“ท่านอาหงซานของเ้ากวาดกระท่อมกระต่ายอยู่ข้างหลัง ให้เรียกเขาสักหน่อยหรือไม่?” ติงซื่อถามนางด้วยความระมัดระวัง
ครอบครัวหูให้ค่าแรงมากมายเพียงนี้จ้างจ้าวหงซานทำงาน จะไม่ขยันกระตือรือร้นได้อย่างไร คนในหมู่บ้านตั้งเท่าไรที่อิจฉาตาร้อนงานของครอบครัวเขา
“ไม่ต้องๆ อาสะใภ้ ท่านทำงานท่านเถอะ ฝนตกแล้วข้าไปดูกระต่ายบนเนินลาดก่อน” วันฝนตกแม้บนเนินลาดจะสร้างเพิงกันฝนไว้มากมาย แต่นางยังไม่ค่อยวางใจเล็กน้อย
ฝนตกลงมาเปาะแปะๆ เปิดประตูรั้วออกและมองเข้าไป เห็นกระต่ายเล็กใหญ่ล้วนหลบฝนอยู่ใต้เพิงบนเนินสูง ด้านข้างวางกองหญ้าแห้งสะอาดไว้ กระต่ายไม่น้อยล้อมแทะอาหารอยู่
เจินจูจึงวางใจลงได้ นางเดินเข้าไปแล้วหมุนกายปิดประตูรั้วให้สนิท นำตะกร้าที่ใส่เนื้อพะโล้วางไว้บนง่ามกิ่งไม้ของต้นพุทรา หลังจากนั้นตรวจสอบเพิงที่ทำขึ้นลวกๆ ในลานกำแพงให้ละเอียดหนึ่งรอบ แต่ก่อนตอนที่จะสร้างเพิงนี้ ได้พิจารณาถึงปัญหาฝนตกน้ำท่วมขังแล้ว ด้วยเหตุนี้เลยสร้างเพิงไว้บนเนินที่สูงจึงไม่มีปัญหาน้ำท่วมเข้าเพิง
“เหมียว” เสี่ยวเฮยะโลงมาจากกำแพง รั้วกำแพงสูงสองเมตรนั่นราวกับว่าไม่อยู่ในสายตาของมัน พุ่งะโไม่กี่ทีก็ขึ้นไปอยู่บนต้นพุทรา
อาจเป็นางที่มาเร็วเกินไป เงาร่างของเสี่ยวจินจึงยังไม่ปรากฏออกมาที่สันกำแพงเลย
เดินมาถึงเพิงข้างกำแพง เจินจูหยิบฟางข้าวโพดออกมาจากมิติช่องว่าง แบ่งออกเป็ส่วนๆ แล้วโยนไปทางฝูงกระต่าย ทันใดนั้นฝูงกระต่ายได้กรูกันเข้ามารุมยื้อแย่ง
“อย่าแย่งกันๆ มีให้ทั้งหมด…”
ไล่เรียงให้ฟางกับกระต่ายตามลำดับเสร็จแล้ว นางตัดสินใจว่าสองวันนี้นางจะไม่วางฟางจากมิติช่องว่างให้กระต่ายอีก เพราะกลัวว่าถ้าให้มากเกินไปจะเปลี่ยนกระต่ายให้ฉลาดขึ้นออกมา
“เจินจู เ้ามาพอดีเลย ในคืนวานนี้มีแม่กระต่ายหนึ่งตัวออกลูกกระต่ายมาเจ็ดตัว วันนี้แม่กระต่ายไม่ค่อยกินอาหาร ข้ากำลังกังวลใจอยู่เลย เ้าจะไปดูหน่อยหรือไม่?” จ้าวหงซานยื่นศีรษะออกมาจากประตูกำแพงรั้ว สีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย
“อ้อ ครั้งนี้ก็ออกมาเจ็ดตัวหรือนี่ อืม ไม่เป็ไรเ้าค่ะ แม่กระต่ายเพิ่งออกลูกก็เป็เช่นนี้แหละ ผ่านไปวันสองวันก็ดีขึ้นแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะไปดู” เจินจูยิ้มและปลอบโยนเขา
นางเงยหน้าขึ้นมอง ยังคงไม่เห็นเงาของเสี่ยวจิน จึงกล่าวกับจ้าวหงซานว่าจะไปดูแม่กระต่าย
รอจนนางออกมาจากกระท่อมกระต่าย สีของท้องฟ้าก็เกือบยามอู่แล้ว [1]
มองไปไกลๆ นกอินทรีั์สีเหลืองทองทั่วทั้งร่างก็ยืนสูงตระหง่านอยู่บนกำแพงรั้วในลานหลังบ้านของนาง สองตาจ้องเขม็งไปยังกระต่ายที่อยู่เต็มลาน
“…”
เสบียงอาหารเต็มทั่วหนึ่งลานเลยนี่ เ้านกตัวนี้ไม่ได้แอบจับกินใช่ไหม
“เจินจู นกอินทรีตัวนั้นมายืนอยู่บนกำแพงพักหนึ่งแต่เช้าตรู่ ตอนนี้มาอีกแล้ว มันจะไม่คิดแอบจับกระต่ายไปใช่ไหม?” จ้าวหงซานกล่าวด้วยความทุกข์ใจ เขาก็รู้ว่าเจินจูถือเนื้อพะโล้มาเลี้ยงนกอินทรีตัวนี้ แต่ยังกังวลว่านกอินทรีจะฉวยโอกาสที่คนไม่ทันระวังแล้วจับกระต่ายไป ถึงตอนนั้นไม่นับว่าเขาปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือ “แม้ไม่จับกระต่าย แต่มันยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้กระต่ายใแย่แล้วกระมัง?”
