เห็นท่าทางจริงจังของนางแล้ว เหลียนเซวียนก็มุมปากกระตุก
ถูกผู้อื่นนำไปซักแล้วถึงนึกได้ว่าต้องเอามาเผาทิ้ง นางโง่หรือเปล่า
เสียหน้าก็เสียไปแล้ว เผาทิ้งไปจะเอาหน้าคืนมาได้หรือ เหลียนเซวียนส่ายหน้าอย่างจนใจ
"ต้าเหนียงจื่อ กินข้าวได้แล้วเ้าค่ะ" อูหลันฮวาเดินเก้ๆ กังๆ เข้ามาใกล้กับพวกเขา พลางเหลือบมองเหลียนเซวียนปราดหนึ่ง "หลางจวิน เชิญกินข้าวเ้าค่ะ"
หลางจวินสกุลเหลียนแม้จะมีหนวดเครารุงรัง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยสง่าราศีน่าเกรงขาม นางมักรู้สึกต่ำต้อยและขลาดกลัวจากส่วนลึกของหัวใจยามอยู่ต่อหน้าเขา
"พวกเรากินกันสามคน เขาไม่กินกับพวกเรา"
เหลียนเซวียนยังไม่เปล่งเสียงสักคำ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ตอบแทนเขาเสร็จสรรพ
เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปาก ถึงแม้ว่าเขาไม่คิดจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกนาง แต่พอถูกกีดกันเช่นนี้ เหลียนเซวียนก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก
เซวียเสี่ยวหรั่นยกอาหารอีกชุดเข้าไปวางในห้องของเขา
"อาหารเหล่านี้ไม่ได้ใส่พริกสักเท่าไร อาหารของทางนั้นต้องตามความชอบของแขก รสจะเผ็ดหน่อยไม่ค่อยเหมาะกับท่าน" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะคิกคัก ก่อนวางข้าวชามใหญ่ตรงหน้าเขา
เห็นอยู่ว่าตามความชอบของนาง ยังนำแขกมาเป็ข้ออ้าง เหลียนเซวียนค่อนแคะในใจ แล้วยกชามขึ้นเงียบๆ
"ท่านกินให้หมดเลยนะ มีน้ำแกงก็ดื่มด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะมาใหม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังอารมณ์ดี กำชับเรียบร้อยก็แล่นออกไป
ที่จริงนางไม่ต้องกำชับ เหลียนเซวียนก็กินหมดอยู่แล้ว เว้นเสียแต่อาหารที่ไม่ถูกปากเขา
"ต้าเหนียงจื่อ" อูหลันฮวากับซีมู่เซียงรออยู่ในห้องโถง
"รีบนั่งๆ ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น วันนี้ไม่มีอาหารพิเศษ พวกเ้าอย่ารังเกียจเล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นดึงพวกนางนั่งลง
อูหลันฮวากับซีมู่เซียงสั่นศีรษะ พวกนางจะรังเกียจได้อย่างไร อาหารเต็มโต๊ะมีเนื้อทุกอย่าง ปริมาณของเนื้อก็ยังไม่น้อย ต้องเป็่เทศกาลปีใหม่ถึงจะมีอาหารเช่นนี้บนโต๊ะอาหารของบ้านคนทั่วไป
เซวียเสี่ยวหรั่นคีบอาหารให้พวกนาง "หลันฮวา ถั่วฝักยาวนี้เ้าปลูกเองนี่ รีบชิมสิ"
"ขอบคุณเ้าค่ะ ต้าเหนียงจื่อ" อูหลันฮวามองนางด้วยความซาบซึ้งใจหลังจากนั้นก็กินกับ แล้วพุ้ยข้าวคำโตเข้าปาก
นางหิวมากจริงๆ
เมื่อวานทะเลาะกับคนบ้านนั้นอยู่ครึ่งคืน วันนี้ั้แ่เช้าแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ตกถึงท้อง ก็ถูกด่าทอสาปแช่งแล้วก็ลากไปขาย นี่ก็เป็เวลาหนึ่งวันเต็มแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจก็เริ่มอ่อนล้า
