ตอนที่กลับมาจากตระกูลเวินก็เป็เวลาเย็นแล้ว ท้องฟ้ามืดลง ประตูร้านถูกปิดจนเหลือเพียงทางเล็กๆ เพื่อเดินออกไปข้างนอก ตะเกียงถูกจุดขึ้น ขณะนั้นจ่างกุ้ยเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เพราะยียีจากไปแล้ว เอ้อเอ้อร์จึงกลายเป็เด็กที่พึ่งพาตนเองได้ หลังจากที่ทานข้าวเสร็จนางก็ป้อนอาหารให้ซันซาน
่นี้ซันซานวิ่งเหยาะเป็แล้ว เขาวิ่งเล่นอย่างมีความสุขไปรอบโถง ทำให้ เอ้อเอ้อร์ถือถ้วยช้อนไล่ตามหลัง
เวินซีกับจ้าวต้านนั่งลงเริ่มทานอาหาร
เมื่อซันซานทานอาหารเสร็จ เอ้อเอ้อร์ก็เดินไปที่โต๊ะแล้ววางถ้วยลง แววตาของนางเอาแต่มองดูทั้งสอง ไม่นานก็เอ่ยปากพูด
“ท่านพี่ พี่สะใภ้ เมื่อใดข้าถึงจะได้พบพี่ใหญ่ล่ะเ้าคะ? ข้าคิดถึงพี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่บอกว่าจะสอนหนังสือข้า เมื่อใดเขาถึงจะกลับมาล่ะเ้าคะ?”
ตอนที่เวินซีก้มหน้ามอง ก็เห็นว่านางแอบปาดน้ำตา
ในตอนนั้นเอง อารมณ์ที่ยากเกินกว่าจะอธิบายได้ก็พรั่งพรูออกมาจากใจ เวินซีหยุดทานอาหารแล้วเอื้อมมือไปกอดเอ้อเอ้อร์ที่เข้ามาหา
“ยียีไปเรียนหนังสือที่เมืองอื่นแล้ว”
“แต่พี่สะใภ้ ที่เมืองนี้ก็มีสำนักศึกษานี่เ้าคะ เหตุใดพี่ใหญ่ต้องไปเรียนที่เมืองอื่นด้วย? วันนั้นพี่ใหญ่ดุข้าด้วย เขาเป็อันใดไปเ้าคะ? เอ้อเอ้อร์ทำผิดอันใด เขาจึงมิอยากจะเจอข้าหรือ?”
“มิใช่ เพราะยียีฉลาดมาก ท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษาจึงบอกว่ายียีไปเรียนที่อื่นจะดีกว่า ข้าจึงส่งเขาออกไป ไม่นานเอ้อเอ้อร์จะได้พบยียี ถึงเวลานั้นยียีจะสอนความรู้ให้เ้าได้มากมายเลยล่ะ”
“จริงหรือ? พี่สะใภ้ห้ามโกหกนะเ้าคะ”
“จริงสิ ข้ามิได้โกหกนะ”
“ก็ได้ ข้าจะรอยียีกลับมา”
ถึงอย่างไรเอ้อเอ้อร์ก็ยังเด็ก จึงเชื่อคำของเวินซีอย่างง่ายดาย
เมื่อความโศกเศร้าหายไป เอ้อเอ้อร์จึงะโลงจากตักของเวินซี วิ่งไปจับมือซันซาน และพาออกไปเล่นที่สวนหลัง
เมื่อได้ยินเสียงเล่นกันอย่างสนุกสนาน ความเศร้าโศกของเวินซีก็คลายลง
“ข้าทานเสร็จแล้ว ข้าจะไปส่งอาหารให้หลานเยว่เฉิงก่อนล่ะ”
นางลุกขึ้นยืน หยิบถ้วยขึ้นมาตักข้าวกับอาหารอีกจานหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเทใส่ถ้วยก็ถูกจ้าวต้านแย่งไป
นางนึกว่าเขาจะทานอาหารจานนั้น จึงเปลี่ยนไปหยิบจานอื่น แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยิบ เขาก็ย้ายจานออกไป
“เป็อันใดไป หลานเยว่เฉิงยังตายมิได้ มิใช่หรือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขา
“เอาโจ๊กไปให้ก็พอ”
คำว่า “เขาไม่คู่ควร” เขียนอยู่บนหน้าของจ้าวต้าน
่ที่นำทัพออกรบอยู่นั้น เขายังไม่ลืมว่าในยามที่ขาดแคลนเสบียงอาหาร หลานเยว่เฉิงที่เป็กองเสบียงอยู่ในขณะนั้นจงใจยื้อเวลาส่ง ทำให้เขาต้องกัดกินรากไม้อยู่หลายวัน
ยามนี้หลานเยว่เฉิงมาอยู่ในมือแล้ว เขาจะเอาคืนทีละอย่าง
ถึงแม้จะฆ่ามิได้ แต่ก็ทรมานได้
“มีโจ๊กที่ใดกัน?” เวินซีมองดูรอบโต๊ะอาหารก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าจัดการเอง เ้าไปรอที่ห้องเก็บฟืนก่อนเถิด”
“ได้” เวินซีเดินออกไป หลังจากที่จ้าวต้านทานอาหารเสร็จก็รีบเดินไปที่ห้องครัว
......
ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีแสงจันทร์ ในห้องเก็บฟืนนั้นมืดจนมองสิ่งใดไม่เห็น
เวินซีจุดตะเกียงวางไว้ที่พื้นใกล้ๆ ประตู เมื่อเข้าไปแล้วก็เปลี่ยนธูปหอมอันใหม่ และเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด นางจึงโปรยผงกระดูกอ่อนลงบนร่างของหลานเยว่เฉิงอีกครา
หลานเยว่เฉิงเฝ้าดูนางทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจนกระทั่งถอยออกไปที่ประตู
“คุณหนูเวิน เ้าไม่ฆ่าข้า เช่นนั้นมิทราบว่าจะขังข้าไว้นานเท่าใด? คนสำคัญอย่างข้าหายตัวไปไม่นาน คงจะดึงดูดความสงสัยของผู้คนน่ะสิ?”
เวินซีเหลือบมองเขาด้วยใบหน้านิ่ง ไม่อยากจะสนใจจึงปิดประตูลง
หากไม่ใช่เพราะการตายของเขาอาจทำให้เปิดโปงตัวจริงของจ้าวต้าน นางคงไม่เสียเวลาซ่อนตัวเขาไว้เช่นนี้หรอก
“คุณหนูเวิน ข้าหิวขอรับ” เสียงะโของหลานเยว่เฉิงดังมาจากในประตู
“รออีกเดี๋ยว” เวินซีตอบอย่างเฉยเมย สายตาของนางมองไปบนทางเพียงเส้นเดียวที่นำไปสู่ห้องเก็บฟืน
ไม่นานนัก จ้าวต้านก็ยกโจ๊กออกมา
“เข้าไปเถิด” เวินซีอยากจะรับโจ๊กไป แต่จ้าวต้านก็เบี่ยงตัวหลบ เขาเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืนโดยมีนางตามไปด้วย
หลานเยว่เฉิงมีใบหน้าเหยเกทันทีที่เห็นจ้าวต้านนำโจ๊กเข้ามา
ต่อให้ต้องตายเช่นไร เขาก็รับความจริงที่จะต้องทานโจ๊กที่จ้าวต้านป้อนมิได้ เขาจึงไม่ยอมเปิดปาก
ยอมหิวตายดีกว่าให้บุรุษป้อนโจ๊กให้เขา
“ไม่ทานก็หิวตายไปเถิด” เวินซีมองเขาอย่างเหยียดหยาม
“หากเ้าป้อนข้า ข้าจะทาน จะทานมิให้เหลือเลย ข้า...อู้...ต้านอวี้เสวียน ขยะแขยงบ้างหรือไม่? ท่าน...ให้ข้าทานโจ๊กเย็น? ต้านอวี้เสวียน...”
ตอนที่เขาจงใจพูดหยอกล้อเวินซี จ้าวต้านก็เอาโจ๊กกรอกปากเขาอย่างรุนแรง ราวกับจะยัดถ้วยโจ๊กลงไปทั้งถ้วย
หลานเยว่เฉิงทานโจ๊กไปครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งถูกเททิ้งพร้อมกับถ้วยอยู่บนพื้น
“ไปกันเถิด” จ้าวต้านมองเขาพลันลุกขึ้นยืนอย่างเ็า
“แม่ทัพต้าน ภรรยาคนนี้ทำให้ท่านมีหน้ามีตาเสียจริงนะขอรับ ท่านยังจำซ่งจื่อเหยียน สตรีมากความสามารถที่เมืองหลวงได้หรือไม่? ตอนที่นางได้ยินว่าท่านตายแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ทุกวันเลยนะ แทบจะร้องจนตาบอดเลยล่ะ หากนางรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงจะรีบมาตามหาท่านแน่”
หลานเยว่เฉิงเงยหน้าพูดอย่างตั้งใจ หางตาเหลือบมองเวินซี มุมปากพลันยกยิ้มขึ้น
จ้าวต้านหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองเวินซีทันใด
แต่เวินซีก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดโต้ตอบ
“ยามนี้ฮ่องเต้ก็คงจะสงสัยแล้ว ทั้งทหารลับของข้าอีก ท่านคิดว่าเื่นี้จะไปถึงหูซ่งจื่อเหยียนเมื่อใดกัน?”