นั่นก็จริง นกอินทรีเป็ศัตรูโดยธรรมชาติของกระต่าย ดูท่าให้เสี่ยวจินไปกินเนื้อพะโล้ทางบ้านใหม่ด้านนั้นจะดีกว่า
นางหยิบถาดที่ใส่เนื้อพะโล้ออกมาจากในตะกร้า วางไว้ใต้ต้นพุทราเหมือนครั้งก่อน เสี่ยวจินบินร่อนลงมา เม็ดฝนโปรยปรายโดนบนปีก มันไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย กินเนื้อพะโล้ที่รักขึ้นคำใหญ่
เจินจูหัวเราะ รอมันกินเนื้อในถาดจนหมดแล้วจึงเดินไปข้างหน้าสองก้าว ลองเข้าใกล้มันเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็อินทรีั์ที่อาศัยอยู่ในป่า ไม่อาจคาดหวังให้มันเชื่องเชื่อฟังได้ทันทีเหมือนเสี่ยวเฮย
“เสี่ยวจิน พรุ่งนี้เ้าไปกินเนื้อที่บ้านใหม่ข้าทางนั้นเถอะ เ้าอยู่ที่นี่กระต่ายหวาดกลัวหมดแล้ว เ้าดูสิ” เจินจูชี้ไปที่กระต่ายหดตัวอยู่ด้วยกันใต้เพิงใหญ่ “บ้านข้าหาง่ายมาก โน่น... อยู่ตีนเขาลูกใหญ่ลูกนั้น เ้าเกาะอยู่บนกำแพงลาน ข้าก็เห็นเ้าได้แล้ว เสี่ยวเฮยก็อยู่ที่นั่นด้วย หาง่ายมาก เข้าใจหรือไม่?”
“แว้ก” เสี่ยวจินร้องหนึ่งทีราวกับเข้าใจและไม่เข้าใจ
เจินจูหัวเราะ บอกใหม่อีกหนึ่งรอบแล้วร้องเรียกเสี่ยวเฮยเตรียมกลับไปกินข้าวกลางวัน
ติงซื่อพาตงเซิ่งกลับไปแล้ว เจินจูจึงกล่าวกับจ้าวหงซาน “แปลงผักสองสามร่องหลังบ้าน เป็ท่านแม่ข้าปลูกผักไว้ พวกท่านดูแลเพาะปลูกกันเองได้เลย ต่อไปจะได้มีผักทานนิดหน่อยด้วย ท่านอยู่ท้ายหมู่บ้านเงียบเหงาอยู่คนเดียว ไม่เช่นนั้นก็ให้อาสะใภ้หรือตงเซิ่งมาอยู่เป็เพื่อนท่านด้วยก็ได้นะเ้าคะ ท่านอาหงซาน พวกท่านไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไปนักหรอก แค่ทำเหมือนที่นี่เป็บ้านของท่านก็พอ”
จ้าวหงซานฟังแล้วลังเลใจไปชั่วขณะ ที่บ้านมีบิดามารดา เด็กเล็ก ผู้หญิงและน้องสาวที่ป่วย ทั้งหมดล้วนขาดติงซื่อไปไม่ได้ ตนเองเป็ผู้ชายตัวโตผู้หนึ่งไม่กลัวความเงียบเหงาหรอก แต่บางครั้งมักมี่ที่ดูแลไม่ทั่วถึง ให้ตงเซิ่งมาอยู่ด้วยกันช่วยอะไรนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เลวเลย
เจินจูยิ้ม ให้เขาตัดสินเอาเอง เสบียงอาหารทุกเดือนครอบครัวนางส่งให้เขาอย่างเพียงพอ สำหรับจะใช้ทำอย่างไรก็เป็เื่ของพวกเขาแล้ว
เจินจูให้เสี่ยวเฮยนั่งอยู่ในตะกร้าเปล่า แล้วหิ้วมันที่นั่งอยู่เฉยๆ อย่างน่ารักไปบ้านเก่าสกุลหู
หวังซื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว กำลังเตรียมทำอาหารมื้อกลางวันอยู่ เห็นเจินจูเข้ามาก็รีบยิ้มบอกให้นางทานข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน
เจินจูยิ้มไม่ได้รับปาก เพียงส่งสายตาให้ชุ่ยจูที่กำลังก่อไฟอยู่อย่างเป็นัยว่าให้นางออกไปก่อน แม้ชุ่ยจูไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย แต่ก็ทิ้งงานในมือออกไปนอกห้องครัวอย่างรู้เื่เป็อย่างดี
เมื่อหวังซื่อเห็นเช่นนั้น จึงหยุดหั่นกับข้าวลง สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “เจินจู เป็อะไรหรือ? เกิดเื่อะไรขึ้น?”
