เจี้ยนหยู่เกิดความคลางแคลงใจอยู่หลายส่วน เขาพบเยว่ฉีมาั้แ่เป็เด็กน้อยอายุสักประมาณห้าขวบได้ จวบจนนางเติบใหญ่เป็สาวสะพรั่ง อายุย่างเข้าสิบเก้าปี เขาจึงรู้นิสัยของนางดี
นางไม่เคยเหยียบโรงครัว นางไม่ชอบงานปรุงอาหารเหมือนงานปรุงยาเลยแม้แต่น้อย นางแตกต่างจากสตรีชนชั้นสูงศักดิ์ทั่วไป
‘ข้าไม่ชอบทำอาหาร ข้าก็จะไม่ทำ ใครจะทำไม แค่ปรุงยาช่วยเหลือบิดาได้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ? ท่านเป็ผู้ใหญ่ ยิ่งไม่ควรมีปัญหากับเื่นี้ อย่างไรที่นี่ก็เป็เรือนหมอหลวง สมุนไพรย่อมสำคัญกว่าเื่ปากท้อง ให้เป็หน้าที่ของบ่าวรับใช้ไปเถิด’
แม่ทัพเจี้ยนหยู่ไปพบท่านหมอหลวงเมื่อปีกลาย ดันได้ยินเข้าพอดี ทั้งท่านย่าท่านยาย าุโบ้านนางขอร้องให้นางสนใจเื่การเรือน แต่งงานไปแล้วจะได้ไม่ขายหน้าวงศ์ตระกูล นางยืนยันคำเดิม แถมจะให้พวกเขาไปถามฮ่องเต้อีกว่านางเหมาะกับการทำยาหรือทำอาหาร
ั์ตาปีศาจเปล่งประกายสีชาด กลับมาเป็สีดำสนิทในอีกครู่ ด้วยความสับสนไม่แน่ใจ
‘เกิดอะไรขึ้นกับเยว่ฉี?’
หลายวันมานี้นางแต่งตัวน่ารักมีสีสัน นางยิ้มเหมือนมีจุดประสงค์บางอย่าง นางพูดจาดีกับเขาและคนรอบกาย นางมีอุปนิสัยดุดันเด็ดขาด ไม่โอนอ่อนตาม แต่ก็มีเหตุและผล
เจี้ยนหยู่มองออกไปนอกกระโจม บุรุษร่างกำยำในชุดขนสัตว์หนายืนนิ่งเงียบใต้เหมันต์โปรยปราย ไม่นานนัก ทหารคนสนิทเข้ามารับคำสั่งงานจากเขา
“ตงฟาง มู่หยาง คุ้มกันภัยคุณหนูเยว่ หากนางเคลื่อนไหว ให้รีบรายงานข้า”
“รับทราบขอรับใต้เท้า”
ทั้งสองยกมือประสานแล้วออกจากกระโจม ควบม้าเดินทางไปเฝ้าเรือนปรุงยา
ด้านหน้ากระโจมเงียบเชียบเหลือทหารไม่กี่นาย ทหารในค่ายเริ่มสวมชุดที่หนาขึ้น เป็ชุดขนสัตว์ทับชุดเกราะ แม่ทัพเจี้ยนหยู่สวมอาภรณ์ปักด้วยด้ายทองลวดลายอสรพิษ คลุมด้วยผ้าขนสัตว์สีนิลสง่า เสื้อผ้าของแม่ทัพใหญ่ล้วนถักทออย่างดีจากราชสำนัก ไม่หนีองค์รัชทายาท เขาแต่งตัวอย่างผู้สูงศักดิ์ แม้จะเป็เพียงอสรพิษซึ่งถูกเก็บมาเป็เครื่องมือในการา
เ้าของเรือนผมสีเงินพลิ้วไหวใต้สายลมเยียบเย็นออกไปดูทัศนียภาพโดยรอบเป็ระยะ ใต้กระแสรับสั่งของฮ่องเต้ คราวนี้ไม่มีงานหนักหนาสาหัส แค่คุ้มกันประตูเมือง เฝ้าระวังพวกชนเผ่าเร่ร่อนไม่ให้ก่อความวุ่นวาย
‘เ้าเห็นไหม? คุณหนูรองมาพบแม่ทัพเจี้ยน’
‘ใครจะไม่เห็นนางกันเล่า เ้าบ้า อย่าพูดไป หน้าต่างมีหูประตูมีตา’
ทหารพวกนี้จะพูดอะไรก็กล้า ๆ กลัว ๆ ปีศาจอาจลอบฟังพวกเขาพูดจากันระหว่างทำงานก็เป็ไปได้
เจี้ยนหยู่ยืนมองลมฟ้าอากาศอยู่สักพัก กลับไปนั่งหน้าโต๊ะไม้ทรงกลม เขาชิมน้ำต้มแกง กินอาหารจนหมดไม่เหลือแม้ข้าวสักเม็ด ก่อนดื่มยาตามสั่งท่านหมอหลวง
เมื่อวานเป็ต้มสมุนไพร ไก่ตุ๋น วันนี้มีผัดเต้าหู เป็ดย่าง แกงเยื่อไผ่... รสชาติดี นางทำกับข้าวอร่อยทุกอย่าง!