ที่สำคัญก็คือ ต้าเหนียงจื่อทำอาหารอร่อยมาก
ข้าวสวยคู่กับผัดเนื้อหมูรสชาติเผ็ดร้อนกินแล้วหอมกรุ่นอยู่ในปาก
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านยามหุงข้าวจะปนพวกธัญพืชอื่นๆ เข้าไปในข้าวสาร เฉพาะเทศกาลปีใหม่หรือยามจัดงานรื่นเริงถึงจะหุงแต่ข้าวสวยอย่างเดียว แน่นอนว่าครอบครัวที่มีฐานะดีหน่อยย่อมจะไม่เหมือนกัน
หลายปีมานี้อูหลันฮวาแทบไม่ได้กินข้าวสวยแบบนี้เลย
"ฝีมือการทำอาหารของต้าเหนียงจื่อช่างดียิ่ง เหลียนหลางจวินช่างมีวาสนายิ่งนัก" ซีมู่เซียงชมเชยประโยคหนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็แข็งค้าง
นึกถึงสถานะตอนนี้แววตาของเซวียเสี่ยวหรั่นที่มองซีมู่เซียงก็เจือไปด้วยความเศร้าและการตัดพ้อ เ้าพูดชมข้าอย่างเดียวไม่ได้หรือ จะพาดพิงถึงผู้อื่นไปทำไม
"ต้าเหนียงจื่อ พวกท่านจะกลับแคว้นฉีเมื่อไรหรือ" ซีมู่เซียงมองอูหลันฮวา ก่อนที่จะถามอย่างระมัดระวัง
พวกเขาไปแล้ว อูหลันฮวาก็ต้องตามไปด้วยกัน ซีมู่เซียงรู้สึกอาลัยเล็กน้อย
"น่าจะออกเดินทางประมาณปลายเดือน" พูดถึงเื่นี้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ตระหนักได้เช่นกัน
ซีมู่เซียงตื่นตระหนก "บิดาข้าบอกว่าหลางจวินาเ็ที่ขา ต้องพักฟื้นสามเดือนมิใช่หรือ"
นี่ยังไม่นานเท่าไรเลย พวกเขาจะออกเดินทางได้อย่างไร
อูหลันฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง พวกเขาจะไปจากขู่หลิ่งถุนเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?
"อ๋อ เหลียนเซวียนบอกว่า พวกเราจะไปเมืองชางตานก่อน"
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่อยากไปเร็วขนาดนั้น แต่เหลียนเซวียนบอกเช่นนี้ เขาย่อมจะมีแผนการของตัวเอง นางแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกใบนี้ ราวกับเด็กสามขวบก็ไม่ปาน แล้วจะทำอะไรได้ ต้องติดตามเหลียนเซวียนเป็การชั่วคราว เดินไปค่อยวางแผนไปทีละก้าว
"ไปเมืองชางตาน?" ซีมู่เซียงกับอูหลันฮวาสบตากัน
"อื้อ อย่างไรเสียไปแคว้นฉีก็ต้องผ่านที่นั่นอยู่แล้ว ถือโอกาสแวะเข้าไปสักหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรเปิดเผยรายละเอียดการเดินทางของพวกเขาสองคน ดังนั้นจึงรีบล้อมคอกด้วยการหาถ้อยคำมาพูดเสริมกลบเกลื่อน
"เช่นนี้ก็หมายความว่าอีกไม่ช้าพวกท่านก็จะต้องเดินทางแล้ว" ซีมู่เซียงคิดแค่ว่าบัดนี้ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว หาได้ใส่ใจในความคิดอ่านของเธอ
"อื้อ จริงสิ หลันฮวา ข้าอยากจะพูดกับเ้าให้ชัดเจน พวกเรากำลังจะเดินทางไปไกลมาก เ้าแน่ใจหรือว่าจะติดตามพวกเราไปด้วย ความจริง เ้าจะรั้งอยู่ละแวกขู่หลิ่งถุนนี้ก็ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นอดใจไม่ไหว เกลี้ยกล่อมอีกประโยค