“ไม่ได้มีอะไร ท่านย่า จะมีเื่อะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ ท่านอย่าหวาดระแวงมากไปสิเ้าคะ” เจินจูหัวเราะคลายกังวลให้นาง “แค่อยากพูดคุยกับท่านน่ะเ้าค่ะ”
หวังซื่อสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อยแต่ยังคงถาม “อยากคุยอะไรล่ะ? ย่าฟังอยู่”
อย่างไรเสียก็เป็เวลาอาหารกลางวัน ทุกคนกำลังรอทานข้าวอยู่ เจินจูไม่อ้อมค้อมต่ออีก นำความผิดปกติของหูฉางกุ้ยบอกแก่หวังซื่อ กลัวว่านางจะไม่เข้าใจจึงเอ่ยถึงการจากไปั้แ่เช้าของหูชิวเซียงอย่างคลุมเครือขึ้นมาอีกด้วย
ใบหน้าของหวังซื่อเคร่งขรึมลง นึกถึงเหตุการณ์ที่บุตรสาว้ากลับบ้านอย่างฉุกละหุกแต่เช้าตรู่ขึ้นมา แววตาคลุมเครือสั่นไหวกับสีหน้ายิ้มยืดออกมาอย่างเสียมิได้นั่น ตอนนี้หวังซื่อคิดขึ้นได้ว่าเหมือนนางหวาดผวาทำเื่อะไรไม่ดีไว้อย่างชัดเจน
แล้วยังคิดไปถึงตอนนั้นอีก ตอนที่ยัดเงินห้าเหลียงให้นาง บนใบหน้าหูชิวเซียงยิ้มแย้มออกมาไม่สุด ความโกรธของหวังซื่อจึงพุ่งขึ้นช้าๆ
“ผลัวะ!” หวังซื่อปล่อยมีดทำกับข้าวในมือลง ะโเสียงดัง “ชุ่ยจู ชุ่ยจู อาหารกลางวันวันนี้เ้ามาทำ ข้าจะไปบ้านท่านอารองของเ้าสักรอบ”
ขณะกล่าวได้ดึงเจินจูเดินออกไปข้างนอกด้วยกัน
ชุ่ยจูวิ่งออกมาจากห้องโถงอย่างรีบร้อน มองใบหน้าของหวังซื่อที่สุขุมขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อครู่ไม่ใช่ว่ายังดีๆ อยู่หรือ ทำไมเวลาเพียงไม่นาน ท่านย่าเหมือนโกรธขึ้นมาได้
“ท่านย่า ท่านอย่ารีบร้อน ฝนยังตกอยู่เลยเ้าค่ะ มีเื่อะไรรอให้ทานข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สายนะเ้าคะ” เจินจูคิดไม่ถึงเลยว่าหวังซื่อจะโกรธเพียงนี้ ไม่ใช่ได้ยินว่านางค่อนข้างรักหูชิวเซียงหรือ? อดรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเองนิดหน่อยไม่ได้ หากรู้เร็วกว่านี้ว่าหวังซื่อจะเป็เช่นนี้ นางรอให้ทานข้าวกลางวันแล้วค่อยกล่าวก็น่าจะดี
