เพราะหนีเจียเอ๋อร์ขอร้องแล้วขอร้องอีก ในที่สุด ควงเยวี่ยโหลวก็ใจอ่อน ยอมให้โจวชิงหวาพักฟื้นอยู่ที่สำนักอิ้นเสวี่ยได้จนกว่าจะหาย แต่มีข้อแม้ว่า เขาจะต้องจ่ายเงินสิบตำลึงทุกวัน เป็ค่าที่พักและอาหาร
ได้ยินเช่นนั้น โจวชิงหวาก็กัดฟันกำหมัดแน่น “ควงเยวี่ยโหลว เ้าคนขี้งก!”
หนีเจียเอ๋อร์ยิ้มเจื่อน แล้วเอ่ยว่า “เงินแค่สิบตำลึง คงไม่ทำให้โจวชิงหวาผู้ร่ำรวยหมดตัวหรอก จริงหรือไม่? ดีเสียอีก จะได้เอาเงินที่เ้าจ่าย ไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารให้พี่น้องร่วมสำนักของข้า”
โจวชิงหวาตวัดตามอง แต่กลับเห็นหนีเจียเอ๋อร์ฉีกยิ้มกว้าง “ข้าจะไปหาศิษย์พี่ใหญ่ เพื่อบอกว่า นับแต่นี้ไป เขาจะต้องเพิ่มขาไก่ให้พวกเรา!”
ภายในสำนักอิ้นเสวี่ยนี้ ยังมีศิษย์ระดับต่ำที่ยังมิได้เข้าพิธีรับศิษย์หลายคน ซึ่งแตกต่างจากหนีเจียเอ๋อร์ ที่เพิ่งมาได้ไม่นาน ก็เข้าพิธีฝากตัวเป็ศิษย์แล้ว
ดังนั้น ยามนี้สถานะในสำนักของนาง จึงเป็รองเพียงควงเยวี่ยโหลวกับควงเหยาเท่านั้น ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ก็ต้องเรียกนางว่า ‘ศิษย์พี่หญิง’
ทุกคนจำต้องทำตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน แต่ใครจะรู้ ว่าในใจของพวกเขาคิดเช่นไร
คนตาบอดที่เพิ่งเข้ามาไม่นาน จะเทียบกับคนปกติ ซึ่งร่ำเรียนอยู่ที่นี่มาเป็เวลานานได้อย่างไร? เหมาะสมแล้วหรือ ที่จะเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิง?
จากนั้นไม่นาน พอหนีเจียเอ๋อร์สามารถอ่านอักษรสำหรับผู้พิการทางสายตา และแยกแยะสมุนไพรด้วยกลิ่นได้ ควงเยวี่ยโหลวก็ให้หญิงสาวเข้าไปร่วมชั้นเรียนกับศิษย์ระดับต่ำ ซึ่งมีทั้งคนที่เป็มิตรและคิดอคติกับนาง
โดยเฉพาะศิษย์หญิงนาม ‘เหอมู่หลิง’ ที่มักจะหาโอกาสกลั่นแกล้งหนีเจียเอ๋อร์อยู่เสมอ
เพราะทักษะของหญิงสาวมิได้ดีเท่าคนอื่นๆ เหอมู่หลิงจึงใช้เื่นี้มาเหยียดหยามนางตลอด
แต่ด้วยนิสัยของหนีเจียเอ๋อร์ ซึ่งมิใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ นางจึงอดทนไม่ตอบโต้ และตั้งใจศึกษาเล่าเรียนต่อไป
ไม่ช้าก็เร็ว นางจะต้องใช้ความสามารถของตน ทำให้พวกเขาปิดปากไปเอง
ครึ่งเดือนต่อมา การสอบของหนีเจียเอ๋อร์ก็มาถึง
ซึ่งวิธีการทดสอบก็คือ ให้แต่ละคนปรุงยาพิษขึ้นมาจากสมุนไพรที่กำหนด แล้วแลกกันปรุงยาถอนพิษ โดยผู้ที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้ก่อนจะเป็ผู้ชนะ
…
ก่อนเข้าสอบ หนีเจียเอ๋อร์ก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งควงเหยาอาสาว่าจะพาไปส่ง แต่หญิงสาวส่ายหน้า พลางบอกว่าไม่เป็ไร
นางเดินมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงห้องน้ำ ก็ได้ยินบทสนทนาของศิษย์หญิง
“มู่หลิง เ้าฝึกฝนอยู่ในสำนักอิ้นเสวี่ยมานานกว่าสามปีแล้ว คิดว่าในปีนี้ เ้าจะได้เข้าพิธีรับศิษย์หรือไม่? อา... จะว่าไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าควงเจียที่เพิ่งโผล่มา จะได้เข้าพิธีก่อน ไม่ยุติธรรมกับเ้าเลยจริงๆ”
แววตาของเหอมู่หลิงแข็งกร้าว ทั้งยังกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว “ฮึ่ม... เช่นนั้นก็จับตาดูให้ดี ข้าจะทำให้มันออกไปจากสำนักเอง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย หนีเจียเอ๋อร์พลันนิ่วหน้า และยืนรอจนกระทั่งพวกนางเดินเข้ามาใกล้
ศิษย์ทั้งสองเดินเคียงคู่กันมา จนเห็นหนีเจียเอ๋อร์ที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกล จึงสงบปากทันที
“ศิษย์พี่หญิง! เอ่อ ท่านได้ยิน...” เสียงของหนึ่งในนั้นอ่อยลง จนแทบจะไม่ได้ยิน
เหอมู่หลิงตวัดสายตามองคนข้างกาย ไม่นึกเลย ว่านางจะกลัวศิษย์พี่หญิงตาบอดผู้นี้!
หนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยเสียงยียวน “ข้าได้ยินเ้ากล่าวว่าข้าตาบอด ใช่! เ้าพูดถูกแล้ว”
จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ส่วนอีกคน คงจะเป็ศิษย์น้องหญิงมู่หลิง ใช่หรือไม่? ที่เ้าเอ่ยเมื่อครู่ ข้าได้ยินไม่ชัดนัก พอจะพูดให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่?”
เหอมู่หลิงแสยะยิ้ม ก่อนหันหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เนื่องจากด้วยตำแหน่งของหนีเจียเอ๋อร์ในตอนนี้ หากนางพูดไป ก็มีแต่จะถูกลงโทษเท่านั้น
ส่วนศิษย์หญิงอีกคน เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นๆ ของหนีเจียเอ๋อร์ก็พลันสะดุ้งเฮือก
“ศิษย์พี่หญิง พวกข้าขอโทษ เราจะไม่ทำอีกแล้ว ดังนั้นอย่าบอกใครเลยนะ”
หนีเจียเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าแล้ว!”
กล่าวจบ นางก็เดินแทรกผ่านคนทั้งสองไป
เหอมู่หลิงสะบัดแขนเสื้อด้วยความเจ็บใจ “ควงเจีย เ้าอวดดีต่อไปเถอะ!”
พอเดินกลับไปยังห้องเรียน นางก็ครุ่นคิดถึงแผนการที่จะเอาคืนควงเจียอยู่นาน
เมื่อคิดออกแล้ว นางก็แอบเข้าไปในห้องโอสถ เพื่อขโมยยาพิษซึ่งไม่ร้ายแรงถึงตาย แต่ก็มีฤทธิ์ทำให้เ็ปทรมานที่ชื่อว่า ‘โยวหลิงซ่าน’ ซึ่งไม่มีสีไม่มีกลิ่น สามารถเทผสมลงไปในเครื่องดื่มและอาหารได้
หลังจากแอบนำยาพิษกลับมาที่ห้องเรียนแล้ว เหอมู่หลิงก็เทมันลงไปในถ้วยชาของหนีเจียเอ๋อร์ พลางมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ นางก็กลับไปยังที่นั่งของตนตามเดิม
พอหนีเจียเอ๋อร์กลับมาที่ห้อง ควงเหยาพานางกลับไปนั่งประจำที่ ก่อนกระซิบบอก “ศิษย์น้องหญิง นี่เป็เพียงบททดสอบเท่านั้น ไม่ต้องตื่นเต้น”
หญิงสาวลอบยิ้ม ดูเหมือนว่าคนที่ตื่นเต้น จะมิใช่นางนะ!
หนีเจียเอ๋อร์ยกมือขึ้นป้องปาก “ศิษย์พี่ใหญ่ หากข้าร้องขอ ท่านจะช่วยหรือไม่?”
“ไม่แน่นอน!” ควงเหยาดีดนิ้วที่หน้าผากนาง “มิต้องมาร้องขอให้ข้าช่วย เพราะศิษย์พี่ใหญ่ของเ้านั้น เป็ผู้มีคุณธรรม”
เอ่ยจบ ควงเหยาก็หมุนตัวเดินกลับไปยังด้านหน้า แล้วทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทีสง่างาม
ลู่ซีที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มเกิดอาการประหม่า นางลอบมองหนีเจียเอ๋อร์ ก่อนถอนหายใจออกมา
ผู้ที่นั่งโต๊ะแรกก็คือเหอมู่หลิง ในบรรดาศิษย์เหล่านี้ นางเป็ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุด ทั้งยังเก่งกาจจนทุกคนคิดว่าในไม่ช้า นางคงจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าพิธีรับศิษย์...
…
ควงเหยาเดินไปหาหนีเจียเอ๋อร์ “อะไรกัน? เ้าอยากจะเป็ที่โหล่หรือ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่... กาไหนน้ำไม่เดือด ดันหยิบกานั้น[1]” หนีเจียเอ๋อร์เอ่ย แล้วถามต่อ “ที่โหล่หรือ? น่าเสียดายนัก แล้วท่านจะผิดหวังในตัวข้าหรือไม่?”
-------------------------------------------------
[1] ‘กาไหนน้ำไม่เดือด ดันหยิบกานั้น’ (哪壶不开提哪壶: หน่าหูปู้ไคทีหน่าหู) เป็สำนวน หมายถึง ทำเื่ที่ไม่ควรทำ หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้