โบราณกล่าวว่า คนจากบ้านเกิดย่อมไร้ที่พึ่ง
หากไม่จำเป็จริงๆ คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ยินดีจากบ้านเกิดที่ตนเองคุ้นเคยไปยังสถานที่ไม่รู้จัก และต้องอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตร
"ต้าเหนียงจื่อท่านอย่าพูดอีกเลย ข้าจะติดตามพวกท่านไปทุกหนแห่ง เว้นเสียแต่ว่าพวกท่านจะไม่้าข้า" อูหลันฮวาวางชามและตะเกียบ ท่าทางจริงจังและหนักแน่น
"ตกลงๆๆ ข้ารู้แล้วล่ะ รีบกินข้าว รีบกินข้าว" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกใกับการแสดงความซื่อสัตย์และภักดีของนาง รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และคีบกับข้าวให้พวกนางสองคนไม่หยุด
หลังจากอูหลันฮวาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว กลับสบายใจขึ้นมาก กินที่ควรกิน ดื่มที่ควรดื่ม จนกระทั่งอาหารเกลี้ยงชามถึงได้สติกลับมา อาหารสามอย่างบนโต๊ะถูกนางกวาดเสียเรียบ
"ต้าเหนียงจื่อ ข้า... กินเยอะไปหน่อย" อูหลันฮวาเกาหัวแกรกๆ อย่างเก้อเขิน นางควรควบคุมตนเองมากกว่านี้ แต่ก็เพราะอาหารฝีมือต้าเหนียงจื่ออร่อยเกินไป
"ไม่เป็ไร หากกินข้าวไม่อิ่ม จะเอาแรงจากที่ไหนมาทำงานล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะ เธอเคยเป็คนอ้วนที่พยายามลดน้ำหนักมาก่อน ย่อมรู้ว่ายามท้องหิวมันทรมานแค่ไหน
และเพราะเข้าใจความยากลำบากของการลดน้ำหนัก ตอนนี้เธอจึงต้องกัดฟันแต่ละมื้อกินให้อิ่มเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น
เธอต้องลำบากลำบนอยู่ในป่าแสนสาหัสถึงจะลดความอ้วนได้เช่นนี้ หากไม่กี่วันก็กลับไปเป็อย่างเดิม เซวียเสี่ยวหรั่นก็คงรับมือกับความรู้สึกนั้นไม่ไหว
ดังนั้นยอมกินน้อยลงไม่กี่คำให้กระเพาะค่อยๆ เล็กลงจะดีกว่า
เธอลุกขึ้นคิดจะเก็บจานชาม แต่อูหลันฮวาก็ผลุนผลันลุกขึ้นเช่นกัน "ต้าเหนียงจื่อ ข้าเองๆ" หลังจากนั้นก็รีบเก็บโต๊ะอย่างรวดเร็ว
"ก็ได้ งั้นข้าจะไปเก็บกวาดที่ห้องเหลียนเซวียนแล้วกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่เข้าไปแย่งกับนาง หากทำงานเยอะแล้วสบายใจก็สุดแล้วแต่
อย่างไรเสียในบ้านก็มีงานอยู่แค่นี้ ไม่มีงานหนักอย่างอื่น
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินเข้าไปในห้องของเหลียนเซวียนด้วยความรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ
ตนเองพูดไม่คิดเปิดเผยแผนการการเดินทางให้ผู้อื่นฟังไปเสียแล้ว
เหลียนเซวียนหูไวขนาดนั้นน่าจะได้ยินแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินไปข้างกายเขา
อาหารบนโต๊ะกินหมดทุกอย่าง เหลือแต่ส่วนผสมบางอย่างเช่นขิง ต้นหอม และพริกที่ถูกเขี่ยไว้ในจาน
"ขิงกับต้นหอมล้วนมีประโยชน์ ไม่รู้จะเลือกกินทำไม" เธอบ่นอุบอิบ
หลังจากนั้นก็ถูกเหลียนเซวียนกลอกตาใส่
