งอย่างหลิวเยวี่ยได้อย่างไรกัน!
หรือเป็ไปได้หรือไม่ว่า...เขา้าเห็นฉินหวังเฟยพ่ายแพ้ ถอดเสื้อผ้าแล้ววิ่งไปรอบๆ?
ไม่ไม่ไม่!
แม่ทัพมู่ตบหน้าผากตัวเอง นี่มันเป็ไปไม่ได้ยิ่งกว่า ถ้าฉินหวังเฟยต้องวิ่งจริงๆ มันก็จะเป็เหมือนการตบหน้าฉินอ๋องไม่ใช่หรือ!
แม่ทัพมู่จ้องไปที่มู่ชิงอู่ด้วยคิ้วหนาและดวงตาที่โกรธเกรี้ยว “ฉินอ๋องกำลังคาดหวังอะไรกัน?”
“ผลลัพธ์ของการเดิมพัน...” มู่ชิงอู่พูดด้วยความอาย
“ผลลัพธ์ของใคร!” แม่ทัพมู่ถามอีกครั้ง
มู่ชิงอู่ที่ไม่รู้จะตอบอย่างไร แม่ทัพมู่ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ หันหน้าไปอีกทางแล้วดึงแส้สั้นๆ ออกมาฟาดออกไปอย่างแรง “มู่หลิวเยวี่ย! เมื่อไรนังเด็กบ้านั่นจะหยุดสร้างปัญหาสักที!”
ฉินอ๋องพูดขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะหมายความว่าอย่างไร แม่ทัพมู่ก็ไม่สามารถให้มู่หลิวเยวี่ยไปขอโทษได้อีกต่อไป และไม่สามารถขอให้ฉินหวังเฟยถอนการเดิมพันนี้ได้เช่นกัน
จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี!
เมื่อเห็นว่าท่านพ่อโกรธมาก มู่ชิงอู่จึงพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อ หลิวเยวี่ยเองก็โตแล้ว ต้องให้นางรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองก่อเสียบ้าง เื่คนทรยศนั้นสำคัญมาก ถ้าเป็คนทรยศจากอาณาจักรเป่ยลี่ ฮ่องเต้ก็จะกล่าวโทษเรา พวกเราเองก็คงอธิบายไม่ได้”
เื่ต่างๆ กลายเป็แบบนี้ แม่ทัพมู่จะพูดอะไรได้อีก เขาชำเลืองมองมู่ชิงอู่ด้วยความหงุดหงิด “รีบเอารายชื่อออกมา แล้วสอบสวนทีละคน! หากเป็คนในจวนจริงๆ ข้าไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่ๆ!”
เวลานี้ มู่หลิวเยวี่ยจะไปรู้ได้อย่างไรว่าพ่อของนางโกรธมากจนอยากจะจัดการนาง
นางที่กำลังอยู่กับเพื่อนในสวนชาเทียนเซียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตชานเมืองของเมืองหลวง แน่นอนนางกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี แต่น่าเสียดายที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเื่นี้ อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นใบหน้าที่บึ้งตึงของบิดาตลอดทั้งวัน นางก็พอจะเดาได้ว่าคดีนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
สิบวันผ่านไปและเหลือเพียงสิบแปดวันเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน หานอวิ๋นซีกำลังตกอยู่ในอันตราย!
นอกจากนี้ แม้ว่าอีกสิบแปดวันข้างหน้าจะมีความคืบหน้าใหญ่โตอะไร นางก็ไม่กลัว อย่างไรก็ตามท่านพ่อและพี่ชายของนางกำลังช่วยสืบคดี นางจึงเชื่อว่าท่านพ่อและพี่ชายไม่มีทางที่จะเพิกเฉยต่อชีวิตความเป็ความตายของนางอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็มีวิธีที่จะเลื่อนออกไปจนกว่าจะครบหนึ่งเดือน
ครั้งนี้ นางไม่เพียง้าให้หานอวิ๋นซีรับผลที่ตามมา แต่ยัง้าที่จะบอกความจริงกับหานอวิ๋นซีด้วยข้อเท็จจริงที่โหดร้ายว่า การมีภูมิหลังที่ดีย่อมดีกว่าการมีตำแหน่งฉินหวังเฟย! การที่นางได้อภิเษกเข้าจวนฉินอ๋องนั้น ไม่ได้มีอะไรน่าภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย!
เมื่อคิดเช่นนี้ มู่หลิวเยวี่ยก็หัวเราะกับตัวเอง
ขณะเดียวกัน หานรั่วเสวี่ยก็เดินมาพร้อมกับกาน้ำชาในมือ เห็นเช่นนี้ ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หญิงใหญ่ของข้า ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ ถึงได้มีความสุขขนาดนั้น พูดให้น้องสาวอย่างข้าฟังด้วยสิ”
ขณะที่นางพูด นางก็วางใบชาไว้ข้างโต๊ะ นั่งไขว่ห้างและเท้าคางด้วยสองมือราวกับกำลังรอให้มู่หลิวเยวี่ยพูด
มู่หลิวเยวี่ยชำเลืองมองนาง จากนั้นก็หัวเราะออกมาสองสามครั้งก่อนที่จะเงียบลง “ไม่มีหรอก จะไปมีอะไรได้อย่างไรกัน?”