“หากนางมาจริงๆ ถึงตอนนั้นท่านจะเลือกผู้ใด? หรือว่าจะให้คุณหนูเวินเป็อนุภรรยาแทน?”
“หลานเยว่เฉิง เ้าอยากตายหรือ?” จ้าวต้านหรี่ตาลง รอบกายแผ่รังสีความเยือกเย็น แต่เขาก็ยังมีความกระสับกระส่ายอยู่มาก
เพราะหลานเยว่เฉิงเอ่ยถึงซ่งจื่อเหยียนอย่างกะทันหัน จ้าวต้านจึงไม่รู้จะอธิบายกับเวินซีเช่นไรในตอนนี้
เขากลัวว่านางจะคิดมาก
“พูดมาตรงๆ เ้าจะทำอันใด?” เวินซีมองดูหลานเยว่เฉิง
เขาพูดมากเช่นนี้ ดูก็รู้ว่ามีจุดประสงค์แอบแฝง
“คุณหนูเวินซีใจดีจริงๆ ข้าอยากทานหม้อไฟ ขอเตียงกับผ้าห่มด้วย ห้องเก็บฟืนหนาวเหลือเกิน” หลานเยว่เฉิงพูดอย่างประจบประแจง ดูราวกับไม่มีพิษภัย
“ฝัน...” จ้าวต้านคิดจะปฏิเสธ แต่ยังพูดไม่ทันจบ เวินซีก็แทรกขึ้นมา
“ได้”
เมื่อได้ยินนางตอบตกลง เขาก็มองอย่างไม่เข้าใจ
เวินซีใช้น้ำเสียงเ็า ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “ข้าให้ชานมด้วยยังได้ แต่เ้าต้องส่งสารให้ฮ่องเต้รวมถึงทหารลับของเ้าด้วย”
“...” ไม่คิดเลยว่านางจะใช้วิธีนี้ หลานเยว่เฉิงขมวดคิ้วท่ามกลางความเงียบ
“จะไม่ส่งสารก็ไม่เป็ไร ทันทีที่พวกเขาหาจ้าวต้านเจอ ข้าจะฆ่าเ้าเสีย ถึงอย่างไรตัวตนของเขาก็ถูกเปิดเผยแล้ว ไม่สำคัญแล้วว่าเ้าจะเป็หรือตาย คิดให้ดีล่ะ?” นางเอ่ยเสียงนิ่ง
“สตรีงามอย่างคุณหนูเวินซี เหตุใดจะต้องถือมีดถือปืนด้วยล่ะขอรับ ข้าตกลง แต่ว่าข้ากระดูกอ่อนเช่นนี้…”
“ข้าจะลดฤทธิ์ยาให้ อย่าคิดเล่นตุกติก”
“ข้าฟังคุณหนูทั้งนั้นล่ะขอรับ คุณหนูเวินไปเอากระดาษมาเถิด”
เวินซีดับธูปหอมในห้องเก็บฟืน ก่อนจะนำกระดาษมาวางบนโต๊ะ แล้วอยู่เฝ้าให้หลานเยว่เฉิงให้เขียนจดหมาย ข้างในนั้นเขียนว่า
“มีเื่ต้องทำ จะรีบกลับมา”
ในจดหมายมีเพียงคำไม่กี่คำสั้นๆ แต่ก็ช่วยจัดการกับทหารลับของหลานเยว่เฉิงได้
เมื่อเขาเขียนเสร็จ เวินซีก็พับกระดาษไว้อย่างดีแล้วเก็บเข้าไปในอก
“คุณหนูเวิน หม้อไฟของข้าล่ะขอรับ?”
“วันนี้เ้าทานโจ๊กไปแล้วมิใช่หรือ หม้อไฟค่อยว่ากันวันพรุ่ง นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวจะมีผ้าห่มมาให้ คุณชายซูพักผ่อนเถิด” เวินซียิ้มพลันจุดธูปหอมในห้องขึ้นอีกครั้ง
นางเดินออกจากห้องเก็บฟืนโดยมิได้สบตาหลานเยว่เฉิงอีก จ้าวต้านมองเขาครู่หนึ่งก็พ่นลมเยือกเย็นแล้วเดินออกไป
จากนั้นประตูห้องเก็บฟืนก็ปิดลง
เขาเดินไปข้างกายเวินซี ภายในใจนั้นมีหลากหลายอารมณ์ที่วุ่นวาย ไม่นานนักก็เอ่ยปากถาม
“เ้าไม่ถามข้าหรือว่าซ่งจื่อเหยียนคือผู้ใด?”