หวังซื่อผ่อนอารมณ์ลง หยิบงอบที่เกี่ยวอยู่ข้างผนังขึ้นสวม “ย่าทานบะหมี่ในเมืองมาหนึ่งถ้วยแล้ว ตอนนี้ยังไม่หิว อีกเดี๋ยวกลับมาค่อยทานอีกที ตอนนี้ไปหาพ่อเ้าที่บ้านแล้วถามให้กระจ่างก่อน”
ทันทีหลังจากนั้นสั่งเสียชุ่ยจูสองประโยค แล้วจึงไปบ้านใหม่พร้อมเจินจู
หูฉางกุ้ยทำงานท่ามกลางฝนปรอยลงมาั้แ่เช้า ยามนี้เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และรอทานข้าวพร้อมคนอื่น เมื่อเห็นหวังซื่อเข้าบ้านมาอดถอยไปข้างหลังไม่ได้
หวังซื่อเห็นเช่นนั้น ความโมโหคล้ายกับกลั้นไว้ไม่อยู่ กดเสียงต่ำให้เขาเข้ามาห้องกลางที่อยู่ด้านข้าง
หูฉางกุ้ยทั้งเคารพทั้งหวาดกลัวหวังซื่อมาโดยตลอด เห็นหวังซื่อโกรธจึงก้มศีรษะลงแล้วเดินตามเข้าไปทันที
เจินจูอดขบขันเล็กน้อยไม่ได้ ในเมื่อมีหวังซื่อออกหน้า เช่นนั้นต้องถามมูลเหตุให้กระจ่างได้แน่นอน
เจินจูนั่งลงใต้ชายคาบ้านอย่างสบายใจ ใช้แผ่นไม้ขูดโคลนที่อยู่เต็มเท้าออก
“โฮ่งๆ” เสียงเห่าดีอกดีใจของเสี่ยวหวงดังตามติดกันมา ร่างสุนัขสีเหลืองตัวโตเปียกชื้นวิ่งโผเข้าหา
“หยุดอยู่ตรงนั้น! ห้ามพุ่งเข้ามา!” เจินจูยื่นมือออกไปขวางเสี่ยวหวงที่ลิงโลดไว้ทันที หากให้มันโผเข้ามา เสื้อผ้าของนางชุดนี้คงใช้การต่อไม่ได้อีกแล้ว
โชคดีที่เสี่ยวหวงหยุดลงอย่างว่าง่าย แต่ยังส่ายหางแสดงความตื่นเต้นดีใจของมันไม่หยุด
“พรืด” นางหัวเราะออกมา ตอนนี้เสี่ยวหวงลำตัวสูงและแข็งแรง หัวกลมตาดำจมูกใหญ่ เหมือนไฉเฉวี่ยน [2] ของชาติที่แล้วมาก มีความรู้สึกน่าเอ็นดูกับท่าทางโง่ๆ ของมัน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะอยากบีบจับใบหน้ากลมเนื้อตุ๊ต๊ะนั้น มันน่ารักอย่างมากจริงๆ
หลัวจิ่งเดินออกมาจากหลังบ้าน เห็นฉากนี้เข้าพอดี... เด็กสาวคิ้วโก่งตาโค้งกำลังบีบใบหน้ารูปไข่ของสุนัขอยู่ รอยยิ้มไม่ปั้นแต่งบนใบหน้าของนางสดใสเปล่งประกาย ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
“อ้าว ยู่เซิง เป็อย่างไร? ท่อน้ำไม้ไผ่เชื่อมกันดีหรือยัง?”