หานรั่วเสวี่ยชำเลืองมองนางอย่างคลุมเครือ “ยิ้มเสียขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังคิดถึงใครบางคน...”
ก่อนที่นางจะพูดจบ มู่หลิวเยวี่ยก็คว้าถ้วยชาตรงหน้าและตั้งท่าจะขว้างใส่นาง หานรั่วเสวี่ยรีบหยุดนาง “ก็ได้ๆ ข้าไม่ถามแล้ว! ข้าจะตบปากตัวเอง!”
หานรั่วเสวี่ยแสร้งตบปากตนเองเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนที่นางจะมา นางคิดว่าพี่หญิงใหญ่คนนี้จะไม่ชอบนางเพราะเื่ของหานอวิ๋นซี แต่คิดไม่ถึงว่าท่าทางของนางจะคงเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม คิดไปแล้วมันก็เป็เื่ปกติ เหตุผลที่มู่หลิวเยวี่ยเต็มใจเป็เพื่อนกับนาง ไม่ใช่แค่เพราะนางให้ของขวัญมากมาย แต่ยังเป็เพราะที่ที่นางอยู่สามารถได้ยินเกี่ยวกับข่าวคราวของหานอวิ๋นซีไม่น้อย
มู่หลิวเยวี่ยชำเลืองมองนางและยิ้มอีกครั้ง “ไม่เลวเลยนะ”
เมื่อเห็นว่ามู่หลิวเยวี่ยอารมณ์ดีแล้ว หานรั่วเสวี่ยก็แอบคิดว่า การที่นัดหมายวันนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว
“มามามา ข้าจะชงชาชั้นดีให้อีกหนึ่งกาเพื่อชดใช้ให้พี่หญิงใหญ่ก็แล้วกัน” หานรั่วเสวี่ยเลียนแบบน้ำเสียงของคนรับใช้อย่างติดตลก
มู่หลิวเยวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “ได้สิ ข้าจะรอ”
ขณะที่พูด ทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา หานรั่วเสวี่ยเปิดกาน้ำชาแล้วส่งไป “ดมดูสิ หอมหรือไม่”
ผู้คนในเทียนหนิงโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองหลวงชื่นชอบการดื่มชาอย่างมาก มีโรงน้ำชาขนาดใหญ่และขนาดเล็กในเมืองหลวงเทียนหนิงมากมาย ขณะที่ชานเมืองส่วนใหญ่จะเป็แค่ร้านน้ำชา คนอย่างเซียงมู่หลิวเยวี่ยผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับพิธีชงชาเป็พิเศษมักจะไม่ไปที่โรงน้ำชา ด้วยทั้งชาและน้ำแร่ของตนเองเองนั้นดีกว่าในโรงน้ำชา
หากมีเวลาว่างหรือมีเื่จะปรึกษา หากไม่นัดหมายที่บ้าน ส่วนใหญ่พวกนางก็จะนัดหมายที่ร้านน้ำชาในเขตชานเมือง โดยเลือกใบชาที่เพิ่งเก็บและคั่ว น้ำแร่ก็ต้องเอามาจากูเา เช่นนั้นชาที่ชงจะมีสี กลิ่นและรสชาติที่เข้มข้นกว่าชาที่บ้าน
หากให้พูดอย่างจริงจัง มู่หลิวเยวี่ยและหานรั่วเสวี่ยถือได้ว่าเป็เพื่อนดื่มชา เวลาที่ทั้งสองนัดหมายกันก็จะมาที่ร้านน้ำชา และหานรั่วเสวี่ยเองก็ให้ชาล้ำค่าแก่มู่หลิวเยวี่ยมากมาย
มู่หลิวเยวี่ยสูดจมูกเบาๆ เมื่อกลิ่นหอมของชาเข้าสู่จมูก ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที นางหลับตาลงในขณะที่ลิ้มรส และส่งสัญญาณให้หานรั่วเสวี่ยชงชา
ถึงจะเป็ใบชา น้ำและกาน้ำชาใบเดียวกัน แต่หากคนชงชาคนละคนกันมันก็จะออกมาต่างกัน และหานรั่วเสวี่ยเป็ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ส่วนมู่หลิวเยวี่ยก็ชอบดื่มชาที่นางชงให้
อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าหานรั่วเสวี่ยได้เรียนรู้พิธีชงชาจากหลี่ซื่อแม่ของนาง
ในไม่ช้า ถ้วยชาสีฟ้าอ่อนก็ถูกยื่นไปตรงหน้ามู่หลิวเยวี่ย มู่หลิวเยวี่ยที่ดมกลิ่นชาก่อน แล้วจึงค่อยจิบทีละนิด จากนั้นจึงจะดื่มลงไป
หลังจากลิ้มรสชาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากชมเชยครั้งแล้วครั้งเล่า “วิเศษ! วิเศษมาก! ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ข้าคงต้องเชิญองค์หญิงฉางผิงมาให้นางชิมด้วยเสียแล้วสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานรั่วเสวี่ยก็แอบรู้สึกดีใจ นางอยากจะปีนขึ้นไปหาองค์หญิงฉางผิงผ่านมู่หลิวเยวี่ยมานานแล้ว
----------------------------------------
[1] อ้ายเฟย (爱妃) หมายความว่าเป็พระสนมที่ฮ่องเต้รักและโปรดปราน