“ท่านแม่ทัพขอรับ มีราชพระสาส์นจากองค์ฮ่องเต้ส่งมาเมื่อครู่นี้” พลทหารผู้หนึ่งเข้ามาส่งรายงาน แม่ทัพใหญ่รับกล่องทรงกลมสีทองสำหรับใส่ม้วนกระดาษ ไม่ทันได้เปิดอ่าน เขาเงยหน้ามองตามกลิ่นสุราคละคลุ้งจากบุรุษในชุดสีคราม
“ลมอะไรหอบท่านมาหรือ? ท่านผู้ตรวจการ”
“ขอโทษที่มารบกวน ท่านแม่ทัพ”
“ไม่เป็ไร เชิญนั่งก่อน”
ผู้ตรวจการหนุ่มนั่งลงในฝั่งตรงกันข้าม หน้าตาไม่สู้ดีเหมือนพึ่งสร่างจากฤทธิ์สุรา แม้เป็บุตรชายขุนนางสกุลใหญ่ กลับคล้ายไอ้ขี้เมาท้ายตลาดซะมากกว่า
“ข้ามีเื่จะคุยกับท่าน”
“เดาว่าเป็เื่เยว่ฉี”
“ใช่... ข้ามาคุยเื่นาง ข้า... จำเป็ต้องเดินทางมาไถ่ถามท่าน” ในท่าทางอึดอัดใจของคุณชาย แค่บากหน้ามาก็นับว่าเสียศักดิ์ศรีแล้ว เขาไม่กล้าพูดออกมาด้วยซ้ำว่าแม่ทัพเจี้ยนหยู่สนิทสนมกับนางมากที่สุด “เยว่ฉี... นางปิดบังเื่บางสิ่งจากข้า ท่านว่านางทำตัวน่าสงสัยหรือไม่?”
“น่าสงสัยมาก แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ท่านได้เบาะแสอะไรมาหรือ?”
ผู้ตรวจการหนุ่มมองซ้ายขวา จนแม่ทัพเจี้ยนหยู่ยืนกรานว่า “ที่นี่ไม่มีใคร เล่ามาเถิด”
“ก่อนนางจะเปลี่ยนไปเป็คนละคน ข้าเห็นนางถือตำราเล่มหนึ่งเดินไปเดินมาในสวน นางบ่นว่านางเบื่อหน่ายสมุนไพร เบื่อหน้าบ่าวรับใช้ เบื่อชีวิตเส็งเคร็ง ทั้งที่นางเคยมุมานะอุตสาหะเท่าไร ข้าบังเอิญเห็นหน้าปกตำราเขียนด้วยภาษาที่อ่านไม่ออก ข้าเคยถามนาง เรียกมันว่า ‘ตำราผสานจิตใจ’ มีผู้เฒ่าแปลกหน้ามอบให้นาง”
“ตำราผสานจิตใจ?”
“อื้ม... ข้าไม่เห็นมันอีก หลังจากที่นางบอกว่าจะกลืนตำราปีศาจเล่มนั้นเข้าไป ถ้าหากว่าข้าไม่ว่างไปพบนาง วันนั้นข้าต้องออกเดินทางไปต่างแคว้น พอข้ากลับมา ซูหนี่ว์บอกว่าคุณหนูรองหลับไปสองวัน ตื่นมาก็เป็เช่นนี้”
‘ตำราจากเมืองปีศาจหรือ?’