เมื่อวานหลัวจิ่งยืนดูขั้นตอนการทำท่อน้ำไม้ไผ่ทั้งหมด เมื่อรู้ว่าเจินจูยัง้าต่อท่อน้ำเพื่อไปรดสวนผักอีกหนึ่งลำ เขาจึงรับอาสาทำงานนี้เอง
หลัวจิ่งสีหน้าแข็งทื่อฉับพลัน เมื่อวานดูขั้นตอนการทำไม่ได้สลับซับซ้อนมาก เขายกไปย้ายมาอย่างวาดแมวตามเสือ ผลสุดท้ายกลับไม่เป็ที่น่าพอใจ ตรงข้อต่อระหว่างไม้ไผ่มีน้ำรั่วมาก ตรงปลายน้ำออกก็อุดน้ำไม่อยู่ นี่คือสภาพการณ์โดยสรุปของทุกอย่าง
เจินจูกวาดสายตามองสีหน้าแข็งทื่อของเขา ในใจแอบหัวเราะ ต้องทำไม่ง่ายอย่างแน่นอน นางจึงเอ่ยปลอบใจ “ฮ่าๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็งานฝีมือ จำเป็ต้องมีความชำนาญระดับหนึ่ง อีกทั้งเ้าไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ พอทำแล้วออกมาไม่ดีจึงเป็เื่ปกติ อย่าท้อแท้ ไม้ไผ่ที่บ้านมีไม่น้อย ต่อหลายๆ ครั้งต้องทำให้ดีได้แน่นอน”
“ข้า... จะทำให้ดี” หลัวจิ่งตอบรับด้วยเสียงหนักแน่น คิ้วน่ามองขมวดย่น สายตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาก เสียงมีความแหบแห้งสองสามส่วน
เอ๋ เสียงเ้าหนุ่มนี่ทำไมเป็เช่นนี้? เจินจูแปลกใจเล็กน้อย มองไปที่เขาทีหนึ่ง วันนี้ฝนตก เขาสวมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดรัดรูป ่ระหว่างขาและเท้าชุ่มนิดหน่อย ขากางเกงสั้นขึ้นไปหนึ่ง่เล็กๆ อย่างเห็นได้ชัด เสื้อผ้าชุดนี้เป็หลี่ซื่อเย็บให้เขาใน่เดือนหนึ่ง เพิ่งผ่านสามเดือนไม่นานเองทำไมสั้นแล้ว?
นี่ร่างกายของเขาเข้าสู่่เจริญเติบโตและเสียงเปลี่ยนแล้วหรือ? นึกถึงการไม่พูดไม่จาและประหยัดถ้อยคำของเขาในไม่กี่วันมานี้ เจินจูอดหยัดกายยืนขึ้นไม่ได้ ยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้เขาไม่กี่ก้าว ใช้มือวัดระดับความสูงของเขาขึ้น
เป็ไปดังคาด สูงกว่าก่อนฉลองปีใหม่ครึ่งศีรษะ
“นี่ ไม่ทันได้ใส่ใจเ้าแค่ไม่กี่วัน เ้าแอบสูงขึ้นมากเช่นนี้เลยหรือ” เจินจูเงยหน้าด้วยความอิจฉา “มิน่าเล่าที่เสียงของเ้าเปลี่ยนไปเป็เช่นนี้ แสดงว่าเข้าสู่่เสียงเปลี่ยนแล้วนี่”
หลัวจิ่งใการเข้าใกล้อย่างกะทันหันของนาง สาวน้อยน่ารักร่างเล็กยืนอยู่ข้างหน้า เงยใบหน้านุ่มนวลและงดงามขาวสะอาดมองเขา มือสองข้างทำท่าทางเทียบระดับความสูงของสองคน หัวใจของเขาเต้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับถูกกระแสบางอย่างจี้เข้าก็ไม่ปาน
จนกระทั่งดวงตาสว่างไสวราวกับอัญมณีของเด็กสาวปรากฏความงุนงงออกมา เขาจึงข่มกลั้นความร้อนที่พรั่งพรูขึ้นทั่วทั้งใบหน้า จงใจแหงนหน้าขึ้นยืดอกตรง “เป็ธรรมดาที่เด็กผู้ชายต้องสูงขึ้น”
เจินจูเหล่มองเขาแวบหนึ่ง ฝืนอดทนความอยากมองบนไว้ เ้าหนุ่มนี่จงใจแน่นอน
ผ่าน่เวลาในการบำรุงของน้ำแร่จิติญญานี้มา บนใบหน้าเจินจูมีเนื้อหนังมากขึ้น ผิวขาวนวล แม้แต่ผมแห้งเสียต่างก็ค่อยๆ ดำเงางามขึ้น แต่แค่ร่างกายนี่เหมือนกับว่าไม่สูงขึ้นสักนิดเลย
ด้วยเหตุนี้นางจึงหดหู่อยู่นาน แม้ส่วนสูงของร่างกายคนสมัยโบราณโดยเฉลี่ยแล้วจะไม่สูง แต่นางเตี้ยจนเกินไป ร้อยห้าสิบเิเยังไม่ถึงเลย ยังน่าเศร้าได้มากกว่านี้อีกหรือไม่?
แต่นางเพิ่งอายุสิบเอ็ดปีเท่านั้น ยังมีทางให้สูงได้อีกหลายปี
“เจินจู”
หูฉางกุ้ยที่อยู่ในห้องโถงเรียกชื่อของนาง
เชิงอรรถ
[1] ยามอู่ คือ ่เวลา 11:00 - 12:59 น.
[2] ไฉเฉวี่ยน คือ สุนัขสายพันธุ์ชิบะอินุ