เจี้ยนหยู่หน้าตาคร่ำเครียด เมื่อฟังเื่ราวโดยละเอียดจากผู้ตรวจการหนุ่ม ระหว่างนั้นเขาไปออกทัพจึงไม่ได้ไปพบนาง บุรุษร่างสูงโปร่งเอ่ยเสียงสั่น
“หากเป็ตำราปีศาจจริง ท่านช่วยข้าได้หรือไม่? แม่ทัพเจี้ยน ถือว่าข้าขอร้องสักครั้ง”
“เอาเป็ว่าข้าจะช่วยสืบหาเบาะแสอีกแรง ท่านใจเย็นกับนางสักหน่อย อ้อ... เลิกเมาเป็หมาซะด้วย”
“ตกลง ถ้าหากว่าท่านยอมช่วยข้า พรุ่งนี้ข้าจะไม่ไปดื่มสุรา ข้าจะไปตามตื๊อนาง” ผู้ตรวจการหนุ่มรับปากเป็มั่นเหมาะ หลังกลืนก้อนแข็งลงคอ เขาเหลือบไปมองถ้วยดินเผา ตะกร้าใส่อาหารหลายชั้นมีตราประทับสกุลหยาง “ไม่คิดว่าท่านจะงานยุ่งขนาด... มีเวลานั่งชิมน้ำแกง ลิ้มรสอาหารมนุษย์ นางทำอาหารมาให้ท่านหรือ?”
“อ้อ... เื่อาหาร คงเป็เพราะว่านางนำเื่เก่า ๆ มาพูดล่วงเกินข้าจนนางรู้สึกผิด ข้าว่าอาหารพวกนี้นางไม่น่าจะลงมือทำเอง คงเป็ฝีมือบ่าวรับใช้”
คุณชายสามหัวเราะประชด “ข้าได้ยินจากบ่าวว่านางทำเอง”
“ท่านแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาไม่โกหกเพื่อเอาใจคุณหนู”
“ก็ข้าติดสินบนไว้เยอะ จะไม่แน่ใจได้อย่างไร นางทำอาหารให้บ่าวรับใช้กินด้วย นางเปลี่ยนไปมากทีเดียว คนทั้งบ้านจากที่เคยว่านางเป็สตรีไม่เอาไหน ถึงกับยกย่องนางเป็แม่ครัวใหญ่” พูดแล้วคุณชายก้มมองถ้วยน้ำแกงว่างเปล่าบนโต๊ะอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ขนาดท่านก็ยังได้กินอาหารฝีมือนาง”
“ข้าหิว ข้าก็กิน ท่านจะทำไมล่ะ ท่านมาคุยเื่เยว่ฉีไม่ใช่หรือ จะมาสนใจน้ำแกงก้นถ้วยของข้าทำไม?”
นั่นแทงใจดำมิใช่น้อย! ทว่าผู้ตรวจการหนุ่มก็ไม่เกรงใจ เอามือคว้าตะกร้าอาหาร เปิดดูว่ามีเหลือหรือไม่...
ไม่มี...
“ไหน ๆ ท่านก็มาแล้ว ข้าตั้งใจว่าจะนำของไปขาย”
ในความหมายว่าถ้าไม่ไปโรงรับจำนำ จะมีใครรับแลกเปลี่ยนสิ่งของมีค่าเป็เงินหรือไม่ คุณชายหลิวหน้าตาประหลาดใจ เลิกสนใจถ้วยชามในตะกร้า
“ท่าน... เงินขาดมือหรือ?”
“ก็ไม่เชิง... เพียงคิดว่าของในคลังสมบัติของข้าไม่จำเป็สักเท่าไร มันน่าจะเปลี่ยนเป็เงินได้”
แม่ทัพครึ่งปีศาจผู้นี้ไม่รู้คุณค่าของเงิน มีเท่าไรใช้จนหมดทุกครั้งที่ได้มา ทุกสิ้นเดือนเอาไปเลี้ยงทหาร ไปซื้ออาวุธ ร่ำสุรา แจกจ่ายทหารในกองสังกัดไปจนหมดสิ้น ส่วนของเงินที่สามารถเบิกจากราชสำนัก เขาไม่เคยแยกเป็สัดส่วน นักบัญชีประจำคนก่อนกลัวภูตผีปีศาจเสียจนขอลาออกไป
“แม่ทัพเจี้ยนหยู่ ข้ามีความคิดว่าท่านควรจัดสรรปันส่วนเื่เงินทองให้ดี ทั้งเงินกองกลาง เงินส่วนตัว ในเมื่อหน้าที่การงานของท่านไม่น่าจะมีปัญหาเื่เงิน ท่านควรร่ำรวยกว่าข้าด้วยซ้ำ”
“อืม... จริงของท่าน” เจี้ยนหยู่เลิกคิ้วขึ้น เอามือแตะคาง ทำไมกัน? ทำไมเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจำเป็ต้องวางแผนเื่การใช้เงิน...
มีก็ใช้มันให้หมด ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ ข้าวมีกินทุกวัน ยาสมุนไพรมีคนนำมาให้ ตัวเขาเป็ครึ่งปีศาจ ต่อให้ไม่กินไม่นอน ก็มีชีวิตอยู่ได้ จะกังวลเื่ปากท้องไปเพื่ออะไร?
